ได้ยินคำพูดของชายชรา สองตาต้วนหลิงเทียนก็หรี่ลงทันที “ผู้อาวุโส ทำแบบนี้…เพราะไม่อยากให้ข้าเข้าสู่ตระกูลซูเร็วเกินไปงั้นหรือ?”
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ต้องการ แต่ข้ารู้สึกว่าการปล่อยให้เจ้าเข้าสู่ตระกูลซูเร็วเกินไป อาจทำให้พวกมันไม่เห็นค่าเจ้าอย่างที่ควรจะเป็น”
ชายชราส่ายหัวไปมา พลางเอ่ยเสริมว่า “แน่นอนว่าหากเจ้าอยากคิดจะไปตระกูลซูเลย ข้าก็ไม่คิดจะห้ามเจ้า”
“นอกจากนั้น หากเจ้าเลือกที่จะอยู่ เจ้าก็ต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง…หากเจ้ารับปากข้าเรื่องที่ว่าแล้ว ข้ารับรองว่าทรัพยากรที่เจ้าจะได้รับจากคฤหาสน์เฉวียนโยว จักไม่ด้อยไปกว่าสิ่งที่ตระกูลซูจะมอบให้เจ้าแน่นอน”
“แต่หากเจ้าไม่รับปากข้า เช่นนั้นข้าก็จะแนะนำเจ้าให้เขาร่วมกับตระกูลซูทันที”
ชายชราเอ่ยสืบต่อ
“รับปาก?”
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นด้วยสงสัย “ไม่ทราบเป็นเรื่องราวใด และมีเงื่อนไขอะไรบ้าง?”
“อันที่จริงมันก็ไม่เชิงเงื่อนไขหรอก แต่ถือว่าเป็นกฏของวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย…เพราะตั้งแต่ที่ผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยคนก่อนตกตายไป วังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยที่ข้ารับผิดชอบดูแล ก็ได้ตรากฏเหล็กข้อนี้ขึ้นมา”
ชายชรากล่าวว่า “ผู้ใดก็ตามที่คิดดำรงตำแหน่งผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยว ต้องรับปากเรื่องล้างแค้นให้อดีตผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยก่อนเท่านั้น จึงจักได้รับการสนับสนุนอย่างดีที่สุดจากคฤหาสน์เฉวียนโยว”
“อดีตผู้พิทักษ์น้อย?”
รูม่านตาต้วนหลิงเทียนหดแคบลงทันใด “สิ่งที่อาวุโสกล่าวก็คือ…ล้างแค้นให้ผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยที่ถูกฉุดคร่าภรรยาไปเมื่อ 30,000 กว่าปีก่อน?”
พอต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามจบคำ เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังอันตรายขุมหนึ่ง กลิ่นอายพลังอันตรายที่ว่ายังแผ่ซ่านออกมาจากร่างชราเบื้องหน้า! มันทรงพลังถึงขั้นทำให้เลือดลมของเขาปั่นป่วน!!
และเขายังสัมผัสได้อีกว่า…ตอนนี้อารมณ์ของอีกฝ่ายช่างแปรปรวนนัก!!
ยิ่งไปกว่านั้น อารมณ์แปรปรวนดังกล่าวยังเป็นโทสะที่คุกรุ่นพร้อมระเบิด!!
‘ทำไมผู้เฒ่าถึงแลดูโมโหนักนะ…’
‘มีโมโหเพราะความอาภัพของอดีตผู้พิทักษ์เมื่อ 30,000 ปีก่อนงั้นหรือ…เป็นไปได้ไหมว่าผู้เฒ่าคนนี้เกี่ยวข้องอะไรกับอดีตผู้พิทักษ์คนนั้น?’
‘หรืออดีตผู้พิทักษ์ที่ว่า จะเป็นลูกศิษย์ของผู้เฒ่า?’
พอคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งไปอยู่บ้าง และหากเป็นแบบนั้นจริงๆ ชายชราเบื้องหน้าจะมีโมโหก็ไม่แปลกเลย
“มิผิด เป็นเพราะอดีตผู้พิทักษ์คนนั้น”
ดูเหมือนชายชราเองก็รู้ตัวว่าได้เปิดเผยโทสะอารมณ์ออกไปโดยไม่รู้ตัว จึงเร่งสงบสติอารมณ์ลงทันที จากนั้นก็มองจ้องต้วนหลิงเทียน ค่อยเอ่ยถามว่า “เจ้าตกลงจะปฏิบัติตามกฏข้อนั้นหรือไม่ ว่าหากเจ้ามีกำลังมากพอแล้ว เจ้าจะล้างแค้นให้อดีตผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยคนนั้น?”
“แต่ก่อนที่เจ้าจักตกลงรับปาก ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน…ผู้ที่ฆ่าอดีตผู้พิทักษ์น้อยยามนั้น ในปัจจุบันได้ดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลเหอ 1 ใน 10 ตระกูลใหญ่ของแดนสวรรค์ใต้แล้ว และด่านพลังของมันก็บรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ!”
หลังชายชรากล่าววจบคำ มันก็มองจ้องตาต้วนหลิงเทียนเขม็ง เพื่อรอดูว่าต้วนหลิงเทียนจะตอบอย่างไร
“ข้ายินดีทำตามกฏที่ว่า”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว “ตัวบัดซบนั่นเลวยิ่งกว่าเดียรัจฉาน หากพลังฝีมือข้าสูงพอ ข้าจะลงทัณฑ์มันแทนฟ้าเอง”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่คิดว่าตัวเองเป็นอัศวินแห่งคุณธรรมอะไร แต่คนบางคนก็ทำเรื่องต่ำช้าสุดที่เขาจะรับได้ เช่นนั้นถึงฟ้าไม่ลงทัณฑ์ เขาก็จะลงทัณฑ์เอง
ในตอนที่ซุนเหลียงเผิง ประมุขนิกายอมตะเป้าผู่เล่าเรื่องอดีตผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยวให้เขาฟัง จนได้ล่วงรู้ว่าต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างไร เขาก็รู้สึกรังเกียจผู้นำตระกูลเหอคนปัจจุบันที่ทำให้ครอบครัวผู้อื่นแตกแยกนัก!
กระทั่งต่อให้ไม่ต้องรับปากชายชราวันนี้ แต่วันหน้าหากมีโอกาส และพลังฝีมือเขากล้าแข็งพอ ถ้าไปเจอผู้นำตระกูลเหออะไรนั่นเข้า เขาก็จะพิพากษามันแทนฟ้าเอง!
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงไม่เสียเวลาคิดคิดด้วยซ้ำ เลือกจะกล่าวยอมรับกฏดังกล่าวของชายชราออกไปทันที
“ดี!”
ได้ยินต้วนหลิงเทียนรับปากเรื่องนี้ สองตาชายชราก็ทอแสงจ้าขึ้นมาทันใด กล่าวออกด้วยใบหน้าเคร่งขรึมจริงจังว่า “ต้วนหลิงเทียน ลำดับอาวุโสของข้านับว่าสูงที่สุดในคฤหาสน์เฉวียนโยวยามนี้…แม้แต่ผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวคนปัจจุบัน ก็เป็นศิษย์ของศิษย์ข้า เรียกว่าเป็นศิษย์หลานของข้าเท่านั้น”
“วันนี้ข้าสามารถให้สัญญากับเจ้าเอาไว้ตรงนี้ได้เลย…ว่าหลังจากที่เจ้าขึ้นดำรงตำแหน่งผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยวเราแล้ว ทรัพยากรที่เจ้าจักได้รับเพื่อการบ่มเพาะ ยังจะสูงกว่าผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวเป็นเท่าตัว!”
“นอกจากนั้นเจ้าจะได้รับความคุ้มครองจากข้าเป็นการส่วนตัว…หากเจ้ากังวลเรื่องที่องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดออกภารกิจสังหารเจ้า ข้าจะเดินทางไปองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดด้วยตัวเอง และสั่งให้พวกมันล้มเลิกภารกิจเสีย และจากนี้ต่อไปพวกมันจักไม่ได้รับอนุญาตให้ออกภารกิจสังหารเจ้าทุกกรณี!”
ขณะกล่าววาจาประโยคนี้ น้ำเสียงของชายชราก็ฟังดูเผด็จการนัก ราวกับเป็นคำพูดของทรราชผู้หนึ่งที่ไม่อนุญาติให้ผู้ใดฝ่าฝืนขัดใจเด็ดขาด! ราวกับไม่เห็นองค์กรกะโหลกเลือดอยู่ในสายตา!!
และฟังจากคำพูดดังกล่าวของชายชรา ต้วนหลิงเทียนก็พอจะอนุมานได้ทันที ว่าพลังฝีมือของชายชราเบื้องหน้า ต่อให้เป็นยอดฝีมือของ 10 ตระกูลใหญ่และ 5 นิกายหลัก ก็นับว่าอยู่ในระดับพอๆกัน
หาไม่แล้วไฉนถึงกล้ากล่าววาจาเขื่องโขแบบนี้?
“ผู้อาวุโสข้ายอมรับเงื่อนไขนั่นแล้ว…ส่วนเรื่ององค์กรกะโหลกเลือด ท่านไม่ต้องสนใจหรอก”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับชายชราเสียงเรียบ “องค์กรกะโหลกเลือดนั่น สักวันข้าจะจัดการมันด้วยตัวเอง”
“เจ้าจะจัดการมันด้วยตัวเอง?”
ชายชรามองจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง ค่อยเอ่ยออกเสียงหนักว่า “องค์กรกะโหลกเลือดนั่นมีแม้กระทั่งมือสังหารขอบเขตจอมราชันอมตะ…โดยเฉพาะตัวผู้นำองค์กรกะโหลกเลือด มันหาได้ธรรมดาไม่ นับเป็นยอดฝีมือขอบเขตจอมราชันอมตะคนหนึ่ง พลังฝีมือร้ายกาจไม่น้อยไปกว่าข้า”
“ผู้อาวุโส ข้าขอถามท่านสักคำ ผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดที่ว่า หากให้เทียบกับผู้นำตระกูลเหอในปัจจุบัน พลังฝีมือของมันเป็นอย่างไร?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามออกมาเสียงเรียบ
“เป็นธรรมดาว่าผู้นำตระกูลเหอในปัจจุบันย่อมเหนือกว่า”
สองตาชายชราเผยประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่งขณะกล่าว
หากพลังฝีมือของผู้นำตระกูลเหอนั่นอ่อนด้อยกว่าผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดที่พอๆกับมัน เช่นนั้นอีกฝ่ายคงถูกมันบุกไปเข่นฆ่านานแล้ว!
เพียงเพราะผู้นำตระกูลเหอคนปัจจุบันร้ายกาจกว่ามัน และศักยภาพพรสวรรค์ของอีกฝ่ายก็เหนือกว่ามัน มันจึงไม่มีหวังเรื่องเข่นฆ่าอีกฝ่ายด้วยตัวเอง จึงได้แต่ตั้งกฏสำหรับผู้ที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยเอาไว้แบบนี้
“เช่นนั้น ผู้อาวุโสจะมาเตือนข้าเรื่องพลังฝีมือผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดไม่ธรรมดาทำไม?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออกเสียงเรียบ “ถ้าแค่ผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดข้ายังจัดการมันไม่ได้…แล้ววันหน้าข้าจะจัดการผู้นำตระกูลเหอที่ว่าได้อย่างไร?”
คำพูดของต้วนหลิงเทียนไม่ได้ทำให้ชายชราเผยอารมณ์ใดๆ แต่ในใจก็ชื่นชมความทะเยอทะยานของต้วนหลิงเทียนไม่น้อย
เป็นธรรมดาว่าที่ไม่เผยอารมณ์ใดๆก็แค่ผิวเผินเท่านั้น
“ข้าหวังว่าเจ้าจะจัดการองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดนั้นให้ข้าชมดูเร็วไว!”
ชายชรามองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกซึ้งพลางกล่าว
…
และเป็นดั่งที่จ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยว่าไว้ไม่มีผิด 2-3 วันต่อมา ทางตระกูลซูก็ได้ส่งคนมาเยือนคฤหาสน์เฉวียนโยว จุดประสงค์ก็เพื่อนำตัวต้วนหลิงเทียนไปยังตระกูลซู
“ต้วนหลิงเทียน ศิษย์คฤหาสน์เฉวียนโยว มีพรสวรรค์และความสามารถอันโดดเด่นนัก ทางตระกูลซูของเราต้องการพาตัวมันไปเข้าร่วมตระกูลซู เพื่อสนับสนุนส่งเสริมเรื่องการบ่มเพาะ!”
วาจาดังกล่าวเป็นคำพูดของผู้ส่งสารตระกูลซูที่กล่าวกับผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยว
“คฤหาสน์เฉวียนโยวเราไม่คัดค้านอันใด…ตราบใดที่ต้วนหลิงเทียนเห็นด้วยก็พอ”
ผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“มันยังจะปฏิเสธตระกูลซูได้หรือ?”
ผู้ส่งสารของตระกูลซูมั่นใจนัก
อย่างไรก็ตาม พอผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวให้คนไปพาต้วนหลิงเทียนมาพบที่ห้องโถงหลัก ต้วนหลิงเทียนกลับกล่าวปฏิเสธผู้ส่งสารตระกูลซูทันที ทำให้ผู้ส่งสารตระกูลซูอดไม่ได้ที่จะถามออกไปด้วยความอึ้ง “เจ้า…เจ้าปฏิเสธงั้นหรือ?”
“มันไม่ใช่การปฏิเสธ…ข้าแค่รู้สึกว่าพลังฝีมือของข้ายังอ่อนด้อยเกินไป รอให้ข้าแข็งแกร่งกว่านี้ค่อยไปเข้าร่วมกับตระกูลซูก็ยังไม่สาย และข้ารับปากท่านไว้ตรงนี้เลย ว่าข้าจะเลือกตระกูลซูแน่นอน ส่วนตระกูลอื่นๆ หรือ 5 นิกายหลัก ข้าไม่คิดจะเข้าร่วม”
ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวกับผู้ส่งสารตระกูลซูด้วยความสงบ “ผู้ส่งสาร นี่คือคำสัญญาที่ข้าให้ต่อตระกูลซู”
“เจ้าจะไม่คิดทบทวนหน่อยรึ?”
ผู้ส่งสารของตระกูลซูอดขมวดคิ้วไม่ได้ มันได้รับคำสั่งจากผู้อาวุโสตระกูลซูให้มาพาต้วนหลิงเทียนไปเข้าร่วมตระกูลซู หากมันพาอีกฝ่ายกลับไปไม่ได้ เช่นนั้นอาวุโสต้องตำหนิมันแน่ เพราะเรื่องง่ายๆแค่นี้ยังทำไม่สำเร็จ…
แต่เป็นธรรมดาว่าผู้อาวุโสตระกูลซูก็ได้กำชับมันมาไว้แล้ว ว่าไม่อาจบีบคั้นผู้คน
ดังนั้นมันจึงไม่อาจใช้กำลังลักพาตัวคนไปได้
“ข้าตัดสินใจดีแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา
“เอาล่ะ! ข้าหวังว่าเจ้า…จะจดจำคำมั่นที่ให้ไว้”
ผู้ส่งสารตระกูลซูมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกซึ้ง จากนั้นก็หันไปอำลาผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวแล้วเดินทางจากไปทันที
คราวนี้ถือว่ามันไม่ได้มาเสียเที่ยว
อย่างน้อยๆต้วนหลิงเทียนก็รับปากไว้แล้ว ว่าจะไม่เข้าร่วม 10 ตระกูลใหญ่และ 5 นิกายหลักใดอื่นนอกจากตระกูลซู
“นับว่าการมาของข้าบรรลุจุดประสงค์ได้ครึ่งหนึ่ง…ถ้างั้นผู้อาวุโสก็ไม่อาจตำหนิอะไรข้าได้แล้วล่ะ! เพราะอย่างน้อยๆ ข้าก็ได้คำมั่นจากเจ้าหนูนั่นมาแล้วนี่นา…”
ระหว่างเดินทางกลับ ผู้ส่งสารตระกูลซูอดไม่ได้ที่จะกล่าวพึมพำเป็นการปลอบใจตัวเอง
หลังจากผู้ส่งสารของตระกูลซูจากไป ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองถามผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยว “ผู้นำ ท่านผู้อาวุโสบอกว่า…ข้าไม่ต้องเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางอีกต่อไป สามารถทะลวงด่านพลังไปยังขอบเขตราชาอมตะได้ทันที…”
“เรื่องนี้ท่านไม่มีความคิดเห็นอันใดหรือ?”
ในสายตาของต้วนหลิงเทียน ผลประโยชน์จากการติดอันดับในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางสมควรสำคัญกับคฤหาสน์อมตะระดับ 6 ทั้งหลายพอสมควร
หาไม่แล้วคฤหาสน์อมตะระดับ 6 ทั้งหลาย คงไม่ลงทุนเพาะสร้างยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศไว้สำหรับช่วงชิงอันดับในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางโดยเฉพาะหรอก
“ข้าฟังท่านบรรพจารย์”
ทัศนคติของผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวนับว่าชัดเจน อีกฝ่ายไม่คิดคัดค้านสิ่งใดก็ตามที่จ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยตัดสินใจ
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ถึงอิทธิพลของจ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยที่มีต่อคฤหาสน์เฉวียนโยวชัดเจน
อันที่จริงเขาก็พอเดาได้แล้ว ก่อนที่จะกล่าวถามออกไป
ที่ถามก็เพื่อจะยืนยันให้ชัดเจนเท่านั้น
นอกจากนั้นเขาก็พร้อมจะทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดในคราเดียว โดยใช้ผลราชาอัคคีและผลราชาน้ำแข็ง!
ถึงในอดีตเขาจะเคยครอบครองระดับพลังขอบเขตราชาอมตะมาแล้วเพราะอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันประเภทสิ้นเปลือง แต่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดและพลังวิญญาณนั่นมันก็ไม่ใช่พลังของเขาจริงๆ
แค่พลังที่ได้รับมาใช้แล้วหมดไปเท่านั้น…
ตอนนี้ด่านพลังของเขากำลังจะทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะแล้ว และพลังที่จะได้รับก็เป็นของเขาจริงๆ ไม่ใช่พลังภายนอก…
เช่นนั้นหลังกลับมาถึงวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย ต้วนหลิงเทียนก็ปิดด่านบ่มเพาะทันที
เขานำผลราชาอัคคีและผลราชาน้ำแข็งออกมากินพร้อมๆกัน จากนั้นกระแสพลัง 2 ขุมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงก็เริ่มแพร่กระจาย และหมุนเวียนไปในร่างของเขา
ต้วนหลิงเทียนก็ไม่อยู่เฉย โคจรพลังตามเคล็ดวิชาบ่มเพาะทันที
และเคล็ดวิชาที่เขาใช้บ่มเพาะสั่งสมพลัง ก็ยังเป็นเคล็ดอมตะระดับราชาที่เขาได้มาจากกูป๋อของฮ่วนเอ๋อ ไท่อี้สุดลี้ลับ
หลังจากที่เริ่มโคจรบ่มเพาะพลังตามเคล็ดวิชา ต้วนหลิงเทียนก็ลืมเลือนเวลาไปโดยสมบูรณ์
จนเมื่อด่านพลังของเขาทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดแล้ว เขาจึงตื่นขึ้นมาจาการบ่มเพาะ
ขณะเดียวกันเขาก็พบว่าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างเขาบัดนี้ มันได้บังเกิดการเปลี่ยนแปลงสะท้านแดนดิน! ไม่เพียงจะทวีความบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น แต่ยังทรงพลังสุดไพศาลนัก!!
แน่นอนว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุดก็คือ โลกใบเล็กภายในกายของเขา!
เมื่อด่านพลังฝึกปรือของเขาก้าวหน้า โลกใบเล็กไม่เพียแต่จะขยายใหญ่ขึ้นเท่านั้น แต่ยังคล้ายจะกลายเป็นโลกที่แท้จริงในร่างเขาอีกด้วย!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กิ่งของพฤกษาเทพกำเนิดชีพ ที่เดิมปักอยู่บริเวณใจกลางโลกใบเล็กของเขา บัดนี้มันเริ่มขยายใหญ่แลดูราวกับจะเติบโตขึ้นกลายเป็นต้นไม้ต้นเล็กๆ แลดูมีชีวิตชีวานัก
‘หลังทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะ…นอกจากโลกใบเล็กภายในกายแล้ว ดูเหมือนยังสามารถเปิดสร้างโลกใบเล็กได้อีกสินะ?’
คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ลืมตาขึ้นมา จากนั้นก็ยกมือขึ้นโบกไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้าทันที
ทันใดนั้นความว่างเปล่าเบื้องหน้า ก็ปรากฏรอยแยกมิติฉีกเปิด
อย่างไรก็ตาม รอยแยกมิติที่ว่าไม่ได้นำไปสู่ห้วงมิติผันผวนใดๆ แต่เป็นรอยแยกมิติที่จะนำไปสู่โลกใบเล็กอีกใบที่เขาเปิดสร้างขึ้น
จากนั้นด้วยการโบกมืออีกครา เขาก็ชักนำพลังให้หลั่งไหลเข้าสู่โลกใบเล็กดังกล่าวทันที แน่นอนว่าเป็นพลังวิญญาณฟ้าดินในธรรมชาติ ไม่ใช่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเขา