War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 3414

ตอนที่ 3414

ตอนที่ 3,414 : ข้า จัดให้!
ผู้ที่อยู่ ณ จุดศูนย์กลางไอเย็นยะเยือกอย่างต้วนหลิงเทียนนั้น แน่นอนว่ากำลังเผชิญหน้ากับพลังมหาศาลของจักรพรรดิอมตะหนามม่วงเต็มกำลัง
เป็นธรรมดาการกระทำครั้งนี้ เป็นจักรพรรดิอมตะหนามม่วงคิดใช้แรงกดดันพลัง สะกดข่มต้วนหลิงเทียนเฉยๆ!
จะอย่างไรก็แล้วแต่ การลงมือของนางได้ยั่วโทสะของผู้เฒ่าหั่วแล้ว!
สีหน้าผู้เฒ่าหั่ววมืดลงทันใด จากนั้นทั่วร่างก็เริ่มปรากฏเพิงพลังสีทองวูบบวบ คล้ายจะปะทุออกมาได้ทุกเมื่อ
“ผู้เฒ่าหั่ว ไม่จำเป็น”
อย่างไรก็ตามวินาทีที่ผู้เฒ่าหั่วกำลังจะปะทุพลังลงมือ เสียงผ่านพลังของต้วนหลิงเทียนก็ดังขึ้นพอดี จากนั้นพอผู้เฒ่าหั่วสังเกตดู ก็พบว่าต้วนหลิงเทียนนั้น ไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากแรงกดดันพลังของจักรพรรดิอมตะหนามม่วงแม้แต่นิดเดียว!
‘อะไรกัน?’
และไม่นานจักรพรรดิอมตะหนามม่วงก็ตระหนักได้ว่าแรงกดดันพลังของนางไม่อาจทำอะไรต้วนหลิงเทียนได้เลย ไม่เพียงแค่นั้น ทั้งๆที่เผชิญหน้ากับแรงกดดันพลังของนาง ต้วนหลิงเทียนกลับแลดูสบายๆคล้ายพลังของนางเป็นแค่สายลมพัดผ่าน!
และในขณะที่จักรพรรดิอมตะหนามม่วงกำลังตกใจกับความสามารถในการเพิกเฉยแรงกดดันพลังของนาง ก็พอดีกับที่มีเสียงหนึ่งลั่นดังไปทั่วหุบเขาอันเงียบสงบแห่งนี้เสียก่อน
“ข่งโย่วอี้ มาคารวะอาจารย์อา 3!”
ได้ยินเสียงดังกล่าว จักรพรรดิอมตะหนามม่วงเพียงย่นคิ้วเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็รั้งพลังคืนกลับ จากนั้นก็เอ่ยคำด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
“เข้ามา”
และพอจักรพรรดิอมตะหนามม่วงลั่นคำอนุญาต ก็ปรากฏร่างหนึ่งเหินลอยเข้ามาในหุบเขา เป็นชายหนุ่มร่างกายสูงใหญ่ผู้หนึ่ง
ชายหนุ่มผู้นี้มาในชุดคลุมสีน้ำเงินขลิบทอง ลักษณะแลดูหรูหราฟุ่งเห้อ แต่ก็มีความสง่างามไม่เบา หว่างคิ้วเจ้าตัวยังฉายชัดถึงความหยิ่งยโสถือดี ราวกับตัวเองคือนายน้อยแห่งฟ้าดิน
“คารวะอาจารย์อา 3”
หลังโรยตัวลงจากฟ้ามาหยุดลงในลานบ้านของจักรพรรดิอมตะหนามม่วง ชายหนุ่มที่เรียกตัวเองว่า ข่งโย่วอี้ ก็ประสานมือคารวะจักรพรรดิอมตะหนามม่วงก่อนใดอื่น
“โย่วอี้ ไฉนเจ้ามาที่นี่ได้?”
จักรพรรดิอมตะหนามม่วงหันไปเอ่ยถามข่งโย่วอี้ด้วยความสงสัย แววตาทอแสงเรืองขึ้นวาบหนึ่ง
“พอดีศิษย์หลานโย่วอี้ได้ยินมาว่า สามีของศิษย์น้องลี่เฟยมาถึงแล้ว เช่นนั้นก็เลยมาดูเสียหน่อย…ว่าที่แท้สามีของศิษย์น้องหญิงลี่เฟยเป็นเทพยาเลิศล้ำองค์ใด ไฉนถึงทำให้ศิษย์น้องหญิงลี่เฟยหลงรักปักใจ ถึงขั้นไม่ยอมรับความจริงใจของข้า ที่ไล่ตามนางมาตลอดหลายปีที่ผ่าน”
ข่งโย่วอี้กล่าวด้วยยรอยิ้ม
หากเป็นสถานการณ์ปกติ มันคงไม่กล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าจักรพรรดิอมตะหนามม่วงแน่นอน แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ามันจงใจ!
“ข่งโย่วอี้ เจ้ากล่าวเหลวไหลอันใด?”
สีหน้าลี่เฟยเปลี่ยนเป็นเย็นชา มองจ้องข่งโย่วอี้ดวยสายตาดุร้ายมากโทสะ และในขณะที่นางกำลังจะระเบิดโทสะออกมา ก็เป็นต้วนหลิงเทียนที่จับไหล่นางเบาๆ พลางส่ายหน้าไปมาด้วยรอยยิ้ม
“เสี่ยวเฟยเอ๋อ…สุนัขเห่า เจ้าจำต้องไปเห่าตอบด้วยหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้ม
ตั้งแต่วินาทีแรกที่ข่งโย่วอี้ปรากฏตัว เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชามากล้นไปด้วยความเกลียดชังของมันแล้ว
ตอนแรกเขาก็งุนงงอยู่บ้างว่าไฉนอีกฝ่ายแลดูอาฆาตเขาขนาดนี้ ทั้งๆที่เขาจำได้แม่นว่าไม่เคยพบเจอมันมาก่อน
จนถึงเมื่อครู่ พอได้ยินคำพูดของมัน เขาก็เข้าใจได้ทันที ว่าที่แท้อีกฝ่ายก็ตามตื๊อภรรยาเขาอย่างลี่เฟยนี่เอง
เขาไม่ได้แปลกใจอะไร ที่มีคนตามตื๊อลี่เฟย
“อื๊อ จริงของเจ้า”
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ลี่เฟยก็อดไม่ได้ที่จะขานรับพลางหัวเราะเบาๆ ในใจเริ่มบังเกิดภาพจำในอดีตแล่นย้อนไปครั้งยังอยู่ในระนาบเซียน ตัวเลวร้ายผู้นี้ยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน
คำพูดของต้วนหลิงเทียน ยังทำให้จักรพรรดิอมตะหนามม่วงอดย่นคิ้วไม่ได้
ด้านข่งโย่วอี้ที่ถูกเปรียบเป็นสุนัข สีหน้าก็มืดดำลงปานจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก จากนั้นก็หันไปมองลี่เฟย พลางกล่าวเสียงหนัก “ศิษย์น้องหญิงลี่เฟย ปกติสามีเจ้าหยาบคายเช่นนี้หรือ?”
“ข่งโย่วอี้ ก่อนที่เจ้าจะว่าผู้อื่นหยาบคาย เจ้ามิดูตัวเองก่อนเล่าว่ามีมารยาทหรือไม่?”
ลี่เฟยเหลือบมองข่งโย่วอี้ผ่านๆ ก่อนจะเลิกสนใจมัน ตอนนี้อาจารย์ของนางอยู่ทั้งคน ไหนเลยต้องกังวลกับอีกฝ่ายด้วย
และคำพูดของลี่เฟยก็ทำให้ข่งโย่วอี้หัวเสียนัก อย่างไรก็ตามมันสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่กี่ที ก็สงบโทสะที่มีต่อลี่เฟยลงได้
จากนั้นมันก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนตาขวาง ราวกับจะนำโทสะทั้งหมดไปลงกับต้วนหลิงเทียนแทน กล่าวคำด้วยรอยยิ้มเย้ยเยาะว่า “ไอ้หนู เจ้ากระเสือกกระสนดั้นด้นมาหาศิษย์น้องหญิงลี่เฟยถึงพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนเช่นนี้ หรือคิดมาขอข้าวที่นี่รับประทานเปล่าด้วย?”
“ขอข้าวรับประทานเปล่า?”
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้โกรธอะไรกับวาจาแดกดันของข่งโย่วอี้ “แล้วไง จะข้าวรับประทานเปล่าก็ดี แต่ข้าว่าคนแถวนี้ยังไม่มีปัญญาได้กินข้าวที่เสี่ยวเฟยเอ๋อหุงกระมัง?”
หลังได้ยินวาจายอกย้อนของต้วนหลิงเทียน สีหน้าข่งโย่วอี้ก็มืดลงปานน้ำหมึก “เฮอะ แลดูเจ้าจะภูมิใจนักหนีท่ได้เกาะสตรีกิน? ข้าไม่ทราบจริงๆว่าศิษย์น้องหญิงไปหลงใหลตัวไร้ประโยชน์เช่นเจ้าได้อย่างไร!?”
“ศิษย์น้องหญิงลี่เฟย นี่น่ะหรือบุรุษที่เจ้าเลือกเป็นสามี? ก็แค่ไอ้หนุ่มหน้าขาวดั่งสัดใส่ข้าวใช้การไม่ได้คนหนึ่ง มิได้คู่ควรกับเจ้าแม้แต่น้อย!!”
ข่งโย่วอี้หันไปกล่าวเตือนลี่เฟย
ลี่เฟยเพียงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “บุรุษของข้าจะคู่ควรไม่คู่ควรอยู่ที่ข้าตัดสิน…ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า!”
“จักรพรรดิอมตะหนามม่วง”
ตอนนี้เอง ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองกล่าวกับจักรพรรดิอมตะหนามม่วงด้วยรอยยิ้ม “หากท่านไม่มีใดอื่นแล้ว เช่นนั้นข้าจะพาเสี่ยวเฟยเอ๋อไปกับข้า…วันหน้าหากมีเวลาว่างข้าจะพาเสี่ยวเฟยเอ๋อมาเยี่ยมท่านบ่อยๆ”
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน สีหน้าจักรพรรดิอมตะหนามม่วงก็มืดลงทันที “เจ้าคิดพาเฟยเอ๋อไป เจ้ามั่นจ่าจะรับรองความปลอดภัยให้นางได้แล้วหรือ? แล้วเจ้ารับประกันได้หรือไม่ว่าเจ้าจักไม่ถ่วงรั้งนางทำให้พรสวรรค์ของนางจำต้องเสียเปล่า?”
“หากเจ้าสามารถรับประกันทุกอย่างที่ข้าว่ามาได้ ข้าก็อนุญาตให้เจ้าพาเฟยเอ๋อไปได้! แต่ถ้าเจ้าไม่อาจรับปากทั้งไร้หลักประกันใดๆให้ข้าเห็น ขอภัยแต่ข้ามิอาจวางใจให้เจ้าพาเฟยเอ๋อไปกับเจ้าได้!!”
จักรพรรดิอมตะหนามม่วงกล่าวคำขาด
เนื่องจากนางเห็นแล้วว่าดูเหมือนต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิด เช่นนั้นนางจึงไม่ตัดหนทางอีกฝ่าย
อย่างไรก็ตาม ไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะได้พูดอะไร ก็เป็นข่งโย่วอี้โพล่งออกมาด้วยความประหลาดใจก่อน “ศิษย์น้องหญิงลี่เฟย เจ้า…เจ้าคงไม่บ้าจี้ตามมันไปตกระกำลำบากหรอกนะ?”
ถึงแม้ก่อนหน้ามันจะกล่าวแขวะเรื่องอีกฝ่ายคิดรับประทานข้าวเปล่าที่นี่ หมายบีบให้อีกฝ่ายไสหัวไปให้พ้นๆ แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายกลับบอว่าจะพาลี่เฟยไปจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ของฝูโหย่วเทียนจริงๆ
อย่างไรก็ตามข่งโย่วอี้ก็ไม่คิดปล่อยให้เรื่องนี้มันจบง่ายๆ “ศิษย์น้องหญิงเจ้าคิดให้ดี…หากออกจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ไป เจ้าจะไปหาสภาพแวดล้อมบ่มเพาะดีๆเช่นนี้ได้ที่ไหน ยังมีทรัพยากรบ่มเพาะอีก ที่ไหนจักมีทรัพยากรบ่มเพาะให้เจ้าดีเท่าที่นี่เล่า?”
“ตราบใดที่ข้าได้อยู่กับคนรักของข้า เรื่องอื่นใดล้วนไร้สำคัญ สิ่งที่เจ้าว่ามาข้าหาได้สนใจไม่”
ลี่เฟยเหลือบมองข่งโย่วอี้ด้วยหางตา กล่าวตอบเสียงเรียบ
จากนั้นลี่เฟยก็หันไปมองจักรพรรดิอมตะหนามม่วง ก่อนจะคุกเข่าลงทันที “ท่านอาจารย์ ตลอดหลายปีมานี้เหตุผลเดียวที่ทำให้ข้าขยันบ่มเพาะอย่างหนัก ล้วนเพราะให้มีพลังไปตามหาสามีของข้า”
“ตอนนี้ในเมื่อข้าได้พบกับสามีของข้าแล้ว เรื่องอื่นใดนอกจากอยู่กับเขา ล้วนเป็นเรื่องรอง”
“ตลอดหลายปีที่ผ่าน ลี่เฟยจดจำทั้งซาบซึ้งบุญคุญและความเมตตาที่ท่านอาจารย์มอบให้ได้ชัดเจน…วันหน้าหากอาจารย์มี่เรื่องราวใด ต่อให้บุกน้ำลุยไฟเพื่อท่าน ศิษย์ก็ไม่คิดปฏิเสธ!”
“และวันหน้าหากมีเวลา ศิษย์จะกับมาหาท่านบ่อยๆ”
ลี่เฟยกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจังนัก
ตอนนี้ลี่เฟยไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าต้วนหลิงเทียนจะจัดหาสถานที่บ่มเพาะอันมีสภาพแวดล้อมดีๆหรือทรัพยากรอะไรให้นางได้หรือไม่ นางไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ขอแค่ให้ได้อยู่กับต้วนหลิงเทียนอีกครั้งเป็นพอ
“เฟยเอ๋อ”
จักรพรรดิอมตะหนามม่วงพอได้ฟังก็หันไปมองกล่าววกับลี่เฟย สายตาของนางยังเต็มไปด้วยความอ่อนโยนอย่างหาที่สุดไม่ได้ “อาจารย์เข้าใจความรู้สึกของเจ้าดี หาไม่แล้วตอนเจอสามีเจ้า อาจารย์คงไม่บอกว่ามันสามารถอยู่ที่ได้แต่แรก ที่อาจารย์อยากให้มันอยู่ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์…เพราะอยากให้เจ้าสามารถบ่มเพาะพลังต่อได้อย่างวางใจ”
“แต่มิคาดบุรุษของเจ้ากลับปฏิเสธ…สิ่งนี้ยังไม่ใช่คิดทำให้พรสวรรค์ของเจ้าสูญเปล่าหรือไร ยังไม่ใช่ทำให้เจ้าต้องตกอยู่ในความเสี่ยงเพราะต้องไประหกระเหินอยู่ด้านนอกหรือไร?”
“หากเป็นเช่นนั้นบุรุษของเจ้าก็มีแต่จะถ่วงรั้งความกก้าวหน้าของเจ้าเท่านั้น”
จักรพรรดิอมตะหนามม่วงคลี่ยิ้มขื่นขม
และพอจักรพรรดิอมตะหนามม่วงกล่าวจบคำ ข่งโย่วอี้ก็ได้ทีหันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงหยันหยาม “ไอ้หนู! เจ้าอย่าได้เห็นแก่ตัวให้มันมากนัก! เพื่อความสุขส่วนตัวของเจ้าคนเดียว เจ้าคิดทำลายอนาคตของศิษย์น้องหญิงลี่เฟยและทำให้พรสวรรค์ของนางต้องสูญเปล่างั้นรึ!?”
“จักรพรรดิอมตะหนามม่วง”
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้สนใจอะไรข่งโย่วอี้แม้แต่น้อย เพียงหันไปมองจักรพรรดิอมตะหนามม่วงด้วยสายตาพึงพอใจ เอ่ยออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าซาบซึ้งยิ่งนักที่ท่านดีต่อเสี่ยวเฟยเอ๋อขนาดนี้”
“วันนี้ข้าขอรับปากกับท่านไว้เลยว่า…หลังจากที่ข้าพาเสี่ยวเฟยเอ๋อออกจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนแล้ว…วันหน้านางจะมีสถานที่บ่มเพาะที่มีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะไม่น้อยกว่าที่นี่แม้แต่นิดเดียว อีกทั้งทรัพยากรในการบ่มเพาะที่ข้าจะมอบให้นาง ก็มีแต่จะเหนือกว่า และไม่ด้อยกว่าที่นี่เป็นแน่!!”
ล้อกันเล่นหรือไร?
สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะภายในโลกใบเล็กภายในกายของเขามันเทียบได้กับบระนาบเทพแล้ว อาศัยแค่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียนจะมาเทียบชั้นอันใดได้?
เป็นธรรมดาว่าเรื่องนี้เขาไม่อาจพูดออกไปได้
“ไร้สาระสิ้นดี!!”
ในขณะที่จักรพรรดิอมตะหนามม่ววงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ด้านข่งโย่วอี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังลั่น กล่าววถากถางด้วยน้ำเสียงดูแคลนว่า “น้ำหน้าอย่างเจ้าเนี่ยนะไอ้หนู จะทำอะไรแบบนั้นได้? เจ้าไม่กระดากปากตัวเองบ้างหรือไรที่คุยโวโอ้อวดเช่นนี้ออกมา?”
“ที่นี่คือพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งฝูโหย่วเทียน เป็นดั่งสถานที่บ่มเพาะอันศักดิ์สิทธิ์ของระนาบฝูโหย่วเทียน ผู้คนมากมายได้แต่ฝันอยากจะเข้ามาบ่มเพาะที่นี่!”
“ในระนาบฝูโหย่วเทียน มีขุมกำลังระดับสวรรค์ระดับแนวหน้าไม่กี่แห่งเท่านั้น ที่พอจะมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะเทียบเท่าที่นี่ได้…”
“อาศัยเด็กน้อยอายุไม่ถึง 400 ปีเช่นเจ้า กระทั่งพรสวรรค์ยังอ่อนด้อยกว่าศิษย์น้องหญิง ยังกล้าล่ามเหลวไหลเช่นนี้? เจ้าไปเอาความมั่นใจผิดๆนั่นมาแต่ที่ใด?”
ลี่เฟยเคยเล่าเรื่องราวของต้วนหลิงเทียนให้จักรพรรดิอมตะหนามม่วงฟังแล้ว
ในบรรดาเรื่องที่เล่า ยังมีเรื่องที่พรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนอาจไม่ดีเท่านางที่ได้รับการชำระขัดเกลาจากพลังวิญญาณฟ้าดินของระนาบเทพด้วย
สำหรับเรื่องนี้จักรพรรดิอมตะหนามม่วงก็มีไปพูดกับศิษย์พี่อย่างจักรพรรดิอมตะวายุสุดขั้วที่เป็นบิดาของข่งโย่วอี้ ทำให้ข่งโย่วอี้ก็ได้ทราบจากผู้เป็นบิดาอีกที
ด้วยเหตุนี้มันจึงเข้าใจว่าพรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนด้อยกว่าลี่เฟยมาก
“หากเจ้ายังสอดปากพล่ามไม่เลิก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฉีกปากเจ้า?”
เมื่อเห็นว่าเขาเมินเฉยก็แล้วไม่สนใจก็แล้ว แต่ข่งโย่วอี้ยังพล่ามมากไม่เลิก ต้วนหลิงเทียนก็ชักรำคาญขึ้นมา จึงหันไปมองข่งโย่วอี้พลางกล่าวเตือนด้วยสายตาน้ำเสียงเย็นชา
ข่งโย่วอี้ผงะไปครู่หนึ่ง ก็หัวเราะออกมา “ฉีกปากข้ารึ?”
“ไอ้หนู เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือจักรพรรดิอมตะคนหนึ่ง ไม่ว่าจะพลังฝึกปรือหรือความเข้าใจในกฏ ก็ล้วนเหนือกว่าศิษย์น้องหญิงลี่เฟยเสียอีก!”
“อาศัยเจ้าที่อายุพอๆกับศิษย์น้องหญิงลี่เฟย แถมพรสวรรค์และสติปัญญาของเจ้ายังสู้ศิษย์น้องหญิงลี่เฟยไม่ได้ กระทั่งขอบเขตจอมราชันอมตะเจ้าก็คงไม่มีปัญญาทะลวงผ่านกระมัง?”
“เช่นนั้นอาศัยตัวอ่อนแอเยี่ยงเจ้าน่ะรึ คิดฉีกปากข้า?”
ข่งโย่วอี้กล่วาวาจาปรามาสต้วนหลิงเทียนออกมาเป็นชุด ก่อนจะหยุดลงครู่หนึ่งแล้วเอ่ยท้าทายว่า “แน่นอนว่าหากเจ้าคิดว่ามีปัญญา ก็ลองได้!”
“ทว่าเจ้าก็คิดให้มากๆหน่อยเล่า เพราะหากเจ้ากล้าสะเออะลงมือกับข้า ต่อให้เจ้าจะเป็นสามีของศิษย์น้องหญิงลี่เฟย ข้าก็ไม่คิดจะใจดียั้งมือให้เจ้าหรอกนะ”
ครู่ต่อมา มุมปากข่งโย่วอี้ก็เผยรอยิ้มแดกดันประชดประชันออกมา
“ข่งโย่วอี้”
ในขณะที่สีหน้าลี่เฟยเปลี่ยนไป และชุดคลุมสีม่วงของนางเริ่มโบกสะบัดราวคิดจะลงมือนั้นเอง
กลับเป็นชุดคลุมต้วนหลิงเทียนที่กระเพื่อมอย่างรุนแรงยิ่งกว่า จากนั้นพลังมิติอันร้ายกาจขุมหนึ่งก็กำจายออกมาทั่วร่าง “ในเมื่อเจ้าอยากให้ข้าฉีกปากเจ้านัก…ข้าก็จัดให้!”
พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดผสานพลังธาตุมิติอักล้าแข็งระเบิดออกมาในฉับพลัน!
ซัว! ซัว!
ทันใดนั้นเองความว่วางเปล่าพลันปริแยก อุบัติคมมีดมิติ 2 พุ่งยิงออกมาฉับไวสุดที่ข่งโย่วอี้จะทันได้ตั้งตัว จากนั้นคมมีดมิติดังกล่าวก็ราวกับจะอันตรธานหายไปในบัดดล เป็นมันถูกความลึกซึ้งเคลื่อนย้ายผสานความลึกซึ้งส่งผ่าน จู่โจมเข้าใส่ข่งโย่วอี้ในพริบตา!
“หยุดมือ!!”
จักรพรรดิอมตะหนามม่วงตกตะลึงกับพลังที่ต้วนหลิงเทียนปะทุออกมาไม่น้อย สองตานางฉายชัดถึงความเหลือเชื่อ สีหน้าเปลี่ยนไปใหญ่หลวง และคิดจะลงมือช่วยเหลือข่งโย่วอี้ทันที
อย่างไรก็ตาม ไม่ทันที่นางจะได้ขยับ สำนึกเทวะอันกล้าแข็งของผู้เฒ่าหั่วก็เพ่งเล็งมาที่นางเขม็ง!

War sovereign Soaring The Heavens

War sovereign Soaring The Heavens

Status: Ongoing

จิตวิญญาณของผู้เชี่ยวชาญการใช้อาวุธในโลกปัจจุบัน ได้ทะลุข้ามไปยังโลกอื่นรวมเข้ากับความทรงจำของของเด็กหนุ่ม ที่ถูกกลั่นแกล้งตลอดเวลา จนกระทั้งขาดใจตาย

การฝึกฝนเทคนิค เก้ามังกรเทพสงคราม จะสามารถกวาดล้างศัตรูได้โดยไม่มีวันแพ้!

ขณะที่เขา มีความสามารถในการปรุงยา การสร้างอาวุธ และเชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ …

ทักษะทั้งหมดนี้ คือวิถีทางแห่งราชันย์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท