War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 3239

ตอนที่ 3239

WSSTH ตอนที่ 3,239 : ทำข้อตกลงกับมังกรชั่วร้าย

คำพูดของต้วนหลิงเทียน ไม่ต่างอะไรจากทำลายความหวังที่พึ่งจะก่อเกิดขึ้นในใจอีกครั้ง ของเหล่าอัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 อื่นๆเลย

แต่พวกมันย่อมไม่อาจทำอะไรได้เป็นธรรมดา

เพราะสุดท้ายแล้วสิทธิ์ขาดในการเลือกก็ขึ้นอยู่กับต้วนหลิงเทียน…

ยิ่งไปกว่านั้นด้วยพลังฝีมือของพวกมัน ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้กำลังบีบบังคับต้วนหลิงเทียนให้ยอมจำนน เพราะหากต้วนหลิงเทียนเป็นคนที่พวกมันบีบบังคับได้ พวกมันคงไม่พยายามกล่าวชวนด้วยการยื่นข้อเสนอดีงามแบบนี้แต่แรก

เพราะพลังฝีมืออันโดดเด่นของต้วนหลิงเทียน จึงทำให้พวกมันละทิ้งความหยิ่งผยอง และกล่าวเชื้อเชิญต้วนหลิงเทียนให้เข้าร่วมขุมกำลังของตัววเองอย่างสุภาพ

“ซูหลี่…เมื่อครู่เจ้าบอกว่าต้วนหลิงเทียนเป็นสหายของเจ้าที่ระนาบโลกียะ หรือว่าต้วนหลิงเทียนก็มีอายุพอๆกับเจ้าด้วย?”

กงซุนจิ้ง อัจฉริยะสายซวนหยวนของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ เอะใจอะไรบางอย่าง จึงหันไปมองถามซูหลี่ด้วยความสงสัย

“ใช่”

ซูหลี่พยักหน้า “ต้วนหลิงเทียนก็มีอายุพอๆกับข้า…หากจะให้ชี้ชัดจริงๆ ต้วนหลิงเทียนอ่อนวัยกว่าข้าเล็กน้อย”

ทันทีทีซูหลี่กล่าวประโยคนี้ออกมา เหล่าอัจฉริยะโดยรอบก็พร้อมใจกันเงียบกริบ ไร้แม้กระทั่งเสียงลมหายใจ

ต้วนหลิงเทียนอายุพอๆกับซูหลี่ กระทั่งยังอ่อนกว่าเล็กน้อย?

อวี่เทียนสิงที่ได้ยินชัดถนัดหู มุมปากก็กระตุกขึ้นมาตงิดๆ มันไม่คิดเลยว่านิกายกระบี่หายนะปรากฏคนอย่างซูหลี่ขึ้นมาแล้ว แต่ยังจะมีต้วนหลิงเทียนที่ร้ายกาจยิ่งกว่าซูหลี่ปรากฏตัวขึ้นมาอีก!

เหล่าอัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 ทั้งหลาย หันไปมองศิษย์ของนิกายกระบี่หายนะด้วยสายตาแดงเรื่อ แววตาฉายชัดถึงความอิจฉาริษยาจับใจ ถึงขั้นเกลียดชังกันเลยก็มี

“ว่าแต่ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”

ซูหลี่หันไปมองถามกงซุนจิ้ง

“ไม่รู้สิ พวกเราก็พึ่งมาถึงก่อนเจ้าไม่ทันไรเหมือนกัน”

กงซุนจิ้งกล่าวตอบ

ขณะเดียวกันสายตาของทุกคนก็หวนกลับไปมองจ้องมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ที่ขวางประตูสู่แดนนลับทวยเทพอีกครั้ง

“มังกรชั่วร้าย!”

จังหวะนี้สีหน้าเฟิ่งชีชีพลันเปลี่ยนไป ในฐานะอัจฉริยะอันดับ 1 ของเผ่าหงส์ฟ้าโบราณ นางย่อมรู้จักมังกรชั่วร้ายเป็นธรรมดา

“เมื่อครู่มีอัจฉริยะรากหญ้าคนหนึ่งคิดลองฝ่ามังกรชั่วร้ายเพื่อเข้าประตูนั่น สุดท้ายจึงถูกมังกรชั่วร้ายพ่นแสงพลังใส่…เปรี้ยงเดียวแม้แต่ศพก็ไม่เหลือ…”

ไป๋หลี่หงเฟยกล่าว

“มังกรชั่วร้าย แค่อยู่นิ่งๆไม่ต้องทำอะไร แรงกดดันพลังที่แผ่ออกกมาตามธรรมชาติของมันก็ร้ายกาจกว่าจักรพรรดิอมตะทั่วๆไปแล้ว…”

เฟิ่งชีชีกล่าวออกเสียงหนัก!

แค่แรงกดดันตามธรรมชาติ ก็รุนแรงกว่าจักรพรรดิอมตะทั่วไป?

ได้ยินคำพูดของเฟิ่งชีชีเหล่าอัจฉริยะไม่เว้นต้วนหลิงเทียนก็ชักสีหน้าเคร่งขรึมทันที

“หากใช้เคลื่อนมิติของกฏมิติเล่า? จะฝ่ามันเข้าไปได้รึเปล่า?”

อัจฉริยะคนหนึ่งจากนิกายมรรคาฟ้าลึกล้ำเอ่ยถามลอยๆด้วยความอยากรู้

อัจฉริยะที่เอ่ยถามออกมาลอยยๆคนนี้ของนิกายมรรคาฟ้าลึกล้ำ ก็เป็นอัจฉริยะที่เข้าใจกฏแห่งมิติ และความลึกซึ้งเคลื่อนมิติของมันก็เข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยแล้ว

สามารถเคลื่อนย้ายข้ามมิติได้ถึง 10,000 หมี่

“เจ้าไม่ลองดูเล่า…”

เฟิ่งชีชีเอ่ยออกเสียงเบา ในแววตายังเผยความท้าทายเล็กน้อย

อัจฉริยะของนิกายมรรคาฟ้าลึกล้ำได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว แต่ต่อมามันก็เลือกจะเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง ใช้เคลื่อนย้ายมิติวูบร่างไปทันที หากทว่ามันกลับไม่ได้ไปผุดโผล่ที่ประตู แต่เป็นควางว่างเปล่าเบื้องหน้าใกล้ๆศีรษะของมังกรชั่วร้ายแทน!

“ฮู่มมม!!”

และมังกรชั่วร้ายดังกล่าวก็อ้าปากคำรามพ่นพลัง เข้าใส่อัจฉริยะที่ร่างพึ่งจะปรากฏกายทันที!

“แย่แล้ว!!”

อัจฉริยะคนดังกล่าวเห็นว่าผิดท่าก็คิดจะใช้เคลื่อนมิติเพื่อวูบร่างกลับไปทันที ทว่าสีหน้าของมันพลันแปรเปลี่ยนไปใหญ่หลวง เมื่อพบว่าห้วงมิติรอบกายของมันคล้ายถูกพลังบางอย่างผนึกเอาไว้ ไม่มีทางใช้เคลื่อนมิติได้เลย!!

ปงงง!!

ลำแสงทำลายล้างที่มังกรชั่วร้ายพ่นออกมา ก็ลบร่างอัจฉริยะคนดังกล่าวของนิกามรรคาฟ้าลึกล้ำไปในบัดดล คงเหลือเพียงแหวนพื้นที่ที่สภาพจะพังแหล่มิพังแหล่ร่วงตกฟ้าตามแรงโน้มถ่วง…

สำหรับชุดเกราะอมตะที่มันสวมใส่ป้องกันตัว ถูกพลังล้างผลาญจนไม่เหลือแม้แต่ซาก

“เฟิ่งชีชี!!”

เมื่อเห็นว่าศิษย์น้องของมันตกตายไปต่อหน้าต่อตา เอี้ยอู๋เต้า อัจฉริยะอันดับ 1 ของนิกายยมรรคาฟ้าลึกล้ำก็หันไปมองจ้องเฟิ่งชีชีตาขวาง เอ่ยถามออกไปเสียงหนัก “เจ้ารู้แต่แรกแล้วสินะ?”

“ความสามารถแต่กำเนิดของมังกรชั่วร้ายคือบิดเบือนห้วงมิติรอบกาย…หากเคลื่อนมิติไปอยู่ในรัศมีของมัน ไม่ว่าจะด้านข้างด้านหลังก็ไม่พ้นถูกมันควบคุมให้มาโผล่ด้านหน้า และมันอาศัยแค่ห้วงคิดก็ปิดผนึกห้วงมิติ ทำให้ไม่อาจใช้เคลื่อนมิติได้ตามใจ”

เฟิ่งชีชีกล่าวตอบออกมา และคำตอบของนางก็เป็นการบอกเอี้ยอู๋เต้าชัดเจน ว่านางล่วงรู้แต้แรกว่าผลลัพธ์มันจะจบลงอีหร็อบนี้

“เจ้า!!”

เอี้ยอู๋เต้าโมโหนัก “ในเมื่อเจ้ารู้แต่แรกไฉนไม่กล่าวเตือนศิษย์น้องข้า? ยังจะกล่าวทำนองท้าให้มันลองทำอะไร? เจ้าจงใจให้ศิษย์น้องข้าตายงั้นเหรอ?”

“ข้าก็แค่คิดให้มันทดลองดูเท่านั้น ว่ามังกรชั่วร้ายทั้งสอง ใช่บรรลุถึงด่านพลังจักรพรรดิอมตะแล้วจริงหรือไม่…เพราะมีเพียงมังกรชั่วร้ายที่บรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะแล้วเท่านั้น ถึงจะสามารถควบคุมห้วงมิติรอบกายได้ดั่งใจ”

เฟิ่งชีชียักไหล่พลางกล่าว “จากการที่ศิษย์น้องเจ้าไปผุดโผล่เบื้องหน้ามันแทนที่จะเป็นหน้าประตูโดยตรง รวมถึงเรื่องที่มันไม่อาจหนีกลับมาได้ ก็เท่ากับยืนยันให้รู้ว่ามังกรชั่วร้ายสองตัวนั่นบรรลุถึงด่านพลังจักรพรรดิอมตะแล้วจริงๆ มิใช่แค่อาศัยลูกเล่นหลอกลวงบางอย่างสร้างแรงกดดันขอบเขตจักรพรรดิอมตะออกมา”

คำตอบของเฟิ่งชีชีอดทำให้ผู้คนหนาวใจไม่ได้

เพียงเพื่อทดสอบให้รู้ชัดว่ามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 บรรลุถึงด่านพลังจักรพรรดิอมตะแล้วจริงๆหรือไม่ นางถึงกับกล่าวเชิงยั่วยุท้าทายให้ศิษย์นิกายมรรคาฟ้าลึกล้ำคนหนึ่งใช้ชีวิตเป็นเครื่องทดสอบ…

“เฟิ่งชีชี เรื่องวันนี้ข้าจะจำไว้!”

เอี้ยอู๋เต้ามองจ้องตาเฟิ่งชีชีเขม็ง แต่ไม่ได้ลงมือทำอะไร เพราะมันรู้ตัวดีว่ามันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฟิ่งชีชี และถึงแม้มันจะสู้ได้ แต่การลงมือเข่นฆ่านางต่อหน้าผู้คนมากมายก็ไม่ใช่เรื่องดี

“วันหน้าหากพวกเจ้าคิดจะออกจากเผ่าหงส์ฟ้าโบราณ ก็เดินดีๆล่ะ!”

เอี้ยอู๋เต้าหวาดตาไปมองคนของเผ่าหงส์ฟ้าด้านหลังเฟิ่งชีชี พลางกล่าวด้วยยิ้มบางๆ อย่างไรก็ตามรอยยิ้มบางๆนี้ของมัน ทำให้หน้าตามันแลดูอัปลักษณ์ไม่ต่างอะไรจากร้องไห้เลย

ด้านอัจฉริยะของเผ่าหงส์ฟ้าโบราณ เจอคำพูดนี้พร้อมด้วยรอยยิ้มอัปลักษณ์นั่นของเอี้ยอู๋เต้า ก็หน้าเสียไปทันที

“เอี้ยอู๋เต้า หากเจ้าอยากโดนขับไล่ออกจากนิกายมรรคาฟ้าลึกล้ำ จากนั้นก็โดนเผ่าหงส์ฟ้าโบราณข้าไล่ล่าโดยไร้คนคุ้มกะลาหัว เจ้าก็ลองดูได้”

เฟิ่งชีชีกล่าวสวนกลับไปด้วยรอยยิ้มไร้แยแส

ได้ยินดังนั้น สีหน้าของเอี้ยอู๋เต้าก็เปลี่ยนเป็นมืดดำทันที

นั่นคือความมั่นใจของเผ่าหงส์ฟ้าโบราณ

แม้นิกายมรรคาฟ้าลึกล้ำจะเป็นขุมพลังระดับ 1 เหมือนกัน แต่พลังอำนาจไม่อาจเทียบกับเผ่าหงส์ฟ้าโบราณได้เลย และหากเผ่าหงส์ฟ้าโบราณเลือกที่จะกดดันให้นิกายมรรคาฟ้าลึกล้ำขับไล่เอี้ยอู๋เต้าออกจากนิกายจริงๆ พวกมันก็ไม่อาจไม่ขับไล่

“ดูเหมือนว่าพวกเราทำได้แค่รอให้ครบ 1 เดือนแล้วจริงๆ ถึงจะเข้าไปในแดนลับทวยเทพได้”

อัจฉริยะหลายคนมองประตูสู่แดนลับทวยเทพที่แง้มเปิดเล็กน้อย จากนั้นก็หันกลับมามองมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 พักหนึ่งจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจนปัญญา

คนอื่นๆไม่เว้นต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน

ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนในตอนนี้จะมีพลังไม่ใช่ชั่ว แต่ให้เจอกับมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ก็ไม่ไหวจะสู้เหมือนกัน เขารู้ว่าดีว่าตัวเองยังห่างไกลจากการจะปะทะกับมังกรชั่วร้าย 2 ตัวนั่น

‘ดูเหมือนจะทำได้แค่รอเท่านั้น’

ต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่หันมามองสบตากัน ก่อนจะแลเห็นความนัยดุจเดียวกันในสายตาอีกฝ่าย

“ซูหลี่ ไหนๆก็ว่างไม่มีอะไรทำแล้ว…เจ้าเล่าให้ข้าฟังเร็วว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่หลังพวกเราแยกกันวันนั้น”

ต้วนหลิงเทียนเหินร่างพาฮ่วนเอ๋อกับซูหลี่ออกไปยังที่ว่างห่างผู้คน ค่อยหันมามองถามซูหลี่ด้วยรอยยิ้ม

ในขณะที่ซูหลี่กำลังจะกล่าวตอบ ฮ่วนเอ๋อพลันหันมามองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนเสียก่อน “พี่หลิงเทียน…ข้าพึ่งคุยกับมังกรชั่วร้ายทั้งคู่…พวกมันอนุญาตให้ข้าเข้าไปก่อนได้ แต่อย่างมากข้าก็พาคนเข้าไปกับข้าได้อีกแค่ 3 คนเท่านั้น”

“หืม?”

วาจากะทันหันนี้ของฮ่วนเอ๋อ ทำให้ต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่อึ้งไปแล้วจริงๆ

“ฮ่วนเอ๋อ ที่เจ้าพูด…จริงรึ?”

ต้วนหลิงเทียนถามไปตาปริบๆ รู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง

“อื้อ!”

ฮ่วนเอ๋อพยักหน้างุดๆ

“แล้วไฉนพวกมันยอมให้เจ้าไปก่อนได้เล่า แถมให้พาคนไปด้วยได้อีก?”

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามอีกรอบ

“เมื่อครู่ข้าคุยกับพวกมันอยู่ และสุดท้ายก็ตกลงกันได้…ตราบใดที่พวกมันให้พวกเราเข้าไปก่อน ข้าก็จะช่วยพาพวกมันออกจากแดนลับอัจฉริยะ”

พอฮ่วนเอ๋อกล่าวถึงจุดนี้ แววตาของนางก็เผยความเวทนาสงสารออกมาจับใจ “พี่หลิงเทียน พวกมันทั้งคู่น่าสงสารยิ่ง ถูกจับมาขังตั้งนานแล้ว…แถมคนที่จับพวกมันมาขังก็จำกัดการเติบโตก้าวหน้าของพวกมันเอาไว้”

“ช่วยพวกมันออกไปงั้นเหรอ?”

ต้วนหลิงเทียนตกใจ “ฮ่วนเอ๋อ เจ้าทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ?”

“ไม่มีปัญหาแน่นอนพี่หลิงเทียน”

ฮ่วนเอ๋อคลี่ยิ้มพลางกล่าว “ข้าใช้ทักษะลวงตาเพื่ออำพรางพวกมันก่อน จากนั้นก็ให้พวกมันทั้งคู่เข้าไปหลบในโลกใบเล็กข้า คราวนี้ข้าก็สามารถพาพวกมันออกไปด้วยได้แล้ว”

“แต่แม้ข้าจะตกลงกับพวกมันได้แล้ว พวกมันก็ยังยอมให้ข้าพาคนเข้าไปด้วยแค่ 3 คนเท่านั้น”

ฮ่วนเอ๋อกล่าว

“ให้พวกมันเข้าไปหลบในโลกใบเล็กเจ้าหรือ?”

ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วกล่าวออกเสียงหนัก “ไม่! อันตรายเกินไป…หากพวกมันคิดจะเข้าไปแอบในโลกใบเล็กให้มาแอบในโลกใบเล็กของข้านี่!”

ถึงแม้โลกใบเล็กในร่างหากถูกทำลายจะไม่ถึงตาย แต่หากผู้ลงมือเป็นตัวตนที่ทรงพลังเหนือกว่ามาก เจ้าของก็จะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย

ต้วนหลิงเทียนไม่คิดปล่อยให้ฮ่วนเอ๋อเสี่ยง

“พี่หลิงเทียน เรื่องนี้ท่านไม่ต้องห่วง ทั้งคู่ไม่มีทางทำร้ายข้าแน่นอน…และทั้งคู่ไม่คิดจะเข้าสู่โลกใบเล็กของท่านแน่ เพราะพวกมันไม่เชื่อใจมนุษย์เลย”

ฮ่วนเอ๋อกล่าว

ต่อมาภายใต้การอธิบายของฮ่วนเอ๋อ ต้วนหลิงเทียนก็พอได้สงบสติอารมณ์ลง

“แล่วนี่เจ้าเป็นฝ่ายทักพวกมันไปก่อนหรือยังไง หรือพวกมันเป็นฝ่ายชวนเจ้าคุย?”

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม

“พวกมันทักมาหาข้า…เพราะพวกมันจดจำกลิ่นอายของข้าได้และรู้ว่าข้าเป็นจิ้งจอกมายา ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังบอกว่าบรรพบุรุษของพวกมันสนิทสนมกับบรรพบุรุษจิ้งจอกน้ำแข็งพันมายาที่ปรากฏตัวขึ้นเมื่อนานมาแล้ว อีกทั้งในมรดกความทรงจำของข้าก็มีเรื่องของบรรพบุรุษพวกมันบันทึกไว้จริงๆ”

ฮวนเอ๋อกล่าว

ได้ยินคำพูดของฮ่วนเอ๋อ ต้วนหลิงเทียนก็พอได้วางใจลงไม่น้อย เพราะความทรงจำที่ตกทอดมาของฮ่วนเอ๋อไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน

“เจ้าสามารถพาคนไปได้อีก 3 คนงั้นหรือ…นอกจากข้ากับซูหลี่แล้ว ยังได้อีกคนสินะ?”

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามฮ่วนเอ๋อ

“อื้อ”

ฮ่วนเอ๋อพยักหน้า “พี่หลิงเทียนท่านจะพาใครไปแล้วแต่ท่านเลย ฮ่วนเอ๋อไม่รู้จักพวกมันสักคน หากท่านไม่อยากพาใครไป ก็ไม่ต้องพาไปเลยก็ได้”

“ซูหลี่เจ้ามีคนที่อยากพาไปด้วยไหม?”

ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามซูหลี่

“ข้าเหรอ? บอกตรงๆในนิกายกระบี่หมื่นหายนะข้าเองก็รู้จักไม่กี่คน…และคนที่ข้าเคยคุยด้วยมากหน่อยก็มีแต่กงซุนจิ้งสายซวนหยวนเท่านั้น เพราะสายซวนหยวนกับสายเฉิงหยิ่งข้าค่อนข้างสนิทกัน ถ้าจะชวนใครก็คงเป็นมั่นนั่นล่ะ”

“ที่สำคัญเลยก็คือผู้นำของสายซวนหยวน เป็นปู่ของกงซุนจิ้ง…พลังฝีมือยังจัดว่าร้ายกาจมาก ข้าสงสัยว่านั่นจะเป็นอีก 1 จักรพรรดิอมตะที่ทรงพลังทัดเทียมจักรพรรดิอมตะสมญานามในนิกายกระบี่หมื่นหายนะ”

ซูหลี่กล่าว

“หากเจ้าพากงซุนจิ้งเข้าไป ย่อมเป็นการสร้างบุญคุณให้กับผู้นำสายซวนหยวน…อย่างไรเสียเจ้าก็คิดจะเข้านิกายกระบี่หมื่นหายนะอยู่แล้ว มีคนเช่นนี้ติดค้างย่อมเป็นเรื่องดีไม่น้อย”

ซูหลี่กล่าวแนะนำ “แน่นอนว่านี่เป็นข้อเสนอข้าเท่านั้น ส่วนเจ้าจะพาใครไปก็แล้วแต่เจ้าเลย ข้าได้หมด”

“ถ้างั้นก็ชวนเจ้านั่นไปด้วยกันนั่นล่ะ”

ต้วนหลิงเทียนกล่าว “เจ้าส่งเสียงไปชวนมันเลย”

“แต่อย่าได้บอกความจริงกับมันก็พอ…ข้าไม่อยากให้มันรู้ว่าทำไมพวกเราถึงเข้าไปได้ก่อน”

กล่าวถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลืมเอ่ยเตือนซูหลี่ปิดท้าย

“ได้ ไม่มีปัญหา”

หลังจากนั้นพอซูหลี่หันไปเอ่ยชวนกงซุนจิ้งและบอกถึงสถานการณ์ตอนนี้ ก็ทำให้ลูกตากงซุนจิ้งเปล่งแสงจ้าทันที ยังแลดูตื่นเต้นยินดีไม่น้อย “ซูหลี่ นี่เจ้าไม่ได้หลอกให้ข้าดีใจเก้อหรอกนะ? เจ้าคงไม่ใช่พวกเห็นนิ่งๆแต่ที่จริงชอบแกล้งผู้อื่นใช่ไหม?”

“เจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของเจ้า…แต่พวกเรากำลังจะเข้าไปแล้ว”

ซูหลี่กล่าวชวนกงซุนจิ้งจบ ก็เอ่ยตัดบทแค่นี้ จากนั้นก็เหินร่างติดตามต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ มุ่งหน้าไปยังประตูสู่แดนลับทวยเทพที่มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ปกปักษ์เอาไว้ทันที

War sovereign Soaring The Heavens

War sovereign Soaring The Heavens

Status: Ongoing

จิตวิญญาณของผู้เชี่ยวชาญการใช้อาวุธในโลกปัจจุบัน ได้ทะลุข้ามไปยังโลกอื่นรวมเข้ากับความทรงจำของของเด็กหนุ่ม ที่ถูกกลั่นแกล้งตลอดเวลา จนกระทั้งขาดใจตาย

การฝึกฝนเทคนิค เก้ามังกรเทพสงคราม จะสามารถกวาดล้างศัตรูได้โดยไม่มีวันแพ้!

ขณะที่เขา มีความสามารถในการปรุงยา การสร้างอาวุธ และเชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ …

ทักษะทั้งหมดนี้ คือวิถีทางแห่งราชันย์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท