ตอนที่ 3,261 : ศิษย์อัจฉริยะ
ทั้ง 10 คนจากกลุ่มอายุไม่ถึง 100 ปีที่ผ่านการทดสอบ ก็ถูกชายวัยกลางคนนำตัวออกจากตำหนักลองกระบี่ จากนั้นก็ไปยังหอทะเบียนเพื่อลงทะเบียนเป็นศิษย์ใหม่ของวังเทียนฉือ และถูกพาตัวไปยังที่อยู่ที่เหมาะสม
ตัดกลับมาทางด้านตำหนักลองกระบี่ ก็ถึงคราวที่กลุ่มคนช่วงอายุ 100-200 ปีขึ้นไปสู้ตะลุมบอน
คนกลุ่มนี้มีไม่มากเหมือนกลุ่มแรก แต่ก็มีมากเกินครึ่งร้อย
“เริ่มได้”
เมื่อจ้าวตำหนักลองกระบี่จักรพรรดิอมตะไร้ใจ เหลยอิง กล่าวให้สัญญาณ ร่างคนกว่าครึ่งร้อยกลุ่มนี้ก็พร้อมใจกันปะทุพลังลงมืออย่างดุร้ายทันที
แน่นอนว่าในการทดสอบนั้น อนุญาตให้ใช้ได้แต่ศาสตราอมตะและชุดเกราะอมตะเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ใช้ยันต์อมตะ อุปกรณ์อมตะสิ้นเปลือง โอสถอมตะ รวมถึงจานค่ายกล
ร่างแล้วร่างเล่าตกตาย บ้างก็รีบกล่าวยอมแพ้และเร่งรุดหลบหนีออกมา บางคนพูดยอมแพ้ช้าไปจนพิการก็มี
ราวๆครึ่งชั่วยามต่อมา ก็หลงเหลือคนอยู่เพียง 20 คนเท่านั้น…และ 20 คนนี้ก็กำลังปะทะเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือด!
บางทีอาจเพราะมีบทเรียนจากการได้เห็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของกลุ่มที่แล้วถูกกลุ้มรุมสังหาร 20 คนที่ยังเหลือรอดอยู่ตอนนี้ ไม่ว่าใครก็ดูเหมือนจะรักษาระดับพลังของตัวเอาไว้อย่างเคร่งครัด
อย่างไรก็ตาม เมื่อสบโอกาสเหมาะบางคนก็ระเบิดพลังออกมาเข่นฆ่าสังหารคนใกล้ตัว บ้างก็เผยพลังที่ที่แท้จริงออกมา
ยังมีคนไม่กี่คนที่เหมือนจะลอบส่งเสียงตกลงอะไรบางอย่างกัน จึงร่วมมือกันเพื่อต้านทานรับมือ สุดท้ายก็สามารถอยู่รอดได้จนจบ
“เอาล่ะ ตอนนี้ในบรรดาผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 100 ปี สามารถเลือกจะท้าทายผู้ใดก็ได้ในบรรดา 10 คนที่ยืนอยู่กลางจัตุรัส…ตราบใดที่ท้าทายเอาชนะมาได้ พวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทดสอบอะไรอีก สามารถเข้าร่วมวังเทียนฉือได้ทันที สำหรับผู้ที่ถูกท้าแล้วพ่ายแพ้ก็รอขึ้นสังเวียนคืนชีพรอบต่อไป”
เสียงของเหลยอิงดังขึ้นอีกครั้ง
ครู่ต่อมาเหล่าผู้ที่หลบหนีออกมาหรือ ยอมแพ้ในการต่อสู้ตะลุมบอนของกลุ่มช่วงอายุไม่ถึง 100 ก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว
จากนั้นก็มี 2 คนก้าวออกมา และเลือก 2 ใน 10 ที่พึ่งผ่านการสู้ตะลุมบอนทันที อนิจจาทั้งคู่ล้วนล้มเหลว ไม่อาจเอาชนะ 2 คนในกลุ่มช่วงอายุ 100-200 ที่พึ่งผ่านศึกมาได้…กระทั่งหนึ่งในนั้นยังถูกฆ่าทิ้งทันที!
ทั้ง 10 คนในกลุ่มช่วงอายุ 100-200 ปี สามารถรอดมาจนจบได้ยังมีใครอ่อนด้อยบ้าง? ดั่งคำอูฐผอมยังตัวใหญ่กว่าม้า แม้จะบาดเจ็บแล้วมีสภาพอิดโรย ก็ยังสำแดงพลังกล้าแข็งสะกดผู้ที่อายุไม่ถึงร้อยปีได้อยู่
เหล่าผู้ที่มีอายุต่ำกว่าร้อยที่ถูกคัดออกก่อนหน้าลำพังรุ่นเดียวกันก็ไม่ไหวแล้ว ย่อมยากจะเอาชนะผู้มีอายุสูงกว่าที่สู้ฝ่าฟันมาได้!
สุดท้ายแม้หลายคนจะออกไปลองท้าทายคนที่ดูมีอาการบาดเจ็บหนัก แม้กระทั่งท้าคนที่อาการหนักผู้นั้นซ้ำทันทีก็ยังล้มเหลวอยู่ดี
ไม่มีใครที่อายุต่ำกว่า 100 ปีสามารถเอาชนะสังเวียนคืนชีพได้สำเร็จ…
“พวกเจ้าที่ไม่คิดท้าทายแล้วก็รออยู่ตรงนี้ก่อน…รอให้การทดสอบรอบที่ 3 จบลงเมื่อไหร่จักมีคนพาออกไปเอง”
เหลยอิงเหลือบมองไปยังกลุ่มคนนอายุไม่ถึง 100 ที่แพ้พ่ายและยังมีชีวิตอยู่พลางพล่าว ตอนนี้พวกมันก็ไม่มีสิทธิ์ท้าทายอะไรแล้ว หมดโอกาสโดยสมบูรณ์ ที่ต้องรอเพราะไม่มีใครว่างไปส่งพวกมัน…
“เจ้าพาทั้ง 10 ไปลงทะเบียนเสีย”
เหลยอิงหันมองไปยัง 1 ใน 9 ผู้อาวุโสตำหนักลองกระบี่ที่ยืนรออยู่ด้านหลังพลางกล่าว และอาวุโสคนนั้นก็ไม่รอช้า หอบหิ้วร่างทั้ง 10 จากไปทันที
ต่อมาก็ถึงตากลุ่มอายุ 200-300 ปีลงสู้
ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ก้าวเท้าเดินไปยืนกลางจัตุรัสอย่างไม่รีบไม่ร้อน
เมื่อทั้งคู่ยืนอยู่กลางจัตุรัส หลายคนก็มองไปด้วยความอิจฉา และมีหลายคนที่มองจ้องทั้งคู่ด้วยความหวาดกลัว ยังมีคนที่หวาดระแวงจนไม่กล้าเข้าใกล้ทั้งคู่อีกด้วย
และทุกคนนั้น ลึกลงไปในแววตาก็ฉายชัดถึงความอับจนหนทางประการหนึ่ง
ไม่ว่าจะต้วนหลิงเทียนก็ดี ฮ่วนเอ๋อก็ดี การทดสอบทั้ง 2 รอบที่ผ่านมา ทั้งคู่ได้สำแดงพลังที่เหนือชั้นสุดที่พวกมันจะทาบติดออกมาให้เห็นแล้ว พวกมันไม่ว่าใครก็รู้ตัวดีว่าไม่มีหนทางทำอะไรทั้งคู่ได้เลย
นอกจากนี้ในเมื่อทั้งคู่อยู่ด้วยกันแบบนี้ ไม่พ้นต้องคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันแน่นอน
“อั้ย…ข้าว่าในกลุ่มนี้คงไม่มีใครกล้าทำอะไร 2 คนนั่นแน่นอน เผลอๆยังต้องคอยระวังทั้งคู่ด้วย ว่าจะใช่มืออำมหิตชมชอบฆ่าคนเป็นผักปลาหรือไม่? ถ้าเกิดเริ่มมาสองคนนั่นระเบิดพลังฆ่าคนสักตู้ม ข้าว่าได้มีวงแตกรีบวิ่งหนีกันแทบไม่ทันเป็นแน่…ว่ากันตามตรง เจ้าน่าจะให้สองคนนั่นข้ามการทดสอบนี่ไปได้เลยด้วยซ้ำ”
ฉือหล่างกล่าวกับเหลยอิง
และผลที่ปรากฏออกมาก็พบว่าฉื่อหลางเดาได้ถูกเผง
หลังจากที่เหลยอิงประกาศให้เริ่มต้นการต่อสู้ตะลุมบอน ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจะยืนอยู่กลางจัตุรัส แต่ทุกคนพร้อมใจกันออกห่าง ไม่เฉียดเข้าไปใกล้ทั้งคู่แม้แต่น้อย เห็นชัดว่าไม่มีใครกล้าลงมือจู่โจมใส่
คนอื่นๆนั้นปะทะกันดุเดือดเลือดพล่าน แต่จุดที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อยืนอยู่กลับสงบไร้คลื่นลมใดๆ
ปงงง!!
ตูมมมม!!
…
เสียงพลังปะทะดังสะเทือนเลือนลั่นไม่หยุด คลื่นพลังสะท้อนเองก็กำจายไปในอากาศระลอกแล้วระลอกเล่า อย่างไรก็ตาม ทุกคนที่จู่โจมลงมือจงใจเบี่ยงพลังและการโจมตีทั้งหมดของตัว ไม่ให้เฉียดเข้าใกล้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเลย!
เรียกว่าสิ่งนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนในช่วงอายุอื่นๆทันที
“นี่มันอะไรกันแน่?…ไม่มีผู้ใดหาญกล้าโจมตี 2 คนนั่นเลยหรือ?”
“ข้าได้ยินมาว่า รอบแรกนั้นทั้งคู่ถึงกับทำลายแรงกดดันพลังของผู้ทดสอบโดยตรง ผู้หญิงคนนั้นยังดี แต่เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่น เห็นว่ามันทำลายแรงกดดันของผู้ทดสอบด้วยพลังที่เหนือกว่ากันมาก ผู้ทดสอบคนนั้นจึงถูกพลังสะท้อนซัดจนเปลี้ย ถึงกับทำหน้าที่ทดสอบต่อไม่ไหวจำต้องเปลี่ยนคนทดสอบ…ข้าเกรงว่าพลังฝีมือระดับพวกมัน ให้ทั้งหมดในกลุ่มร่วมมือกันยังทำอะไรพวกมันคนใดคนหนึ่งไม่ได้เลย”
“ซืด…สองคนนั่นร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียว!? แล้วนี่มันเป็นใครมาจากไหนกันแน่ ผู้ฝึกตนอิสระจะร้ายกาจได้ขนาดนี้เชียวหรือ?”
“นั่นสิ อายุไม่ถึง 300 ปีแต่กลับมีพลังระดับนั้น ข้าว่าต่อให้เป็นในบรรดาขุมกำลังระดับสวรรค์ ก็ไม่ใช่ว่าจะมีอัจฉริยะระดับนี้มากนัก”
“ข้าว่า 2 คนนี้ทันทีที่เข้าสู่วังเทียนฉือ พวกมันก็ไม่พ้นต้องกลายเป็นศิษย์อัจฉริยะทันที”
“เป็นธรรมดา”
…
ตอนนี้หลายคนของกลุ่มช่วงอายุอื่นๆที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเกี่ยวกับต้วนหลิงเทียน ก็เริ่มได้ยินความน่ากลัวของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจากคนที่สังเกตเห็น หลายคนยังสอบถามจากคนในกลุ่มอายุ 200-300 ที่ยอมแพ้ออกมาจนรู้ความ
สุดท้ายหลังจากผ่านไปราวๆครึ่งชั่วยาม นอกจากต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อที่ยืนเฉยมาตลอดเวลาแล้ว คนที่เหลือก็สามารถสู้ตัดสินจนหา 8 คนสุดท้ายได้สำเร็จ
อีก 2 ที่ พวกมันจงใจเว้นให้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อโดยเฉพาะ
“คนที่ถูกคัดออกของกลุ่มที่แล้ว สามารถเลือกท้าผู้ใดก็ได้ในบรรดา 10 คนที่เห็น…ตราบใดที่การท้าทายประสบผลสำเร็จ พวกเจ้าก็จะได้รับโอกาสเข้าสู่วังเทียนฉือของพวกเรา”
เหลยิงหันมองไปยังกลุ่มคนในช่วงอายุ 100-200 ปีที่ถูกคัดออกมาก่อนหน้าพลางกล่าว
ทันใดนั้น เหล่าผู้แพ้ของกลุ่มก่อน ก็เริ่มลงมือทันที
ถึงแม้พวกมันจะรู้ดีว่าคนของกลุ่มอายุ 200-300 ปีร้ายกาจแค่ไหนจากการเฝ้าชมการต่อสู้ตะลุมบอนเมื่อครู่ แต่พวกมันก็ยังอยากลองดู เพราะมีหลายคนที่แลดูบาดเจ็บและพลังตกลงไปหลายส่วน อย่างไรเสียนี่ก็คือโอกาสสุดท้ายในการเข้าวังเทียนฉือของพวกมันแล้ว พวกมันจึงเลือกที่จะลองเสี่ยงดูสักครา
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ไม่ถูกใครท้าทายเลย
ส่วนอีก 8 ถูกท้าทายติดๆจนแทบไม่ได้พัก
เหล่าคนกลุ่มที่แล้วที่เป็นผู้ท้าชิงก็ไม่มีใครเป็นตัวโง่งม พวกมันไหนเลยจะไม่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ่อนั้นร้ายกาจถึงขั้น คนอายุ 200-300 ปียังไม่กล้าแตะ เช่นนั้นพวกมันก็ไม่มีใครคิดหาเรื่อง
“พี่ชายต้วนหลิงเทียน เดี๋ยวข้าท้าท่านแล้วท่านก็ยอมแพ้ให้ข้าเป็นไง…หลังจากนั้นข้าจะมอบเกราะอมตะระดับจักรพรรดิให้ท่านตัวนึง เพราะอย่างไรเสียด้วยพรสวรรค์กับความสามารถของท่าน ต่อให้ยอมแพ้ข้าไป วังเทียนฉือก็ต้องรับท่านผ่านประตูหลังอยู่ดี อีกทั้งจากที่ได้ยินมา…ท่านก็น่าจะท้าทายเอาชนะผู้ชนะกลุ่มถัดไปได้ง่ายๆด้วยซ้ำ…”
ชายหนุ่มในชุดคลุมขนสัตว์ชุดแพรหรูหราที่แลดูสะบักสะบอมเล็กน้อย เอ่ยยื่นข้อเสนอให้ต้วนหลิงเทียนผ่านพลังด้วยน้ำเสียงสุภาพนอบน้อม
ชุดเกราะอมตะระดับจักรพรรดิ?
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนเพียงเหลือบมองมันปราดเดียวด้วยสายตาเฉยเมย จากนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรมัน
พอเห็นเช่นนี้ มันก็ได้แต่หันไปลองยื่นข้อเสนอให้ฮ่วนเอ๋อข้างต้วนหลิงเทียนดู กระทั่งเพิ่มข้อเสนอที่สตรีทั้งหลายน่าจะถูกใจเข้าไปด้วย อนิจจาฮ่วนเอ๋อยังเฉยกว่าต้วนหลิงเทียยนเสียอีก เพราะกระทั่งหางตานางยังไม่เหลือบแล ไม่ได้แยแสมันแม้แต่นิดเดียว…
สุดท้ายก็ไม่มีผู้ท้าชิงคนไหนทำสำเร็จ
“ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋ออยู่ต่อก่อน ส่วนอีก 8 คนที่เหลือ ติดตามผู้อาวุโสเฉียนเพื่อไปทำเรื่องลงทะเบียนเสีย”
เหลยอิงกล่าวให้ต้วนหลิงเทียนกัฮ่วนเอ๋ออยู่ต่อก่อน จากนั้นก็หันไปมองชายชราคนหนึ่งในบรรดา 8 ผู้อาวุโสของตำหนักลองกระบี่ที่เหลือด้านหลัง
“ตามข้ามา”
ชายชราที่ถูกเรียกหาว่าอาวุโสเฉียน ก็มองกล่าวกับคนทั้ง 8 นอกจากต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ก่อนจะพาพวกมันจากไปทันที
จากนั้น เหลยอิงก็จงใจเลื่อนการต่อสู้ตะลุมบอนของกลุ่มถัดไปเป็นการชั่วคราว และหันไปมองต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ่อด้วยรอยยิ้ม
“ต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อ…พวกเจ้าอยากมาอยู่กับข้าหรือฉือหล่างหรือไม่? เพียงเข้าร่วมกับตำหนักของพวกเราก็พอ ไม่จำเป็นต้องคารวะพวกเราเป็นอาจารย์อันใด เพียงเห็นพวกเราเป็นครูเท่านั้น”
เหลยอิงที่แย้มยิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋ออย่างมากอัธยาศัยนั้น น้ำเสียงยังฟังดูเป็นมิตรมาก
อีกทั้งถ้อยคำที่เหลยอิงกล่าว ยังพูดเชิงรู้ว่าต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อมีอาจารย์อยู่แล้ว จึงไม่คิดจะบังคับให้ทั้งคู่ยอมรับนางกับฉือหล่างเป็นอาจารย์
เหลยอิงไม่ได้จงใจกล่าวเสียงเบาหรือผ่านพลัง เช่นนั้นทุกคนที่อยู่ในที่นี้จึงได้ยินเป็นธรรมดา
ทันใดนั้นสายตาเร่าร้อนและเต็มไปด้วยความอิจฉานับร้อยๆคู่ก็ตกลงบนร่างต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ่อทันที แต่ละคนเห็นชัดว่าอยากแทนที่ทั้งคู่จับใจ
เป็นธรรมดาว่ายังมีหลายคนมองต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ่อด้วยความริษยาเจือความเกลียดชัง
“ข้าไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อนั่นจะได้รับคำเชิญเป็นการส่วนตัวจาก 2 จักรพรรดิสมญานามของวังเทียนฉือ ทั้งๆที่ยังไม่ทันได้ลงทะเบียนเป็นศิษย์วังเทียนฉือด้วยซ้ำ…ต้องทราบด้วยว่าทั้งวังเทียนฉือก็มีจักรพรรดิอมตะสมญานามแค่ 9 คนเท่านั้น…”
“เฮ่อ ด้วยความสามารถของพวกมัน ก็สมควรแล้วที่จะเข้าตาจักรพรรดิอมตะสมญานาม”
“ในเมื่อทั้งคู่มีพลังมากพอจะกลายเป็นศิษย์อัจฉริยะขอวังเทียนฉือได้ทันทีที่เข้าสู่วังเทียนฉือ อย่าว่าแต่ใต้เท้า 2 ท่านตรงนี้เลย ข้าว่าให้เป็นใต้เท้าจักรพรรดิอมตะสมญานามคนใด ก็ยินดีรับตัวทั้งคู่กระมัง?”
…
ในขณะที่หลายคนเริ่มกระซิบกล่าวกันด้วยความอิจฉา ทั้งหมดก็แลดูรอฟังอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่บ้าง ด้วยอยากรู้ว่าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจะตอบอย่างไร
ในขณะเดียวกันกับที่ได้ยินคำชวน ต้วนหลิงเทียนก็ส่งเสียงผ่านพลังไปหาฮ่วนเอ๋อทันที “ฮ่วนเอ๋อเจ้าเลือกจะอู่กับจักรพรรดิอมตะไร้ใจเหลยอิงเถอะ…ส่วนข้าจะไปอู่กับฉือหล่าง จักรพรรดิอมตะทุ่งขจีคนนี้เอง”
“ด้วยวิธีนี้พวกเราก็มีทุนรอนให้เริ่มสืบหาบิดามารดาเจ้าถึง 2 ทาง”
“นอกจากนั้นการที่พวกเราแยกกันเข้าร่วมกับทั้งคู่ ก็เสมือนพวกเรามีจักรพรรดิอมตะสมญานามเป็นผู้อุปถัมภ์ถึง 2 คน!”
ต้วนหลิงเทียนคิดไปถึงเรื่องหลังจากนี้ด้วย
ฮ่วนเอ๋อเองก็เชื่อฟังการจัดการของต้วนหลิงเทียนอย่างไม่มีเงื่อไข
“ต้วนหลิงเทียน!”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อทำท่าเหมือนกำลังส่งเสียงผ่านพลังคุยกันอยู่ ไม่ว่าจะเหลยอิงก็ดี ฉือหล่างก็ดีล้วนรู้ว่าทั้งคู่กำลังลังเล จึงเร่งส่งเสียงผ่านพลังไปทันที
และไม่ว่าใคร ต่างเสนอผลประโยชน์และอภิสิทธิ์ที่จะได้รับหากมาเข้าร่วมกับตัวอย่างดีงามทั้งสิ้น…
และหากเทียบกับฮ่วนเอ๋อแล้ว ทั้งคู่แลดูกระตือรือร้นอยากได้ตัวต้วนหลิงเทียนมากกว่า
ยิ่งไปกว่านั้นทั้งคู่ล้วนสังเกตเห็นได้เรื่องหนึ่ง
ฮ่วนเอ๋อดูเหมือนจะติดต้วนหลิงเทียนแจ
บางทีขอแค่ชักชวนต้วนหลิงเทียนเข้าประตูพวกมันได้ ฮ่วนเอ๋อก็ไม่พ้นติดตามเข้ามาแน่นอน!
“อาวุโสฉือหล่าง ข้าตัดสินใจเข้าร่วมกับท่าน”
ในที่สุด ต้วนหลิงเทียนก็หันหน้าไปมองกล่าวกับฉือหล่างเสียงดังฟังชัด
ในขณะที่สีหน้าฉือหล่างฉายชัดถึงความดีใจปานลิงโลด และใบหน้าเหลยอิงชะงักค้างไปราวถูกแช่แข็ง ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองกล่าวกับเหลยอิงต่อว่า “จ้าวตำหนักเหลยฮ่วนเอ๋อจะเข้าร่วมตำหนักท่าน เช่นนั้นข้าฝากท่านดูแลนางด้วย”
เดิมทีพอเห็นต้วนหลิงเทียนตัดสินใจเข้าร่วมกับฉือหล่าง และรู้แต่แรกว่าฮ่วนเอ๋อติดต้วนหลิงเทียนแจ นางก็ใจเสียไปทันที เพราะคิดว่าเมื่อต้วนหลิงเทียนไปไหน ฮ่วนเอ๋อก็จะติดตามไปที่นั่น
ตอนนี้พอมาได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน สีหน้านางจึงผ่อนคลายลงมาก สามารถยิ้มร่าได้อีกครั้ง เร่งตอบรับไปเร็วไว “ไม่มีปัญหา!”
“ฉือหล่าง เป็นเจ้าเอาเปรียบข้าแล้วจริงๆ”
หลังจากเหลยอิงหันไปมองค้อนฉือหลางด้วยความขุ่นเคือง นางก็หันไปมองกล่าวกับฮ่วนเอ๋อทันที สีหน้ายังแลดูอ่อนโยนใจดีมาก “สาวน้อยฮ่วนเอ๋อ เดี๋ยวเจ้ากับต้วนหลิงเทียนติดตามฉือหล่างไปลงทะเบียนก่อน…ข้าเสร็จเรื่องการทดสอบเมื่อใดจะไปรับเจ้าเอง”
กล่าวจบเหลยอิงก็หันไปมองกล่าวกับฉือหล่างอีกครั้ง สองตากลับมาแหลมคม น้ำเสียงชราฟังดูห้วนดุไม่น้อย “ฉือหล่าง ให้เจ้าเป็นธุระพาฮ่วนเอ๋อของข้าไปลงทะเบียนด้วย…คงไม่มีปัญหาอะไรกระมัง?”
“อั้ยหยา! เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ จักไปมีปัญหาอันใดเล่า!”
ฉือหล่างหัวอย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็พาต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจากไปทันที
จนเมื่อพวกต้วนหลิงเทียนนทั้ง 3 จากไปแล้ว การทดสอบรอบที่ 3 ก็เริ่มดำเนินการสืบต่อ
“อาวุโสฉือหล่าง…สถานที่ๆพวกเราใช้ทดสอบเมื่อครู่ สมควรเป็นโลกใบเล็กกระมัง?”
หลังออกจากจัตุรัสทดสอบของตำหนักลองกระบี่ ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองถามฉือหล่างทันที
ฉือหล่างก็พยักหน้า “ไม่ผิด นั่นเป็นโลกใบเล็กจริงๆ…และเป็นโลกใบเล็กที่ เหลยอิง จ้าวตำหนักลองกระบี่สร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง”