Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร – บทที่ 837-838

บทที่ 837-838

จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 837 : ทำลายล้าง!
ครืน..ครืน..
เพียงแค่หลิงหยุนโอบเอวไป๋เซียนเอ๋อเดินไปถึงหน้าประตูบ้านเท่านั้นเขาก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องครืนๆมาแต่ไกล
หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้พร้อมกับพึมพำออกมาเบาๆ“ฝนกำลังจะตก..”
ตี้เสี่ยวอู๋ขับรถสีดำเข้ามายังสวนภายในบ้านและไปจอดอยู่หน้าหลิงหยุนกับไป๋เซียนเอ๋อ จากนั้นจึงโผล่หน้าออกมานอกรถพร้อมกับร้องตะโกนบอกหลิงหยุน
“พี่หยุน..ขึ้นรถไปกันได้แล้ว!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ“ฉันต้องไปพบท่านปู่เสี่ยวก่อน แต่นายไม่ต้องไปส่งฉัน นายไปหาถังเมิ่ง ช่วยเขาจัดเตรียมการสำหรับคืนนี้ให้พร้อม!”
หลิงหยุนกลับมาถึงจิงฉูตั้งแต่เมื่อคืนนี้แต่จนป่านนี้ยังไม่มีเวลาไปเยี่ยมเยียนท่านหมอเสี่ยวเลย ตอนนี้ปัญหาก็ได้คลี่คลายลงแล้ว ถึงเวลาที่เขาจะต้องไปเยี่ยมเยียนผู้หลักผู้ใหญ่ตามมารยาทเสียที!
“ครับพี่หยุน!แล้วถ้าพี่จะให้ฉันมารับก็โทรบอกล่ะ”
ตี้เสี่ยวอู๋ไม่รีรอ..หลังจากพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น เขาก็เหยียบคันเร่งหายลับตาไปในทันที
“พี่หลิงหยุน..หลายวันมานี้ตี้เสี่ยวอู๋ตั้งหน้าตั้งตาฝึกอย่างหนักจริงๆ!”
หลังจากตี้เสี่ยวอู๋หายลับตาไปแล้วไป๋เซียนเอ๋อก็กอดแขนหลิงหยุนแน่น และพูดถึงตี้เสี่ยวอู๋ด้วยน้ำเสียงชื่นชม
หลิงหยุนยิ้มเพียงเล็กน้อย“นั่นสิ! เสี่ยวอู๋คงจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากเราสองคน แต่ความจริงเจ้าเองก็ก้าวหน้ารวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อเช่นกัน ตอนนี้ข้าเองก็ไม่สามารถมองเห็นขั้นกำลังภายในของเจ้าแล้ว!”
ไป๋เซียนเอ๋อได้ยินหลิงหยุนเอ่ยชมต่อหน้าจึงตอบกลับด้วยท่าทีเอียงอาย“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน..”
การฝึกฝนของไป๋เซียนเอ๋อนั้นนางฝึกฝนมาจากความทรงจำที่มีอยู่ ขั้นกำลังภายในของนางนั้นนับว่าสูงกว่าหลิงหยุน หลิงหยุนจึงไม่สามารถมองเห็นได้ แต่นางเองก็ไม่รู้ว่ามันคือขั้นใหนอย่างไรเช่นกัน!
ทั้งสองคนเดินคุยกันไปช้าๆและเพียงไม่นานทั้งคู่ก็เดินไปถึงถนนเรียบทะเลสาบที่มุ่งหน้าสู่บ้านของท่านเสี่ยวหมอเทวดา
หลิงหยุนนั้นนับว่าเป็นผู้ที่หาเวลาพักผ่อนได้ยากยิ่งระหว่างทางที่เดินไปนั้น เขาจึงดื่มด่ำกับทัศนียภาพที่สวยงามของทะเลสาบจิงฉูไปตลอดเส้นทาง แต่การก้าวเท้าแต่ละก้าวของเขานั้น จะรวดเร็วกว่าคนธรรมดาอย่างน้อยถึงสองเท่า และเพียงไม่นานนักทั้งคู่ก็มาถึงหน้าประตูบ้านของท่านหมอเสี่ยว..
ดักแด้ทองคำขนาดเท่านิ้วโป้งบินลงมาและพุ่งเข้าหาหลิงหยุนกับไป๋เซียนเอ๋อทันที ก่อนจะหยุดบินวนไปรอบๆคนทั้งคู่ มันก็คือเจ้าทองอ้วน ดักแด้ทองคำที่ล้ำค่าของเหมี่ยวเสี่ยวเหมานั่นเอง
“เจ้าทองอ้วน..นี่เจ้าบินได้รวดเร็วกว่าเดิมถึงสองเท่าเชียว! ดูเหมือนจะเป็นผลจากที่เจ้าแอบขโมยกินสมุนไพรชีฉียู่ของข้าสินะ!”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับพูดถึงเรื่องที่เจ้าทองอ้วนเคยแอบขโมยกินต้นสมุนไพรชีฉียู่ของเขาในครั้งนั้นจนถึงตอนนี้เมื่อคิดขึ้นมา หลิงหยุนก็ยังคงขุ่นเคืองใจอย่างมาก..
“นี่..นายเองก็เอาผงละลายศพของฉันไปแล้วไม่ใช่เหรอ! แล้วสมุนไพรพวกนี้ที่เผ่าเหมี่ยวเจียงก็มีอยู่มากมาย นายอยากจะได้กี่ต้นก็ไปเอาได้เลย!”
เสียงของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาดังขึ้นมาก่อนที่ตัวจะมาถึงเสียอีกและเพียงเดี๋ยวเดียวเงาสีเขียวก็พุ่งออกมาจากบ้านอย่างรวดเร็ว และกำลังยืนเผชิญหน้ากับหลิงหยุนที่หน้าประตูบ้าน
หลิงหยุนชื่นชอบการต่อปากต่อคำกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเขายิ้มพร้อมกับตอบโต้กลับไป “คุณจะไปรู้อะไร สมุนไพรชีฉียู่ของผมไม่เหมือนสมุนไพรที่มีดาษดื่นในเผ่าของคุณ สมุนไพรของผมเป็นสมุนไพรที่หายากมาก ไม่รู้ว่าในร้อยต้นจะเจอสมุนไพรอย่างนี้สักต้นหรือเปล่า?”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมายิ้มเย้ยก่อนจะประชดประชันกลับไป“เชอะ.. ขี้โม้! ทำไมนายไม่บอกไปเลยล่ะว่าสมุนไพรของนายเป็นของหายากมาก ไม่รู้ว่าในหมื่นในแสนจะเจอสักต้นหรือเปล่า!”
ไป๋เซียนเอ๋อจ้องมองเหมี่ยวเสี่ยวเหมากับหลิงหยุนปะทะฝีปากกันโดยไม่พูดอะไรจากนั้นจึงหัวเราะคิกคักออกมาอย่างมีความสุข
หลิงหยุนกำลังจะตอบโต้เหมี่ยวเสี่ยวเหมากลับไปแต่ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นมา และท่านเสี่ยวหมอเทวดาก็เดินออกมาพอดี
“ท่านปู่เสี่ยว!”
หลิงหยุนเห็นท่านหมอเสี่ยวเดินออกมาก็หยุดต่อปากต่อคำกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมา และรีบหันไปทักทายท่านหมอเสี่ยวอย่างมีมารยาท
“เจ้ากลับมาแล้วรึ!”
หน้าตาของเสี่ยวเจิ้งจี๋ดูเหมือนจะมีความสุขมากกว่าปกตินั่นเพราะหลิงหยุนเห็นว่าตั้งใจมาเยี่ยมเยียนเขาโดยเฉพาะ..
“หลิงหยุน..เจ้าจะยืนอยู่หน้าประตูทำไมเล่า เข้ามาคุยกันในบ้านดีกว่า!”
ท่านหมอเสี่ยวร้องบอกหลิงหยุนพร้อมกับดึงมือเขาให้เข้ามาในบ้าน..
ในเวลานั้นไป๋เซียนเอ๋อเองก็ได้ปล่อยแขนที่เกาะกุมหลิงหยุนออกนานแล้วเช่นกันและต่อหน้าท่านหมอเสี่ยวเช่นนี้ นางเองก็กระดากที่จะเกาะติดหลิงหยุนเป็นลิง
จากนั้นท่านหมอเสี่ยวก็ร้องบอกเสี่ยวเม่ยหนิงให้จัดการเตรียมชาชั้นดีมาให้หลิงหยุน“หนิงน้อย.. เจ้าจัดการนำชาหลงจิงชั้นดีมาให้ปู่เร็วเข้า!”
“ท่านปู่..ให้พี่ใหญ่จัดการสิคะ! หนูกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า..”
เสียงของเสี่ยวเม่ยหนิงดังมาจากชั้นสองของบ้านเธอกำลังเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ไปในงานเลี้ยงคืนนี้ แต่เลือกอยู่นานก็ยังเลือกไม่ได้เสียที
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาที่ยืนอยู่ด้านหลังจึงได้โอกาสเธอยิ้มพร้อมกับทำเสียงประชดประชัน “ให้พี่ไปเอาชาชั้นยอดมาให้หมอนี่น่ะเหรอ ฝันไปเถอะ.. แค่น้ำร้อนก็พอแล้ว!”
ท่านเสี่ยวหมอเทวดาและหลิงหยุนถึงกับหันไปมองหน้ากัน ท่านหมอเสี่ยวถึงกับยิ้มกร่อยก่อนจะพูดขึ้นว่า
“เฮ้อ..ดูท่าข้าคงต้องไปชงชาให้เจ้าเองสินะ!”
หลิงหยุนไม่ได้สนใจเรื่องชาเขาเพียงแค่ยิ้มแล้วส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านปู่เสี่ยว.. ขออภัยที่มาเยี่ยมท่านช้าไป พอดีข้ามีปัญหาต้องไปจัดการ!”
แม้เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจะตอบไปเช่นนั้นแต่ก็เข้าไปในบ้านและจัดการชงชามาให้ตามที่ท่านหมอเสี่ยวสั่ง พร้อมกับยกถาดใส่ชุดน้ำชาเดินออกมา กลิ่นหอมของชาหลงจิงฟุ้งกระจายออกไปถึงด้านนอก
เหมี่ยวเสี่ยวเหมายกชามาให้เธอเหลือบมองหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นี่.. ถ้านายอยากจะดื่ม ก็รินเอาเอง!”
“น้องเซียนเอ๋อ..ขึ้นไปข้างบนกันดีกว่า!”
หลังจากนั้น..เหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ดึงมือไป๋เซียนเอ๋อที่ยืนอยู่ข้างหลิงหยุนขึ้นไปชั้นสองทันที
ภายในห้องนั่งเล่นจึงมีเพียงท่านหมอเสี่ยวกับหลิงหยุนเท่านั้นทั้งคู่นั่งหันหน้าเข้าหากัน ต่างคนต่างก็นิ่งไม่พูดอะไร
ท่านเสี่ยวหมอเทวดายิ้มขณะที่มองเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเดินขึ้นบันได้จนลับตาไปจากนั้นจึงหันกลับมามองหลิงหยุนยิ้มๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“หลิงหยุน..เจ้าอย่าไปถือสานางนะ! ข้าคงตามใจนางมากจนเกินไปอีกคน!”
หลิงหยุนตอบกลับมาเบาๆ“ท่านปู่เสี่ยวอย่าได้กังวลใจไปเลย.. ข้าไม่ถือสาอะไรนางเลย!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาช่วยดูแลคลินิกสามัญชนให้กับเขามีหรือที่เขาจะใส่ใจ และถือสาเรื่องเล็กๆน้อยเพียงแค่นี้
ในทางตรงกันข้าม..เขากลับรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเหมี่ยวเสี่ยวเหมามากกว่า เพราะครั้งหนึ่งนางเองก็เคยอยู่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา ไม่ยอดหลบหนี มีหรือที่หลิงหยุนจะจดจำไม่ได้จนถึงทุกวันนี้..
ยิ่งไปกว่านั้น..ในบรรดาสาวงามที่รายล้อมหลิงหยุนนั้น เหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็เป็นเพียงคนเดียวนอกเหนือจากฉินตงเฉี่วย ที่กล้าทำหน้ามึนตึงใส่เขา แม้แต่หลงหวู่กับเสี่ยวเม่ยหนิงเองก็ยังไม่กล้าทำเช่นนี้
แม้ว่าทั้งคู่จะต่อปากต่อคำกันอย่างไม่ยอมแพ้กันแต่ความจริงแล้วหลิงหยุนกลับไม่ได้รู้สึกอะไรในใจเลยแม้แต่น้อย และออกจะชื่นชอบด้วยซ้ำไป
ท่านเสี่ยวหมอเทวดายิ้มและไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกเขาหันหน้าไปมองทางบันได ก่อนจะกระซิบกับหลิงหยุน
“เฉินเฉินเองก็อยู่ข้างบนเช่นกันนางกำลังช่วยหนิงน้อยเลือกเสื้อผ้า..”
หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้สำรวจดูตั้งแต่มาถึงจึงล่วงรู้ทุกอย่างหมดแล้ว..
“ช่วงที่เฉินเฉินอยู่ในจิงฉูนางเองก็มาช่วยดูแลหนิงน้อยอยู่หลายปี เมื่อเห็นว่ากลับมาแล้วหนิงน้อยก็เลยชวนนางมาที่บ้าน..”
ท่านเสี่ยวหมอเทวดาพูดต่อว่า“เฉินเฉินหายหน้าหายตาไปนานถึงสามเดือนข้าเองก็เป็นห่วงนางไม่น้อย แต่กลับมาครั้งนี้ดูนางจะผอมลงไปมาก คงจะเกิดเรื่องกับตระกูลเกาไม่น้อยเลยทีเดียวสินะ!”
หลิงหยุนขมวดคิ้วพร้อมกับพยักหน้าและตอบด้วยเสียงที่เบาเช่นกัน “ถูกต้อง.. เรื่องทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเฉินแล้วก็แวมไพร์ ครั้งนี้ข้าเองก็พาแวมไพร์สองตนกลับมาด้วย ไว้จะพามาแนะนำให้ท่านปู่เสี่ยวรู้จัก!”
หลิงหยุนได้อวดแวมไพร์ให้กับสาวงามของเขาดูแล้วและทั้งเสี่ยวเม่ยหนิงกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็อยู่ด้วย เขาจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังท่านหมอเสี่ยว
ท่านหมอเสี่ยวเองก็ไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจเขาเพียงแค่ถอนหายใจพร้อมกับถามต่อว่า “หลิงหยุน.. เกิดอะไรขึ้นที่ปักกิ่งกันแน่”
ภายใต้คำถามของท่านเสี่ยวหมอเทวดานั้นคือความห่วงใยในความปลอดภัยของหลิงหยุน..
หลิงหยุนจัดการยกกาน้ำชาขึ้นรินใส่ถ้วยของท่านหมอเสี่ยวแล้วจึงรินใส่ถ้วยของตนเอง จากนั้นจึงยกถ้วยชาขึ้นดื่ม หลังจากเอ่ยชื่นชมชาชั้นยอดแล้ว หลิงหยุนก็พูดออกมาเพียงแค่สั้นๆ
“ครั้งนี้นับว่าทำลายล้างกันถึงขั้นวิกฤต!”
หลิงหยุนคิดว่าคำพูดสั้นๆเพียงเท่านี้ก็สามารถอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปักกิ่งเวลานี้ได้อย่างกระจ่างชัดที่สุด!
“ไม่เพียงในปักกิ่ง!ท่านปู่เสี่ยว.. ที่ข้ากลับมาจิงฉูครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องผลการสอบเอนทรานซ์เท่านั้น นั่นเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย แต่ที่ข้ากลับมาคราวนี้ก็เพื่อต้องการดึงดูดความสนใจของฝ่ายต่างๆมาที่จิงฉูแทนต่างหาก..”
ในที่สุดหลิงหยุนก็บอกท่านหมอเสี่ยวถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงในการกลับมาจิงฉูครั้งนี้ของตนเอง..
หลังจากที่หลิงหยุนต่อสู้กับยอดฝีมือตระกูลเฉินในเวลากลางวันแสกๆอีกทั้งยังจับตัวเฉินเซินมาเช่นนี้ นั่นเท่ากับเป็นการประกาศสงครามกับตระกูลเฉินอย่างเป็นทางการแล้ว!
แต่เพราะหลิงหยุนไม่คุ้นเคยกับปักกิ่งซึ่งเปรียบเสมือนแม่น้ำลึกเกินกว่าที่เขาจะหยั่งถึงได้อีกทั้งตระกูลเฉินยังปิดบังพลัง อำนาจ และอิทธิพลที่แท้จริงของตนเองไว้ค่อนข้างมาก เขาจึงเลือกที่จะฉวยโอกาสนี้กลับจิงฉู ไม่เพียงกลับมาสะสางปัญหาต่างๆที่นี่ แต่ยังเป็นการคลายความกังวลใจของตนเอง และยังเป็นการดึงความสนใจของฝ่ายต่างๆให้มาสนใจที่เมืองจิงฉูแทน นี่เรียกได้ว่ายิงกระสุนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว!
ท่านหมอเสี่ยวได้ฟังหลิงหยุนที่พูดด้วยท่าทางไม่เกรงกลัวนั้นก็ได้แต่พูดขึ้นว่า “ข้าเองก็พอจะเดาได้บ้าง แม้เฉินเฉินจะเล่าให้ข้าฟังบ้าง แต่ก็มีบางอย่างที่นางไม่สะดวกจะพูดออกมาตรงๆ!”
“พ่อของหนิงน้อยที่อยู่ปักกิ่งก็ได้บอกเล่าให้ข้าฟังบ้าง ข้าจึงพอที่จับต้นชนปลายได้..”
“หลิงหยุน..ถึงแม้ข้าจะเชื่อมั่นในความสามารถและสติปัญญาของเจ้า แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องระมัดระวังตัวให้มาก ข้าเองอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ!”
บทที่ 838 : ไม่มีใครหนีรอดแน่!
คิ้วของท่านเสี่ยวหมอเทวดาขมวดเข้าหากันแน่นเผยให้เห็นว่าเขารู้สึกเป็นห่วงเป็นใยหลิงหยุนมากเพียงใด..
หลิงหยุนคุ้นชินกับความห่วงใยที่ท่านหมอเสี่ยวมอบให้ตนเองเสมอมาริมฝีปากของเขาแย้มยิ้มจนเห็นลักยิ้มบุ๋มมีเสน่ห์ที่แก้มซ้ายระหว่างที่ตอบกลับไป
“ท่านปู่เสี่ยว..ท่านอย่าได้กังวลใจไป ข้าจะระมัดระวังตัวให้มาก!”
หลิงหยุนนั้นเข้าใจความกังวลใจของท่านหมอเสี่ยวดีเขาคิดว่าท่านหมอเสี่ยวคงมีบางอย่างที่ยังไม่พูดให้เขาฟัง เพราะเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม
เมื่อท่านหมอเสี่ยวไม่พูดหลิงหยุนเองก็ไม่ถาม ไม่ใช่ว่าท่านหมอเสี่ยวต้องการจะปกปิด แต่บางครั้งเมื่อยังไม่ถึงเวลา ก็ไม่ควรพูดออกไป..
เมื่อทั้งสองคนเริ่มพูดคุยกันได้ไม่นานเมฆสีดำทะมึนทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ก็เริ่มรวมตัวหนาแน่นมากยิ่งขึ้น และปกคลุมแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาบนผืนดินจนเกือบหมด ทำให้ท้องฟ้าเวลานี้ดูมืดครึ้มไปสนิทตา
เมฆหนาครึ้มนั้นปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองจิงฉูภายในเวลาอันรวดเร็วและเริ่มลอยต่ำลงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้คนต่างก็รู้สึกอึดอัดคล้ายจะหายใจไม่ออก
วันนี้ท้องฟ้าในเมืองจิงฉูดูเหมือนจะมืดครึ้มเร็วเกินกว่าที่ควรจะเป็นอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงและเพียงแค่เวลาหกโมงครึ่งเท่านั้น ท้องฟ้าก็เริ่มมืดจนไฟถนนเริ่มติดอัตโนมัติ
อากาศเวลานี้ร้อนอบอ้าวไม่มีแม้แต่ร่องรอยของลมพัด และดูเหมือนว่าฝนจะสามารถกระหน่ำลงมาได้อยู่ตลอดเวลา
สภาพอากาศที่มืดครึ้มเช่นนี้ทำให้คนในเมืองจิงฉูอดนึกถึงเหตุการณ์พายุฝนรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนมีนาคมไม่ได้ มันเป็นพายุฝนที่ผู้คนไม่มีทางจะลืมเลือนได้เลย
ครืน..เปรี้ยง..
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นทั่วท้องฟ้าของเมืองจิงฉูและตามมาด้วยเสียงฟ้าที่ผ่าดังเปรี้ยง..
เสียงครืน..เปรี้ยง.. ดังสนั่นไปทั่วทั้งเมือง ทำให้ผู้คนตกอกตกใจไม่น้อย..
เมื่อแสงสีทองของอสุนีบาตปรากฏขึ้นที่ท้องฟ้าด้านนอกและแสงสาดส่องเข้ามาภายในห้องนั่งเล่น ทำให้หลิงหยุนอดที่จะหวั่นใจไม่ได้เช่นกัน..
หลิงหยุนยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเขาเพียงแค่เหลือบมองดูร่างกายของตนเอง และสังเกตเห็นเจ้าทองอ้วนที่กำลังหวาดกลัว..
ดักแด้ทองคำนี้นับว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งดักแด้ทองคำที่กินสมุนไพรชีฉียู่ของหลิงหยุนไป เวลานี้มันมีท่าทีที่หวาดกลัวอย่างมาก
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับลูบไล้และปลอบปะโลมเจ้าทองอ้วนอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องตกใจไป! ต่อไปเจ้าเองก็จะเคยชินกับอสุนีบาตเช่นนี้!”
น้ำเสียงและสัมผัสของหลิงหยุนดูเหมือนจะมีพลังที่แปลกประหลาดเจ้าทองอ้วนสงบลงในทันที และมองหลิงหยุนด้วยแววตาสงสัย แต่เมื่อแสงที่แลบแปลบปลาบหมดลงแล้ว เจ้าทองอ้วนก็รีบบินหนีขึ้นไปชั้นสองทันที
ท่านหมอเสี่ยวที่ถึงกับร่างกายสั่นเล็กน้อยรีบหันไปมองทองฟ้าด้านนอกทันที พร้อมกับพึมพำออกมาว่า
“อย่าบอกนะว่าจะมีพายุฝนที่รุนแรงอีก..”
หลิงหยุนเองก็มองออกไปที่ท้องฟ้าด้านนอกเช่นกันและพูดด้วยท่าทางสงบนิ่ง “น่าจะมีพายุฝนจริงๆ แต่คงจะเทียบไม่ได้กับพายุฝนเมื่อหลายเดือนก่อน..”
ในความเห็นของหลิงหยุน..เขาคิดว่าคงจะต้องมีพายุฝนจริงๆ แต่พายุฝนในครั้งนี้ ก็คงมีความรุนแรงเพียงแค่หนึ่งในสามของพายุฝนเมื่อปลายเดือนมีนาคม..
ท่านหมอเสี่ยวถามขึ้นว่า“หลิงหยุน.. นี่เจ้าทำนายฟ้าฝนได้ด้วยรึ”
หลิงหยุนหันไปมองท่านหมอเสี่ยวพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ก็พอได้..”
ท่านหมอเสี่ยวร้องถามออกมาอย่างรู้สึกทึ่ง“พอได้งั้นรึ!”
บนชั้นสองของบ้าน..เสียงเหมี่ยวเสี่ยวเหมากำลังปลอบเจ้าทองอ้วน “ทองอ้วน.. เจ้าไม่ต้องกลัวไปนะ! น่าแปลก.. เจ้าไม่เคยหวาดกลัวแสงฟ้าแลบมาก่อนนี่นา แต่ทำไมจู่ๆถึงได้กลัวฟ้าผ่าขึ้นมาได้ล่ะ..”
หลิงหยุนได้ยินก็ได้แต่แอบนึกขันอยู่ในใจ‘เจ้าดักแด้ทองคำตัวนี้ ก็ต้องพบเจอกับบททดสอบจากอสุนีบาตเหล่านี้เช่นกัน มีหรือที่มันจะไม่หวาดกลัวต่ออสุนีบาต’
หลังจากที่หลิงหยุนพูดคุยกับท่านหมอเสี่ยวอยู่ราวสิบนาทีเสี่ยวเม่ยหนิงก็แต่งตัวเสร็จ และเดินลงมาจากชั้นสองพร้อมเกาเฉินเฉินทันที และตามมาด้วยไป๋เซียนเอ๋อกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมา
เสี่ยวเม่ยหนิงอยู่ในชุดราตรีเปิดไหล่สีแดงสดใสสวมรองเท้าส้นสูงสีแดงระยิบระยับ และมือขวาเดินจับปลายกระโปรงระหว่างเดินลงมา ภาพของเสี่ยวเม่ยหนิงดูคล้ายกับนางแบบที่กำลังเดินเฉิดฉายอย่างสง่าผ่าเผย
“พี่หลิงหยุน..ฉันดูดีหรือยัง” เสียงของเด็กสาวตัวแสบร้องถามอย่างตื่นเต้น
หลิงหยุนลุกขึ้นมองสำรวจเสี่ยวเม่ยหนิงที่กำลังเดินลงบันไดมาและได้แต่คิดว่าช่างเป็นภาพที่คุ้นตาเขานัก
ชุดราตรีสีแดงสดใสนี้เป็นชุดที่เสี่ยวเม่ยหนิงสวมใส่ในงานวันเกิดเมื่อครั้งนั้น แต่สิ่งที่แปลี่ยนไปก็คือ ครั้งนี้เด็กสาวตัวแสบสวมรองเท้าส้นสูงสีแดงระยิบระยับ และดูเหมือนจะโตเป็นสาวขึ้นมาก
“ก็ดูดีนี่!”หลิงหยุนไม่เอ่ยชม เพราะตั้งใจพูดประโยคถัดไป “ไม่มีที่ติเลยล่ะ!”
เกาเฉินเฉินเองก็เปรียบเสมือนหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลเกานับวันเธอก็ยิ่งดูงดงามอย่างชนชั้นสูงมากขึ้นทุกวัน
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเองก็งดงามในแบบหญิงสาวชาวเหมี่ยวเจียงใบหน้าของเธอนั้นไม่เพียงงดงาม แต่ยังดูเซ็กซี่ และอยู่ชุดสีเขียวที่คุ้นตาเช่นเคย..
แทบไม่ต้องพูดถึงไป๋เซียนเอ๋อ..แม้จะอยู่ในชุดสีขาวพื้นๆ แต่ก็ให้ความรู้สึกที่สวยสง่าอย่างที่ใครเห็นก็ต้องตกตะลึงจนแทบลืมหายใจ
สี่สาวงามเดินลงบันไดมาพร้อมๆกันหลิงหยุนได้เห็นถึงกับเลือดในกายพลุ่งพล่านขึ้นทันที
เมื่อเสี่ยวเม่ยหนิงเดินลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายเธอก็รีบวิ่งไปหาหลิงหยุนทันทีพร้อมกับโอบกอดแขนของหลิงหยุนไว้แน่น แล้วถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“พี่หลิงหยุน..จะไปงานเลี้ยงกันได้หรือยัง”
เกาเฉินเฉินเดินเข้าไปหาหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยทักทายท่านหมอเสี่ยวอย่างมีมารยาทแต่ก็ไม่พูดอะไร..
เมื่อสาวน้อยมากันพร้อมหน้าเช่นนี้ท่านหมอเสี่ยวก็ไม่พูดอะไรอีก เขาก้มลงยกชาบนโต๊ะขึ้นจิบด้วยท่าทางสบายๆ
เสี่ยวเม่ยหนิงกอดแขนข้างขวาของหลิงหยุนไว้แน่นเขาสัมผัสได้ถึงหน้าอกทั้งสองข้างของเด็กสาวตัวแสบที่เบียดเสียดอยู่กับต้นแขนของตนเอง ก็เกิดความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ จึงได้แต่ยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า
“ผมโทรเรียกเสี่ยวอู๋มาแล้วอีกไม่ช้าคงจะมาถึงแล้วล่ะ!”
เด็กสาวตัวแสบได้ฟังก็ถึงกับขมวดคิ้วพร้อมกับร้องถามทันที“พี่หลิงหยุน.. ที่บ้านก็มีรถตั้งหลายคัน ทำไมต้องเรียกพวกเขามารับด้วยล่ะ”
ในโรงรถของบ้านท่านหมอเสี่ยวนั้นมีหรูอยู่อย่างน้อยสามคันสองคันเป็นของเสี่ยวเม่ยหนิง คันหนึ่งคือเฟอรารี่ ส่วนอีกคันเป็นมายบัค
แต่หลิงหยุนได้ฟังถึงกับหัวเราะร่วน“หนิงน้อย.. คุณสวมเสื้อผ้าแบบนี้จะขับรถได้ยังไงเล่า”
เสี่ยวเม่ยหนิงได้ฟังจึงแลบลิ้นออกมาอย่างน่าเอ็นดูและไม่พูดอะไรอีก
หลิงหยุนได้ยินเสียงรถดังมาจากด้านนอกเขาเปิดจิตหยั่งรู้ออกดูก็พบว่าตี้เสี่ยวอู๋กับถังเมิ่งมาถึงแล้ว จึงรีบเอ่ยร่ำลาท่านหมอเสี่ยวทันที
“ท่านปู่เสี่ยว..ข้าขอตัว!”
ท่านหมอเสี่ยวยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นยืน“ข้าไม่ออกไปส่งพวกเจ้านะ..”
“ผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาสนิทสนมกับตระกูลซันในปักกิ่งจำไว้ว่าต้องคิดพิจารณาให้รอบคอบว่าจะจัดการกับเขาอย่างไร”
“หลังจากเจ้าจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้วหากเวลาเข้ามาคุยกับข้าด้วยล่ะ!”
ท่านหมอเสี่ยวกำชับหลิงหยุนก่อนที่เขาจะเดินออกไปและประโยคสุดท้ายของท่านหมอเสี่ยวทำให้หลิงหยุนรู้ว่า ท่านหมอเสี่ยวมีบางเรื่องที่จะต้องบอกกับเขา แต่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ
“ครับท่านปู่เสี่ยว..”
หลิงหยุนตอบรับอย่างไม่ลังเลแล้วจึงจูงมือเสี่ยวเม่ยหนิงเดินออกไปด้านนอก..
“พี่หยุน!”
“พี่หยุน!”
ทันทีที่หลิงหยุนเดินออกไปนอกประตูทั้งถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋ที่อยู่ในรถก็เอ่ยทักทายพร้อมกับเดินลงมาจากรถทันที
“มีอะไรไปคุยกันบนรถ!”
หลิงหยุนเสี่ยวเม่ยหนิง ไป๋เซียนเอ๋อ ทั้งสามคนนั่งรถของถังเมิ่ง ส่วนเหมี่ยวเสี่ยวเหมากับเกาเฉินเฉินนั่งรถของตี้เสี่ยวอู๋ ทันทีที่พร้อมรถทั้งสองคันก็ขับออกไปอย่างรวดเร็ว
ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้มและมีฟ้าแลบแปลบๆเป็นครั้งคราวคล้ายจะมีพายุ ท้องถนนจึงไม่มีผู้คน และรถพลุกพล่าน รถทั้งสองคันจึงสามารถขับออกไปได้อย่างรวดเร็ว
“นายรู้แล้วใช่มั๊ยว่างานเลี้ยงจัดที่โรงแรมใหน”
หลิงหยุนนั่งอยู่ที่นั่งด้านข้างคนขับและหันไปถามถังเมิ่งที่กำลังขับรถ
“รู้แล้วพี่หยุน!หลู่กวนหวังบอกว่างานเลี้ยงจะจัดที่ชั้นห้าของโรงแรมไคเฉวียน หลี่จิ่วเจียงเป็นผู้สั่งการเองทั้งหมด!”
ถังเมิ่งหันไปมองหลิงหยุนยิ้มๆอย่างรู้ทันแต่ไม่พูดอะไร..
หลิงหยุนทำท่ายืดตัวตรงพร้อมกับพูดว่า“เอาล่ะ.. ต้องไม่หัวเราะ แล้วก็เชิดคางไว้แบบนี้..”
ตลอดบ่ายนั้นถังเมิ่งก็วุ่นวายกับเรื่องการโอนทรัพย์สินของหลู่กวนหวัง และจัดการเรื่องเอกสารต่างๆจนไม่มีเวลาได้หยุดพัก
“นี่พี่หยุน!ครั้งนี้หลู่กวนหวังมันจบเห่จริงๆแล้ว! เราได้เงินและทรัพย์สิ้นทั้งหมดร่วมร้อยห้าสิบล้านของมันมาอย่างสบายๆ สุดยอดจริงๆ!”
ถังเมิ่งยังคงพูดต่อ“ทรัพย์สินของมันขายได้กำไรดีน่าดู..”
หลิงหยุนนึกชมถังเมิ่งอยู่ในใจว่าเขาสามารถทำงานตามที่สั่งได้ดีทุกครั้งแต่ก็เพียงแค่ยิ้มแล้วถามขึ้นว่า
“แล้วตอนนี้หลู่กวนหวังอยู่ที่ใหนนายส่งให้ตำรวจแล้วหรือยัง?”
ถังเมิ่งทำหน้าเย้ยหยันก่อนจะพูดขึ้นว่า“ยังสิ! ฉันยังส่งมันให้กับตำรวจไม่ได้ ยังต้องจัดการกับหลี่จิ่วเจียงคืนนี้ก่อน ก็เลยต้องให้มันอยู่เป็นพยานปากสำคัญก่อน!”
“ตอนนี้พี่น้องแก๊งมังกรเขียวดูแลอยู่ฉันโทรไปเมื่อไหร่ พวกเขาก็จะพาตัวหลู่กวนหวังมาที่โรงแรมทันที!”
“คนของพ่อก็เตรียมพร้อมแล้วเหมือนกันเราส่งสัญญาณเมื่อไหร่ พวกเขาก็บุกจับตัวได้ทันที รับรองไม่มีใครหนีรอดแน่!”
หลิงหยุนได้ฟังถึงพยักหน้าพอใจอย่างมาก‘ถังเมิ่ง.. เจ้าเด็กคนนี้ทำงานได้ดีกว่าที่สั่งเสมอจริงๆ!’

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป.. ทำให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด จากนั้น.. หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลำดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท