ตอนที่ 3,368 : ดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ ผู้นําตระกูลเซีย
ผู้เฒ่าหัว!
จิตวิญญาณสถิตย์เจดีย์หลิงหลง 7 เปลี่ยน!
สมัยที่เขายังอยู่ในระนาบโลกียะ หรือระนาบเซียน ตอนแรกเขาก็หลงคิดว่า ผู้เฒ่าหัวเลือกจะทําลายเจดีย์หลิงหลง 7 เปลี่ยนเพื่ออาศัยแรงระเบิดมาฉีกเปิดห้วงมิติ ส่งตัวเขาหนีกลับภูมิภาคเบี้องล่าง ให้เขารอดพ้นเงื้อมมือของจ้าวลัทธิบูชาไฟ..
แต่ภายหลัง เมื่อได้รับทราบถึงพลังของอุปกรณ์อมตะ เขาจึงรู้ว่าเจดีย์หลิงหลง 7 เปลี่ยนนั้น ไม่ใช่แค่ยากจะทําลายกันได้ง่ายๆ แต่ผู้เฒ่าหัวยังไม่อาจทําลายเจดีย์หลิงหลง 7 เปลี่ยนด้วยความตั้งใจของตัวเองได้
ดังนั้นการหายตัวไปของผู้เฒ่าหัวและเจดีย์หลิงหลง 7 เปลี่ยน จึงเป็นดั่งปริศนาคาใจ และเรื่องลึกลับยากหาความจริงสําหรับเขามาโดยตลอด
แน่นอนว่าหากเลือกได้ เขาย่อมหวังให้ผู้เฒ่าหัวอยู่รอดปลอดภัยเป็นธรรมดา
เพราะสําหรับเขาแล้วผู้เฒ่าหัว ไม่เพียงแต่จะเป็นผู้อาวุโสที่น่าเคารพ อีกฝ่ายยังมีส่วนช่วยเหลือในการเติบโตก้าวหน้าของเขาอย่างใหญ่หลวง แม้กระทั่งคอยช่วยชีวิตเขาหลายครั้งแล้ว
“ผู้เฒ่าหัวอยู่ที่พระราชวังจักรกพรรดิสวรรค์งี้เมียเทียนแห่งนี้หรือ!?”
ต้วนหลิงเทียนยากจะทําความเข้าใจได้จริงๆ ว่าไฉนผู้เฒ่าหัวที่หายไปถึงมาโผล่ที่ระนาบเทวโลกได้? แถมยังมาปรากฏตัวในระนาบขี้เมียเทียน กระทั่งมาอยู่ในพระราชววังจักรพรรดิ สวรรค์แห่งจี้เมียเทียนได้อีก?
“เป็นเช่นนั้น”
เดิมที่ต้วนหลิงเทียนก็คิดว่า ผู้เฒ่าหัวที่เพิ่งหลัวพูดถึงอาจเป็นคนอื่น จนกระทั่งเมิ่งหลัวกล่าวเล่าเรื่องราวออกมา เขาจึงยืนยันได้ว่าผู้เฒ่าหัวที่เพิ่งหลัวพูดถึง เป็นคนๆเดียวกับผู้เฒ่าหัวที่เคยอยู่กับเขาจริงๆ
“ข้าได้ส่งข้อความไปหาผู้เฒ่าหัวแล้วตอนนี้ผู้เฒ่าหัวก็กําลังมาที่นี่”
เมิ่งหลัวเอ่ยออกอีกครั้ง
และเสียงของเมิงหลัวยังดังไม่ทันจบคําดี ไอร้อนหอบหนึ่งก็โชยมาปะทะใบหน้าต้วนหลิงเทียน และพริบตาต่อมา เงาร่างอีกาทองคํา 3 ขาก็วูบลัดฟ้ามาฉับไว ก่อนจะกลายเป็นร่างชราร่างหนึ่ง
ร่างชราที่ว่า เป็นชายชรามาในชุดคลุมสีแดงเพลิง
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้พบเจออีกฝ่ายมาเป็นเวลา 300 ปี แต่เขาก็จดจําได้ในชั่วพริบตาว่าอีกฝ่ายก็คือผู้เฒ่าหัวที่เคยอยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติกับเขา!
“ผะ..ผู้เฒ่าหัว!”
หลายปีผ่านไป พอได้เห็นผู้เฒ่าหัวอีกครั้ง ร่างต้วนหลิงเทียนก็สะท้านไปด้วยความตื่นเต้นยินดี สองตายังทอประกายสดใสสว่างจ้าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ถึงแม้จะคาดเดาได้เนิ่นนานแล้วว่าผู้เฒ่าหัวยังไม่ตาย แต่พอได้เห็นผู้เฒ่าหัวมาปรากฏตัวเบื้องหน้า อารมณ์ความรู้สึกย่อมแตกต่างจากการคาดเดาอย่างสิ้นเชิง!
ผู้เฒ่าหัวตัวเป็นๆ ได้มายืนอยู่เบื้องหน้าเขาแล้ว!
“เจ้าหนูหลิงเทียนข้าล่ะไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าในเวลาสั้นๆเพียงแค่ 300 ปี เจ้าจะเติบโต ก้าวหน้ามาถึงจุดนี้ได้!”
ได้เห็นต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ตาสีโคลนของผู้เฒ่าหัวก็พร่ามัวไปดั่งมีม่านหมอกสลัว อารมณ์ ในใจก็ตื่นเต้นยินดีไม่แพ้กัน
ก่อนจะได้พบเจอกับต้วนหลิงเทียน มันแทบไม่เคยสุงสิงกับผู้ใด และไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับใครอย่างสนิทสนมเช่นนั้นมาก่อน
เช่นนั้นกล่าวไปในระดับหนึ่ง มันก็ยึดถือต้วนหลิงเทียนเป็นดั่งลูกหลานมานานแล้ว
ย้อนกลับไปในอดีต ตอนที่มันถูกจิตวิญญาณกระบี่กวงหลิง จิตวิญญาณกระบี่ผลาญฟ้า อาสัญของจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมียเทียน พาตัวมาถึงพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน มันก็กังวลกับสถานการณ์ความเป็นไปในระนาบโลกียะของต้วนหลิงเทียนไม่น้อย
ตอนแรกก็ไม่เป็นไรเท่าไหร่
จนเมื่ออยู่ๆจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน ก็ถูกศัตรูร้ายไม่ทราบที่มาที่ไปบีบคั้นให้หลบหนีเข้าสู่นรกอสุรา 1 ใน 7 สถานที่ต้องห้ามของระนาบเทวโลก แถมจิตวิญญาณกระบี่กวงหลิงจิตวิญญาณของกระบี่ผลาญฟ้าอาสัญก็ถูกศัตรูทําลายจนดับสูญ พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งเมี่ยเทียนก็เลยบังเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ถึงขั้นเปลี่ยนมือ
ตัวมันหากไม่ได้เพิ่งหลัวปกป้องไว้ก็คงไม่รอด
เมื่อไม่มีจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมียเทียน ฟังชิงหยาง คอยจับตาดูต้วนหลิงเทียน มันก็ไม่อาจล่วงรู้สถานการณ์ของต้วนหลิงเทียนในระนาบโลกียะได้เลย
พอไม่เห็น ก็ย่อมเป็นห่วงเป็นธรรมดา
“ผู้เฒ่าหัว ในที่สุดท่านก็ออกมาได้แล้ว”
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลังจากระงับอารมณ์พุ่งพล่านในใจแล้ว เขาก็ยิ้มกล่าวแสดงความยินดีกับผู้เฒ่าหัวออกมาทันที “ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย”
ตอนแรกที่ผู้เฒ่าหัวติดอยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ เขาก็เคยรับปากผู้เฒ่าหัวไว้ ว่าวันหนึ่งหากเขาซ่อมแซมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้แล้ว เขาก็จะคืนอิสรภาพให้แก่ผู้เฒ่าหัว
ต่อมากลับเกิดเรื่องที่ผู้เฒ่าหัวกับเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้หายไปอย่างปริศนาเสียก่อน เขาจึงไม่อาจเติมเต็มคําสัญญาดังกล่าวได้
300 ปีผ่านไป พอได้พบเจอผู้เฒ่าหัวอีกครั้ง ทั้งเห็นว่าผู้เฒ่าหัวได้ออกมาจากเจดีย์หลิงหลง 7 เปลี่ยนแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ฉากวันที่เขารับปากผู้เฒ่าหัวเรื่องนี้ ยังชัดเจนในใจราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน
สามร้อยปีผ่านไปในพริบตา
“ต้องขอบคุณใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์”
ผู้เฒ่าหัวคลี่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “แน่นอนว่า ก็ต้องขอบคุณเจ้าด้วย”
“ผู้เฒ่าหัว การหายตัวไปของท่านในปีนั้น… ที่แท้ใช่เกี่ยวข้องกับอาวุโสฟงชิงหยางหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
การหายตัวไปอย่างลึกลับของผู้เฒ่าหัวในปีนั้น เป็นปมปริศนาคาใจเขามาโดยตลอด ถึงแม้ตอนนี้เขาพอจะคาดเดาอะไรๆได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรอฟังจากผู้เฒ่าหัวโดยตรง
“ไม่ผิด”
ผู้เฒ่าหัวพยักหน้า “ในตอนนั้น เป็นใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ ส่งจิตวิญญาณกระบี่กวงหลิง อันเป็นจิตวิญญาณกระบี่ผลาญฟ้าอาสัญลงไปยังระนาบโลกียะเพื่อพาตัวข้าออกมา”
“ความตั้งใจของใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ก็ไม่มีใดมาก ท่านกลัวว่าการคงอยู่ของข้าจะเป็นการขัดขวางการเติบโตก้าวหน้าของเจ้า”
“เพราะด้วยมีข้าอยู่ แรงกดดันของเจ้าก็จะน้อยลงไปมาก…ท่านหวังว่าเจ้าจะเติบโตก้าวหน้านมาภายใต้แรงกดดัน เพราะมีแต่เดินผ่านอุปสรรคขวากหนามเท่านั้น จึงจะหล่อหลอมให้คนแกร่ง สิ่งนี้จะช่วยให้จ้าบรรลุถึงเส้นทางของผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง”
ผู้เฒ่าหัวเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปีนั้นออกมารวดเดียวจบ
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง”
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายวาบขึ้น เพราะคําตอบของผู้เฒ่าหัวไม่แตกต่างจากสิ่งที่เขาคาดไว้ และในขณะเดียวกันเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาที่แท้ตั้งแต่ตอนที่เขายังอยู่ในระนาบเซียน เขาก็ถูกผู้อาวุโสฟงชิงหยางจับตาดูความเป็นไปอยู่ตลอด? สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าอาวุโสฟงชิงหยางเอาใจใส่เขามากหรือ?
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็เริ่มแนะนําฮ่วนเอ๋อกับเสี่ยวจินให้ผู้เฒ่าหัวรู้จัก
“สัตว์เทพ!?”
หลังมองพินิจส่วนเอ๋อกับเสี่ยวจินปราดหนึ่ง สองตาผู้เฒ่าหัวก็ทอประกายวูบวาบ เร่งสูดลมหายใจเข้าเพื่อระงับความอารมณ์แตกตื่นเล็กน้อย เพราะผู้เฒ่าทั่วพบว่าทั้งคู่เป็นถึงสัตว์เทพ!
ถึงแม้ว่าตัวมันจะเป็นอีกาทองคํา 3 ขา แต่อย่างไรก็เป็นแค่สัตว์อมตะชั้นยอดที่ห่างจา กการเป็นสัตว์เทพไม่ไกล
ทว่าคําว่า “ไม่ไกล” นั้น กลับไม่ใช่ระทางที่จะข้ามผ่านได้ง่ายๆ!
“ผู้อาวุโสเมิ่งหลัว”
คล้ายฉุกคิดอะไรได้ออก ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามเมิ่งหลัวด้วยความสงสัยทันที “ข้าได้ยินอาวุโสเมิ่งชวนกล่าวว่า ท่านกับอาวุโสฟงชิงหยางเดินทางไปยังนรกอสุราด้วยกัน…ตอนนี้ในเมื่อท่านกลับมาแล้ว มิทราบว่าอาวุโสฟงชิงหยางได้กลับมาด้วยหรือไม่?”
“ยังไม่”
เพิ่งหลัวส่ายหัวไปมา “เป็นข้าถูกใต้เท้าจักรพรรดิสววรรค์ส่งกลับออกมาก่อนทั้งหมดเพราะข้าไม่อาจทนรับแรงกดดันของที่นั่นได้ไหว”
“สําหรับร่างอวตารกฏของใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ ก็รั้งอยู่เพื่อคอยช่วยร่างที่แท้จริงของใต้เท้าให้กลับออกมาจากสถานที่ประหลาดแห่งหนึ่ง”
กล่าวถึงท้ายประโยค เมิ่งหลัวก็อดม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“คอยช่วยออกจากสถานที่ประหลาด? นรกอสุรา…”
สีหน้าตัวนหลิงเทียนเปลี่ยนไป “หมายความว่าผู้อาวุโสยังไม่เคยกลับออกมาจากนรกอสุรางั้นหรือ…แต่ไม่ใช่ร่ําลือกันว่าอาวุโสได้กลับออกมาจากนรกอสุราแล้ว กระทั่งลงมือฆ่าจักรพรรดิสวรรค์ใหม่ ทวงตําแหน่งจักรพรรดิสวรรค์คืนหรือไร?”
“ที่กลับมาลงมือสะสางเรื่องราวในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ตอนนั้น เป็นเพียงร่างอวตารกฏของใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์เท่านั้น”
เมิ่งหลัวส่ายหัวไปมาพลางกล่าว
“ร่างอวตารกฏกลับทรงพลังถึงขนาดนั้นดูเหมือนว่าอาวุโสฟงชิงหยางจะบรรลุถึงขอบเขตเทพได้สําเร็จแล้วจริงๆ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพําเบาๆ จากนั้น ก็หันไปมองถามเมิ่งหลัวอีกครั้ง “อาวุโสเมิ่งหลัว ในเมื่ออาวุโสฟงชิงหยางบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว ยังไม่มีวิธีกลับออกมาจากนรกอสุราได้หรือ?”
“เรื่องนี้ค่อนข้างยาก”
เมื่งหลัวกล่าววอย่างทอดถอนใจ “ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาใต้เท้าจักรพรรดิ สวรรค์ก็ลงแรงไปไม่น้อย แต่ยังขาดอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม อีกไม่นานร่างวตารกฏกับร่างที่แท้จริงของใต้เท้าจักรพรรดิสววรรค์ ต้องร่วมมือกันบุกฝาสถานที่ประหลาดนั่นจนกลับออกมาได้แน่”
“จะอย่างไรหลังท่านใช้ร่างอวตารกฏเข้าๆออกๆนรกอสุรา ทําให้ท่านเองก็รู้สถานการณ์ในนรกอสุราไม่น้อย ด้วยเหตุผลนี้เองใต้เท้าจึงคิดพาข้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง เพื่อให้ข้าได้สัมผัสกลิ่นอายแห่งความตายและการทําลายล้างอันรุนแรงที่นั่น เป็นการช่วยให้ข้าสามารถผสานรววมความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย แล้วก็ความลึกซึ้งของกฏทําลายล้างได้มากขึ้น”
ฟังจากคําตอบของเมิ่งหลัว ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าเพิ่งหลัวคนนี้ เชี่ยวชาญกฏถึง 2 กฏ อันได้แก่กฏแห่งความตายและกฏทําลายล้าง
เป็นธรรมดาว่าเมื่อรู้ว่าอาวุโสฟงชิงหยางที่แท้ยังไม่กลับออกมาจากนรกอสุรา ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง เพราะการมาพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนครั้งนี้ เขาก็หวังจะได้พบหน้าอาวุโสฟงชิงหยางไม่น้อย
ลึกลงไปในใจ ต้วนหลิงเทียนได้ยึดถือฟงชิงหยางเป็นอาจารย์แล้ว และยังเป็นอ จารย์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
“หลังจากที่ข้าถูกส่งกลับออกมาจากนรกอสุรา พอข้ากลับมาพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์เมี่ยเทียนได้ไม่ทันไร.ข้าก็ได้รับทราบจากเพิ่งชวนน้องข้า ว่านายน้อยเคยมาที่นี่แล้ว เช่นนั้นข้าจึงขอให้น้องข้าติดต่อไปหาท่านทันที”
ฟังจากคําพูดประโยคนี้ของเมิ่งหลัว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายพึ่งกลับออกมาจากนรกอสุรา สดๆร้อนๆ!
“เจ้าหนูหลิงเทียน ถึงแม้ว่าใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์จะยังไม่กลับมา แต่จากที่เพิ่งหลัวว่าเห็นที่อีกไม่นานใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ต้องกลับมาเป็นแน่…เจ้าก็บ่มเพาะฝึกฝนภายในพระราชวังหลังนี้ให้ดีเถอะ รอพบใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์อยู่ที่นี่”
ผู้เฒ่าหัวกล่าวแนะนําด้วยรอยยิ้ม
“ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าในฐานะศิษย์ที่แท้จริงของใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ ก็เตรียมเพลิดเพลินกับทรัพยากรบ่มเพาะที่ดีที่สุดของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ได้เลย…เจ้าบ่มเพาะฝึกปรือที่นี่ย่อมดีกว่าด้านนอกเป็นไหนๆ!”
ผู้เฒ่าหัวกล่าวพลางหัวเราะ
“ใช่แล้ว”
เมิ่งหลัวพยักหน้าเห็นด้วย พลางเอ่ยเสริมว่า “ นายน้อยท่านมั่นใจได้เลย ว่าหากอยู่ที่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งนี้ ไม่ว่าท่านต้องการสิ่งใด เพียงเอ่ยปากบอกมาคําเดียว ทางพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์เราจักจัดเตรียมทุกอย่างเท่าที่ท่านต้องการอย่างดีที่สุดเพื่อท่าน”
แต่ต้นจนจบนั้น เมิ่งหลัวแลดูสุภาพทั้งเคารพต้วนหลิงเทียนมาก สิ่งนี้ทําให้ต้วนหลิงเทียนบอกได้ทันทีว่าเพิ่งหลัวคนนี้จงรักภักดีกับผู้อาวุโสฟงชิงหยางมากเพียงไหน
“ได้”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบ “ข้าจะอยู่บ่มเพาะในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์เพื่อรอคอยอาวุโสฟงชิงหยางกลับมา”
เมิ่งหลัวก็ไปจัดเตรียมสถานที่พักบ่มเพาะให้ต้วนหลิงเทียนทันที ยังเป็นสถานที่พักบ่มเพาะใกล้ๆกับสถานที่พักบ่มเพาะของผู้เฒ่าหัวอีกด้วย
“หลังจากนี้ข้าจะปิดด่านบ่มเพาะเพื่อทะลวงให้ถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะโดยเร็วที่สุด
สุดท้ายแล้วก็มีแต่ต้องทะลวงให้ถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะก่อนเท่านั้น ถึงจะใช้ประโยชน์จากผลึกสํานึกผู้แข็งแกร่งที่สุด เพื่อเข้าใจการผสานหลอมรวมความลึกซึ้งของกฏมิติได้เต็มประสิทธิภาพ สิ่งนี้จะช่วยยกระดับพลังของข้าให้ก้าวหน้าขึ้นไปครั้งใหญ่
สําหรับต้วนหลิงเทียนในปัจจุบัน การทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะให้ได้ เป็นสิ่งที่สําคัญที่สุด
เป็นธรรมดาว่าส่วนเอ๋อเองก็เหมือนกัน
….
ณ ดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ
ตระกูลเซี่ย
“ชิงเหยียน รอให้เชี่ยเจี้ยกลับมาเมื่อใด ตระกูลเซียเราจะมอบคําอธิบายให้เจ้า”
ภายในห้องโถงหลักของตระกูลเซี่ย “เซี่ยเอี้ย” ผู้นําตระกูลเชี่ยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สูงสุด มองกล่าวกับชายหนุ่มที่นั่งถัดมาด้านล่างเสียงเข้ม
ชายหนุ่มคนนี้มาในชุดสีฟ้าอมเขียวใบหน้าหล่อเหลา หว่างคิ้วที่เดิมขมวดย่นยู่เป็นปมหลวมๆ คลายตัวลงทันทีเมื่อได้ฟังวาจาของเซี่ยเอี้ย ยังยิ้มกล่าวตอบไปว่า “ท่านลุงเซี่ยล้อเล่นแล้ว…ในเมื่ออา 3 ปล่อยเจ้าพวกนั้นไปแล้ว ก็ช่างเถอะ”
“อย่างไรเสียอีก 700 ปีหลังจากนี้ ช่องทางระหว่างระนาบเทวโลกกับระนาบเทพเราก็จะเปิดออกอีกครั้ง ถึงตอนนั้นหากมีความจําเป็น ข้าก็ค่อยลงไปจับพวกมันมาอีกรอบก็ยังไม่สาย”
“ที่ข้ามาที่นี่วันนี้มได้สนใจเรื่องพวกชั้นต่ํานั้น ส่วนใหญ่เป็นเพราะข้าคิดมาหารือกับท่านลุง… ข้าว่าข้าจะส่งคนเข้าไปในระนาบสมรภูมิเพื่อตามหาและพาตัวเจียเม่ยกลับมา”
“เฮ่อ…ในนั้นมันอันตรายเกินไป”
ชายหนุ่มในชุดสีฟ้าอมเขียว ไม่ใช่ใครอื่น มันก็คืออวิ๋นชิงเหยียน นายน้อยคนโตแห่งตระกูลอวิ๋นของดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ
“อีกทั้งระนาบสมรภูมิก็กว้างใหญ่เกินไป เจ้าคิดหายาโถวนั่นก็มิต่างใดจากงมเข็มในกองฟาง.. ข้าเองก็ได้ส่งคนเข้าไปในระนาบสมรภูมิไม่น้อยเพื่อตามหานาง”
หลังได้ยินอวิ๋นชิงเหยียนเอ่ยถึงบุตรี ใบหน้าของเซี่ยเอี้ยก็มีดดําลงปานจะคั้นได้เป็นหยดน้ําหมึก
“เอาน่าท่านลุง เรื่องนี้มากคนเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
อวิ๋นชิงเหยียนส่ายหน้าไปมาพลางยิ้ม
“ชิงเหยียน ที่เจ้ามาหาข้า เป็นเพราะเรื่องแค่นี้เองหรือ?”
เซี่ยเอี้ยเอ่ยถาม
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”
สองตาอวิ๋นชิงเหยียนทอประกายเรื่องขึ้นรูบหนึ่ง กล่าวว่า “ตอนนี้สิบในสิบเจียเม่ยสมควรยังไม่รู้ว่าคนพวกนั้นได้ถูกอาสามลอบปล่อยตัวไปแล้ว เพราะอย่างไรเสียภายในระนาบสมรภูมิก็ไม่อาจติดต่อสื่อสารใดๆกับโลกภายนอกได้”
“ข้าคิดหาตัวนางให้พบก่อนที่นางจะทันได้รู้เรื่อง จากนั้นก็พาตัวนางกลับไปยังตระกูลอวิ๋นของข้าทันที”
“เรื่องนี้ขอท่านลุงอนุญาตด้วย”