WSSTH ตอนที่ 3,268 : เหลยจวิ้นก็มา!
“อา…เช่นนั้นหรือ?”
โดนหลิวเจี้ยนกล่าวปรามาส ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มบางๆตอบคำ
“ศิษย์พี่”
ทันใดนั้นเอง ปรากฏชายหนุ่มร่างสูงเพรียวในชุดคลุมสีฟ้าเหินมาแต่ไกล ไม่ทันไรก็พุ่งมาหยุดลงข้างกายหลิวเจี้ยน “ท่านเรียกข้าหรือ?”
“ศิษย์น้อง เจ้าหนูชุดม่วงนี่ก็คือคู่ต่อสู้ของเจ้าวันนี้…ศิษย์ของใต้เท้าจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่าง ต้วนหลิงเทียน อย่างไรเล่า”
หลิวเจี้ยนเหลือบมองต้วนหลิงเทียนปราดหนึ่ง ค่อยหันกลับมากล่าวคำกับชายหนุ่มชุดฟ้าผู้มาใหม่
ฟังจากคำพูดของหลิวเจี้ยนแล้ว เช่นนั้นชายหนุ่มชุดฟ้าผู้มาใหม่ ก็คือคู่ต่อสู้ในสังเวียนอัจฉริยะของต้วนหลิงเทียนวันนี้ หวงลู่หนาน
หวงลู่หนานเป็นศิษย์อัจฉริยะในช่วงอายุ 200-300 ปีอันดับที่ 10
การประลองในวันนี้ ตราบใดที่ต้วนหลิงเทียนสามารถเอาชนะมันได้ เขาก็จะแทนที่หวงลู่หนาน กลายเป็นอัจฉริยะในช่วงอายุ 200-300 ปีอันดับที่ 10! สำหรับหวงลู่หนานมันก็จะถูกถอดออกจากตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะทันที…
ศิษย์อัจฉริยะนั้น จะได้รับป้ายประจำตัวบ่งบอกฐานะ ป้ายดังกล่าวก็เป็นดั่งใบเบิกทางชั้นยอด สามารถเข้าไปในสถานที่สำคัญที่สามารถส่งเสริมการบ่มเพาะได้หลายอย่าง ศิษย์ธรรมดาๆของวังเทียนฉือไม่อาจเข้าไปได้
นอกจากนั้นด้วยมีป้ายอยู่ ทรัพยากรที่จะได้รับแจกทุกเดือน ยังเป็นอะไรที่สร้างความอิจฉาให้แก่ศิษยธรรมดาๆของวังเทียนฉือเป็นอย่างมาก
สุดท้ายแล้วให้มองไปทั่วทั้งวังเทียนฉือ ก็มีชนชั้นศิษย์อัจฉริยอยู่แค่ 100 คนเท่านั้น…แถมวังเทียนฉือก็เป็นถึงขุมกำลังระดับสวรรค์ ด้วยเหตุนี้การจะช่วงชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือก็ไม่ใช่เรื่องราวอันง่ายดายเลย…
“อ้อ”
ได้ยินคำพูดของหลิวเจี้ยน หวงลู่หนานก็หันไปมองสำรวจต้วนหลิงเทียนทันที เอ่ยถามออกมาเสียงเบาว่า “ข้าได้ยินมาว่าตอนเจ้าเข้าร่วมการทดสอบ เจ้าถึงกับสามารถสยบผู้ทดสอบขอบเขตพลังจอมราชันอมตะ 6 ผสานที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้ว 4 ประการได้เช่นนั้นรึ?”
ขณะเอ่ยถาม สองตาของหวงลู่หนานก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง
“ข้อมูลเจ้าแน่นดีนี่”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยเสียงเรียบ
“ข้าหวังว่าพลังฝีมือของเจ้าจักสูงกว่านั้น…หาไม่แล้ววันนี้ข้าคงต้องผิดหวังอย่างแรง”
หวงลู่หนานส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม แม้มันจะรู้ว่าต้วนหลิงเทียนมีพลังสามารถดังกล่าว แต่มันก็ไม่รู้สึกกดดันอะไรเลย
“ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจในตัวเองไม่เบา”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“ก็ไม่เท่าไหร่…แต่อย่างน้อยๆก็มากกว่าเจ้าแน่นอน”
หวงลู่หนานกล่าวเกทับด้วยรอยยิ้มถือดี
“โห จริงหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนก็ทำหน้าทำตาเอ่ยรับด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“นู่น! ผู้อาวุโสตำหนักลองกระบี่มานู่นแล้ว!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับหวงลู่หนานปะทะคารมกันอยู่ เสียงของศิษย์วังเทียนฉือที่อยู่ห่างออกไปไกลๆก็ดังขึ้น ทำให้ต้วนหลิงเทียนฮ่วนเอ๋อ หงเฟย หลิวเจี้ยนรวมถึงหวงลู่หนานหันไปมองตามต้นเสียงทันที
“เป็นผู้เฒ่าคนนั้นอีกแล้ว…”
ต้วนหลิงเทียนที่เงยหน้าไปชำเลืองมองปราดเดียว ก็จดจำได้ทันทีว่าอาวุโสตำหนักลองกระบี่ที่มา ก็คือชายชราคนเดียวกับเมื่อไม่กี่วันก่อนที่ทำเรื่องลงทะเบียนท้าชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะให้เขากับฮ่วนเอ๋อ บริเวณหน้าตำหนักลองกระบี่
“หวงลู่หนาน ต้วนหลิงเทียน…พวกเจ้ามาถึงกันแล้วหรือยัง?”
ทันทีที่อาวุโสตำหนักลองกระบี่มาถึง มันก็เหินร่างไปหยุดยังเกาะกลาง ยังอยู่เหนือตำแหน่งที่ตั้งแท่นศิลาที่สลักคำ สังเวียนอัจฉริยะ พลางกล่าวถามออกมาเสียงเรียบ
ถึงแม้เสียงพูดมันจะฟังดูไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่คล้ายมีพลังเวทมนตร์ ทำให้สุรเสียงกังวานเข้าหูทุกคนชัดถ้อยชัดคำ
“ศิษย์น้องไปเถอะ…ข้าเองก็อยากรู้จริงๆ ว่าไอ้หนูนั่นมันมีดีอะไร ไฉนใต้เท้าจักรพรรดิอมตะทุ่งขจี ฉือหล่าง ถึงต้องไปรับตัวมันมา”
หลิวเจี้ยนกล่าวกับหวงหลง
ถึงแม้ว่ามันกับหวงลู่หนานจะอยู่ใต้จักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือเช่นกัน แต่จักรพรรดิอมตะสมญานามที่เป็นอาจารย์ของมัน กลับมีพลังฝีมืออ่อนด้อยกว่าฉือหล่างหลายส่วน
และในอดีตหลิวเจี้ยนก็อยากเข้าร่วมด่านของฉือหล่าง กระทั่งกล่าวร้องขอฉือหล่างก็แล้ว แต่สุดท้ายก็โดนปฏิเสธกลับมา
เป็นเพราะสาเหตุนี้ ทำให้มันจงเกลียดจงชังศิษย์อัจฉริยะของฉือหล่างนัก
ไฉนฉือหล่างถึงได้ยอมรับคนที่อ่อนด้อยกว่ามันเป็นศิษย์ แต่ไม่ใช่มัน?
“ขอศิษย์พี่วางใจ และรอดูชมให้ดีเถอะ…ข้าจักให้เจ้านั่นมันซึ้งไปถึงทรวง ว่าศิษย์อัจฉริยะเป็นเช่นไร”
หวงลู่หนานกล่าวเย้ยเยาะออกมาอีกรอบ
และพอเสียงหวงลู่หนานดังจบคำ คนก็คล้ายกลับกลายเป็นลูกไฟ พุ่งไปยังสังเวียนอัจฉริยะที่อยู่เบื้องหน้าอาวุโสตำหนักลองกระบี่เร็วไว
“ท่านผู้อาวุโส”
หลังหวงลู่หนานเหินร่างขึ้นไปยืนบนสังเวียนอัจฉริยะแล้ว มันก็ทักทายอาวุโสตำหนักลองกระบี่ก่อนใดอื่น พร้อมกันนั้นก็สะบัดมือส่งป้ายระบุตัวตนของมันออกไป
ป้ายระบุตัวตนที่ว่า เป็นป้ายระบุตัวตนว่าเป็นศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือ
ป้ายประจำตัวศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือจะไม่มีชื่อสลักไว้ แต่มันสามารถจดจำเจ้าของได้ด้วยพันธะโลหิต
เมื่อครู่หวงลู่หนานก็ได้ทำการยกเลิกพันธะโลหิตในป้ายเรียบร้อยแล้ว ค่อยส่งไปให้อาวุโสตำหนักลองกระบี่
แม้ว่าตัวป้ายจะไม่มีชื่อ แต่ก็ยังมีตัวเลขสลักเอาไว้
อย่างเช่นป้ายที่หวงลู่หนานส่งไปเมื่อครู่ ก็มีตัวเลข 200-300 รวมถึงหมายยเลข 10 สลักอยู่…สิ่งนี้บ่งบอกว่าผู้ถือครองป้ายเป็นอัจฉริยะช่วงอายุ 200-300 ปีและมีอันดับที่ 10
เรียกว่าในช่วงเวลาเดียวกัน ศิษย์อัจฉริยะแต่ละคน จะมีป้ายประจำตัวแตกต่างกัน ไม่มีใครซ้ำกันแน่นอน
และหากเป็นศิษย์อัจฉริยะคิดต่อสู้ชิงตำแหน่งกัน ผู้แพ้ก็จะเสียป้ายให้ผู้ชนะ ส่วนผู้ชนะก็จะได้ป้ายของผู้แพ้ แลกป้ายกันก็ว่า
ฟุ่บ!
ในขณะที่หวงลู่หนานมอบป้ายประจำตัวศิษย์อัจฉริยะไปให้อาวุโสตำหนักลองกระบี่ ต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างด้วยเคลื่อนมิติไปผุดโผล่บนสังเวียนอัจฉริยะที่หวงลู่หนานรออยู่ก่อนเช่นกัน
เห็นฉากดังกล่าว ฮ่วนเอ๋อก็ใช้เคลื่อนมิติไปหยุดลอยอยู่บริเวณข้างๆสังเวียนอัจฉริยะดังกล่าวทันที มองชมต้วนหลิงเทียนที่กำลังเผชิญหน้ากับหวงลู่หนานด้วยสายตาเชื่อมั่น
“น้องสะใภ้ พลังฝีมือของหวงลู่หนานไม่ใช่ชั่วเลย…เจ้าว่าศิษย์น้องเล็กมีความมั่นใจมากน้อยยเพียงใด?”
หงเฟยที่เหินร่างตามฮ่วนเอ๋อมา เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“พี่หลิงเทียนไม่แพ้มันแน่”
ได้ยินคำถามของหงเฟย คำตอบของฮ่วนเอ๋อก็เรีบบง่ายทั้งตรงไปตรงมานัก ทำให้หงเฟยอดสะดุ้งไปไม่ได้
แน่นอนถึงมันจะเห็นว่าฮ่วนเอ๋อมีความเชื่อมั่นในตัวต้วนหลิงเทียนสูงมาก แต่มันคิดว่าเป็นเพราะฮ่วนเอ๋อเชื่อใจต้วนหลิงเทียนมากกว่า ไม่ใช่อิงจากพลังฝีมือที่แท้จริง
‘ถึงแม้อาจารย์จะกล่าวบอกไว้แล้วว่าอย่างศิษย์น้องเล็กต้องชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะมาได้โดยไร้ปัญหา…แต่อย่างไรเสียคู่ต่อสู้ของศิษย์น้องเล็กกลับเป็นหวงลู่หนานศิษย์น้องของหลิวเจี้ยนผู้นั้น…’
หงเฟยไม่เชื่อคำพูดของฮ่วนเอ๋อได้ แต่ไม่อาจไม่เชื่อคำพูดของฉือหล่าง อย่างไรก็ตามถึงมันจะเชื่อฉือหล่าง แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยอยู่บ้าง
‘ช่างเถอะ…ก็แค่รอดูกันไป ตราบใดที่ศิษย์น้องเล็กเอาชนะหวงลู่หนานนั่นได้ ก็จะได้รับสถานะศิษย์อัจฉริยะทันที…ถึงตอนนั้นข้าอยากจะเห็นนัก ว่าหน้าเจ้าหลิวเจี้ยนนั่นมันจะบูดเป็นตูดหมึกเพียงใด…’
พอคิดถึงจุดนี้ หงเฟยก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองหลิวเจี้ยน จากนั้นมุมปากก็เริ่มยกยิ้มแสยะขึ้นมา
“มายิ้มหน้าโง่อะไรของเจ้าหงเฟย นี่เจ้าคงมิใช่กำลังฝันกลางวัน ว่าศิษย์น้องของเจ้าจะเอาชนะศิษย์น้องของข้าได้อยู่หรอกนะ?”
เห็นสีหน้าทั้งรอยยิ้มเย้ยเยาะของหงเฟย หลิวเจี้ยนย่อมคาดเดาได้ออกวว่าหงเฟยคิดอะไรอยู่
“หลิวเจี้ยน ขอให้เจ้าทำหน้าระรื่นแบบนั้นไปได้ตลอดเถอะ!”
พอกล่าวสวนไปจบคำ หงเฟยก็รู้ดีว่ามันไม่มีทางอื่นนอกจากเชื่อมั่นพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนแล้ว เพราะหากต้วนหลิงเทียนแพ้ ต่อไปมันคงยากจะสู้หน้าหลิวเจี้ยนได้อีก เพราะอีกฝ่ายไม่พ้นกล่าวถล่มมันด้วยเรื่องนี้ไม่เลิกแน่…
ขณะเดียวกัน เหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่มาชมดูเรื่องราวก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้นเอง อาวุโสตำหนักลองกระบี่ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการประลองที่ลอยเหนือแท่นศิลาสลักคำสังเวียนอัจฉริยะก็หันมองไปทิศทางหนึ่ง ทำให้หลายๆคนหันมองตามสายตาของมันไปทันที
“นั่นเหลยจวิ้นมิใช่หรือ!?”
“เป็นศิษย์พี่เหลยจวิ้นจริงๆ!”
“ศิษย์พี่เหลยจวิ้นเป็น 1 ใน 3 ศิษย์อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในช่วอายุ 800-900 ปี…ไม่เพียงแต่ด่านพลังจะทะลวงถึงจักรพรรดิอมตะ 1 ต้นกำเนิดแล้วเท่านั้น แต่ยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทองถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ถึง 7 ประการแล้วด้วย!!”
“ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ศิษย์พี่เหลยจวิ้นยังเป็นลูกชายคนเดียวของจักรพรรดิอมตะไร้ใจ เหลยอิง 1 ใน 9 จักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือเรา!”
…
เหลยจวิ้นนั้นแม้จะมองเทียบกับศิษย์อัจฉริยะทั้ง 100 คน แต่มันก็นับว่าเป็นตัวตนระดับแนวหน้า ที่สำคัญนอกจากพลังฝีมือแล้ว ความเป็นมาของมันยังน่าทึ่งอีกด้วย!
อย่างไรก็ตามหลายคนอดไม่ได้ที่จะบังเกิดคำถามข้อหนึ่งในใจ…
ไฉนเหลยจวิ้นถึงมาที่นี่ได้?
ว่ากันตามตรง การประลองระหว่างต้วนหลิงเทียนกับหวงลู่หนาน ไม่สมควรอยู่ในสายตาเหลยจวิ้นเลย ไร้สำคัญเสียจนไม่มีวันดึงดูดเหลยจวิ้นได้แน่!
“นายน้อย”
เห็นเหลยจวิ้นเหินร่างเข้ามา อาวุโสตำหนักลองกระบี่ก็ทำความเคารพด้วยท่าทีสุภาพ เพราะมารดาของเหลยจวิ้นก็เป็นถึงจ้าวตำหนักลองกระบี่ มันย่อมไม่กล้าละเลยท่าทีต่อเหลยจวิ้นเป็นธรรมดา
“อาวุโสฉิน ท่านทำงานอยู่ อย่าได้สนใจข้าเลย”
พอเหลยจวิ้นกล่าวจบคำ ร่างมันก็เหินไปหยุดลอยใกล้ๆฮ่วนเอ๋อ พลางยิ้มทักทายอย่างอบอุ่น “ศิษย์น้องหญิง 3”
“ศิษย์พี่รอง”
เนื่องจากเหลยจวิ้นช่วยออกหน้าให้นางวันก่อนตอนเผชิญหน้ากับหลิงหูหยวน ฮ่วนเอ๋อจึงมีความประทับใจอันดีต่อเหลยจวิ้นอยู่บ้าง เมื่อเห็นอีกฝ่ายทักทายด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นางจึงหันไปพยักหน้าทักอีกฝ่ายเบาๆ
“ศิษย์น้องหญิง 3 ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปลงทะเบียนท้าชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะมาหรือ? แล้วเจ้าจะขึ้นประลองเมื่อใดเล่า?”
ในขณะที่กล่าวถามฮ่วนเอ๋อ ใบหน้าเหยจวิ้นเต็มไปด้วยรอยยยิ้มอันสดใสนัก
“อีก 7 วันหลังจากนี้”
ฮ่วนเอ๋อก็ตอบกลับ
อย่างไรก็ตามการตอบกลับครั้งนี้ของฮ่วนเอ๋อ กระทั่งหางตานางยังไม่มองเหลยจวิ้น สองตานางเพียงจ้องมองไปยังร่างในชุดสีม่วงบนสังเวียนเขม็ง ราวกับโลกทั้งใบในสายตานาง คงเหลือแต่เพียงชายหนุ่มชุดม่วงคนเดียว
เห็นฮ่วนเอ๋อเป็นแบบนี้ สีหน้าเหลยจวิ้นก็มืดลงทันที และหลังมองตามสายตาฮ่วนเอ๋อไปจนเห็นร่างในชุดสีม่วงบนสังเวียน ลึกลงไปในแวววตาของมันก็ฉายให้เห็นถึงเจตนาฆ่าฟันอย่างไม่อาจกักเก็บ!
ศิษย์น้องหญิง 3 ผู้นี้ มันตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกเห็น
ถึงแม้อีกฝ่ายจะสวมผ้าคลุมหน้าปกปิดเอาไว้ แต่ก็ทำให้ใจมั่นสั่นระรัว…อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตอนนี้ก็คือ ข้างกายนางดันมีบุรุษอยู่แล้ว!
แน่นอนถึงมันจะรู้ดีว่าไม่พ้นศิษย์น้องหญิง 3 ต้องหลงรักบุรุษผู้นั้น แต่มันก็ไม่ได้แยแสอะไรมากนัก เพราะมันมองออกว่าศิษย์น้องหญิง 3 คนนี้ยังเป็นสตรีพรหมจรรย์ บ่งบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับบุรุษที่ว่าไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมากนัก…
ทำให้มันจึงรู้สึกว่าตัวเองยังมีโอกาสอยู่
แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือมันต้องทำให้ศิษย์น้องหญิง 3 เปลี่ยนความชมชอบที่มีต่อบุรุษชุดม่วงนามต้วนหลิงเทียนนั่นมาเป็นมัน!
‘ต้วนหลิงเทียน เจ้ากับข้าพวกเราไม่มีความแค้นความบาดหมางต่อกันก็จริง…แต่หากเจ้าจะโทษก็โทษที่เจ้าดันเป็นคนในใจฮ่วนเอ๋อเถอะ’
เหลยจวิ้นมองไปยังต้วนหลิงเทียนเขม็ง ในใจบังเกิดจิตฆ่าฟันใหญ่แล้ว
“อัยยะ ที่แท้ศิษย์พี่เหลยจวิ้นมิได้มาชมดูการประลองอันใด…สมควรมาเพราะแม่นางผู้นั้นมากกว่า”
“นี่เรียกว่าร่ำสุราแต่มิได้มุ่งเน้นไปที่รสชาติสุรา…อย่างไรก็ตามนับว่านี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่ข้าเห็นศิษย์พี่เหลยจวิ้นปฏิบัติกับสตรีเช่นนี้”
…
เหล่าศิษย์ของวังเทียนฉือหลายคนสังเกตเห็นท่าทีของเหลยยจวิ้นที่มีต่อฮ่วนเอ๋อ ทำให้พวกมันก็อดแปลกใจไม่ได้
“เริ่มได้”
จนเมื่อเสียงให้สัญญาณเริ่มการประลองของอาวุโสตำหนักลองกระบี่ดังขึ้น ทุกคนจึงเบนความสนใจกลับมาอยู่บนลานประลอง และจดจ่อไปยังต้วนหลิงเทียนกับหวงลู่หนานอีกครั้ง
“ต้วนหลิงเทียนสินะ? ข้าจักให้เจ้าได้รู้ ว่าการที่เจ้าท้าทายข้า มันเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงเพียงใด!”
หวงลู่หนานมองเย้ยต้วนหลิงเทียน
“ป้อนกระบวนท่าเถอะ”
เผชิญกับวาจาเย้ยหยันและความมั่นใจถึงขีดสุดของงหวงลู่หนาน ต้วนหลิงเทียนยังแลดูสงบไม่นำพา เอ่ยออกไปเสียงเฉยว่า “หากเจ้าไม่ลงมือก่อน ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่มีแม้แต่โอกาสลงมือ…”