大姐大 บทที่ 265 นิทรรศการกล้วยไม้ 4
“ผมพอแก่ตัวขึ้น บางอย่างก็ต้องปล่อยวางบ้าง บางครั้งการตื่นรู้ก็เป็นสิ่งจำเป็น อย่ากดดันตัวเองมากจนเกินไป”
ไม่เพียงแต่ปู่เจี่ยนจะกลายเป็นพระพุทธเจ้าไปเสียเอง แต่เขาก็ยังพูดกับคุณเฉียนถึงเซนด้วย
ขณะที่คุณเฉียนรู้สึกว่าเขาควรจะเรียนรู้จากปู่เจี่ยนอยู่นัั้น
เจ้าหน้าที่เข้ามาและพูดกับปู่เจี่ยนว่า “ท่านผู้เฒ่าเจี่ยน คุณไม่คิดจะขายกล้วยไม้นี้จริงเหรอ มีคนมากกว่าหนึ่งคนที่เสนอต่อโชว์รูมของเราว่า พวกเขายินดีจ่ายในราคาที่สูงมากๆเพื่อซื้อมัน”
“ไม่ ไม่ขาย ไม่ขายไม่ว่าจะเป็นเงินเท่าไหร่ก็ตาม”
ปู่เจี่ยนมีความตั้งใจแน่วแน่ และพนักงานทำได้แค่เพียงกลับไปโดยไม่ประสบความสำเร็จ
คุณเฉียนทำตาโตอยู่ตลอดเวลา “ผู้เฒ่า นี่อะไรกัน คุณนำกล้วยไม้สายพันธุ์ใหม่นี้มาเองเหรอนี่”
ปู่เจี่ยนเชิดหน้าขึ้นด้วยความภาคภูมิใจที่เขียนชัดอยู่บนใบหน้า “ใช่ นี่ไม่เหมือนใครในโลก มีเพียงหนึ่งเดียวและเป็นของผมคนนี้”
“คุณได้รับมันมาจากไหน” คุณเฉียนรีบถาม ความอยากรู้อยากเห็นกำลังครอบงำเขา
“ผมไม่บอกคุณหรอก”
“ไม่เอาน่าผู้เฒ่าเจี่ยน คุณก็เกินไป จะบอกว่าเราเป็นเพื่อนกันด้านดอกไม้มาหลายปีได้ยังไง ในเมื่อคุณมีกล้วยไม้ที่ดีที่สุดหลากหลายสายพันธุ์ แต่คุณไม่แม้จะเปิดเผยให้ผมรู้แม้แต่น้อย”
“เปิดเผยให้คุณอิจฉามากขึ้นเหรอ”
“เอ่อ …” คุณเฉียนพบว่าคำพูดของผู้เฒ่าเจี่ยนนั้นถูกต้อง แค่ตอนนี้เขาก็รู้สึกอิจฉาแล้ว
ไม่ใช่แค่คุณเฉียนเท่านั้นที่อยากรู้อยากเห็น แต่เจี่ยนชูฉิงกับคนอื่นๆก็อยากรู้อยากเห็นเหมือนกัน
เจี่ยนชูฉิงอดไม่ได้ที่จะถามพ่อว่า “พ่อลงทุนกับงานวิจัยนี้เท่าไหร่เหรอ”
โดยทั่วไปแล้วการปรับปรุงสายพันธุ์ใหม่ต้องใช้บุคลากรเฉพาะทางในการทำการวิจัย
ปู่เจี่ยนเหลือบมองเจี่ยนชูฉิง เวินน่วน เจี่ยนหยุ่นเฉิง และเจี่ยนหยุ่นน่าวที่งงงวยและตอบช้าๆ
“นานมากแล้ว เริ่มลงทุนเมื่อ 15 ปีก่อนและใช้เงินค่อนข้างมากโขอยู่”
“ทำไมผมไม่เคยได้ยินพ่อเกริ่นถึงเลย” นานมากขนาดนี้แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่เคยได้ข่าวคราวอะไรเลย พ่อซ่อนมันไว้เป็นอย่างดีเลยใช่ไหม
“ฉันเป็นพ่อของแก ฉันต้องรายงานอะไรให้แกรู้ทุกเรื่องหรือไง”
เจี่ยนชูฉิงถูกปู่เจี่ยนพูดสกัดเอาไว้
เจี่ยนชูฉิงไม่กล้าถามอะไรอีก หลังจากงานแสดงกล้วยไม้จบลงพวกเขาก็พาพ่อไปทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารจีนใกล้ๆ
เจี่ยนอีหลิงยังคงเงียบในระหว่างงานเลี้ยง และพวกเจี่ยนชูฉิงเองก็ยังคงล้มเหลวในการสร้างความคืบหน้า
แต่อย่างน้อยวันนี้เจี่ยนหยุ่นน่าวกับเจี่ยนอีหลิงก็เข้ากันได้ทั้งวันโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นพัฒนาการขึ้นมาได้ระดับหนึ่งเช่นเดียวกัน
###
ถัดจากนั้นไป เจี่ยนอีหลิงก็เข้าสู่การสอบกลางภาคเรียนแรกของเธอ
วันรุ่งขึ้นหลังจากการสอบสิ้นสุดลง
ก่อนจะไปโรงเรียน เจี่ยนหยุ่นน่าวได้เตรียมของขวัญเป็นพิเศษ และนำไปโรงเรียนตั้งใจจะมอบให้เจี่ยนอีหลิง
เหตุผลก็เพื่อเป็นการฉลองจบการสอบกลางภาคของเจี่ยนอีหลิง
แม้ว่าผลจะยังไม่ออกมา แต่นี่ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือเจี่ยนหยุ่นน่าวได้พบเหตุผลสำหรับการให้ของขวัญ
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่า เขาจะส่งมันออกไปได้สำเร็จหรือไม่
ในตอนเที่ยง เขาใช้เวลาพักผ่อนของทุกคนให้เป็นประโยชน์ และมาที่ประตูของโรงเรียนมัธยมปลายเกรดแปด
เขออ้อยอิ่งอยู่ที่หน้าประตูเป็นเวลานาน มองไปยังเจี่ยนอีหลิงที่อยู่ในห้องเรียน เขาไม่ได้โทรหาหรือขอให้นักเรียนเกรดแปดช่วยเรียกเจี่ยนอีหลิง
ตอนนี้เจี่ยนอีหลิงและหูเจียวเจียวกำลังนั่งอยู่ในที่นั่งของตัวเอง
เจี่ยนอีหลิงกำลังยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเอง แม้ในช่วงพักกลางวันเธอก็ใช้ประโยชน์จากมันอย่างเต็มที่
“อีหลิง” หูเจียวเจียวฟุบตัวลงนอนบนโต๊ะ
เจี่ยนอีหลิงหันไปมองเธอ …
บทที่ 266 รู้สึกขมขื่นยิ่งกว่ากินยาจีน
“อีหลิง ทำไมเธอถึงมีการบ้านไม่รู้จบกับการสอบที่ไม่รู้จบอยู่ตลอดชีวิต ฉันยังรู้สึกว่าการสอบเดือนที่สองเพิ่งผ่านไปได้ไม่เท่าไหร่ การสอบกลางภาคก็จะมาทำลายชีวิตฉันอีกแล้ว”
เมื่อนึกถึงผลการสอบในอีกสองวันข้างหน้า หูเจียวเจียวก็หมดแรง
หวังเซี่ยงจ้งมาส่งสมุดการบ้านคณิตศาสตร์คืนให้หูเจียวเจียว เมื่อได้ยินหูเจียวเจียวบ่นเขาก็รู้สึกรังเกียจ
“ทำอะไรไม่ได้ ก็บ่นเป็นอันดับแรก”
“หึ” หูเจียวเจียวนอนอยู่บนโต๊ะโดยไม่ขยับ และหันไปหาหวังเซี่ยงจ้ง ตอนนี้เธอไม่แม้จะสนใจที่จะไปโต้เถียงกับเขา
เมื่อหวังเซี่ยงจ้งส่งการบ้านให้กับเจี่ยนอีหลิง เขาก็พูดกับเจี่ยนอีหลิง
“บางคนก็อย่าลืมเดิมพันที่ทำไว้กับฉัน นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอทำการบ้านคณิตศาสตร์ของเธอผิดมากน้อยเท่าไหร่ ฉันคิดว่าเธอควรยอมรับความพ่ายแพ้โดยเร็วที่สุด”
การบ้านของเจี่ยนอีหลิง สามารถใช้คำว่า “ยุ่งเหยิง” มาอธิบายได้
หวังเซี่ยงจ้งพูดจบ ก็ตั้งหน้าตั้งตารอดูสีหน้าหมดหวังของเจี่ยนอีหลิง
แต่สุดท้าย ดูเหมือนว่าเจี่ยนอีหลิงจะไม่ได้ยินเขา
หวังเซี่ยงจ้งจึงพูดต่อไปว่า “แกล้งทำท่าต่อไปเถอะ”
เจี่ยนอีหลิงไม่สนใจหวังเซี่ยงจ้ง เมื่อหวังเซี่ยงจ้งไม่สามารถทำอะไรต่อไปได้ เขาจึงได้แต่หันหน้าและเดินจากไป
หูเจียวเจียวบ่นต่อไปว่า “ฉันอยากเล่นเกม อยากเป็นปลาเค็ม*ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าฉันไม่ชอบการเรียน แต่ความรักข้างเดียวมันเจ็บปวดเกินไปฉันรักที่จะเรียนรู้ แต่การเรียนรู้ไม่เคยเต็มใจที่จะมองกลับมาที่ฉันและรักฉันบ้างเลยสักนิด ท้ายที่สุดฉันก็ไม่สามารถเปลี่ยนให้เขากลับมาหลงใหลฉันได้ ทำไมฉันไม่ตื่นขึ้นมาก่อนหน้านี้และอยู่ให้ห่างจากการเรียน …”
ดูเหมือนว่าหูเจียวเจียวจะได้รับความเจ็บปวดจากการศึกษาเมื่อเร็วๆนี้ จึงเป็นแรงกระตุ้นให้เธอระบายความขุ่นเคืองออกมาในตอนนี้ ราวกับว่าเธอกำลังอกหักจากพวกคนเลว
หลิวเหวินก็อยู่ตรงนั้น “ถึงไม่ชอบเรียนเธอก็เล่นเกมไม่เก่งอยู่ดี”
หูเจียวเจียวยิ่งเศร้ากว่าเดิม “พี่สาวเหวิน ฉันคิดว่าพระเจ้าส่งพี่มาทรมานฉันแน่เลย ถึงแทงถูกใจดำฉันได้ทุกครั้ง ตอนนี้หัวใจของฉันคนนี้มันพรุนไปด้วยรูนับพัน แปดร้อยรูนั้นถูกพี่แทง ที่เหลืออีกสองร้อยนั้น หนึ่งร้อยถูกเจาะโดยแม่ฉัน กับอีกหนึ่งร้อยถูกครูเจาะ”
หูเจียวเจียวนอนฟุบอยู่บนโต๊ะไม่ยอมลุกขึ้น
“เจี่ยนอีหลิง พี่ชายเธอกำลังตามหาเธอ”
เพื่อนร่วมชั้นที่นั่งอยู่ใกล้ประตูห้องเรียนเรียกเจี่ยนอีหลิง
เจี่ยนอีหลิงเงยหน้าขึ้นแล้วเหลือบมองไปที่ประตู
เจี่ยนหยุ่นน่าวถืออะไรบางอย่างในมือ สีหน้าเขาดูประหม่าเล็กน้อย
ในเวลานี้นักเรียนชั้นมัธยมปลายจำนวนมากกำลังดูเจี่ยนอีหลิง
หลังจากเหตุการณ์ที่แล้ว ทุกคนมีการถกเถียงกันเกี่ยวกับพี่น้องคู่นี้มานาน และทุกคนก็ยังสงสัยเกี่ยวกับสถานะปัจจุบันของทั้งสองอยู่บ้าง
ภายใต้การจ้องมองของนักเรียน เจี่ยนอีหลิงเดินไปที่ประตู
เจี่ยนหยุ่นน่าวส่งของขวัญให้กับเจี่ยนอีหลิง “ยินดีด้วย ขอแสดงความยินดีที่สอบมิดเทอมเสร็จ”
เจี่ยนหยุ่นน่าวไม่กล้ามองเข้าไปในดวงตาของเจี่ยนอีหลิงโดยตรง
กลัวเห็นความขยะแขยงในสายตาเธอ
เจี่ยนอีหลิงเหลือบมองไปที่ของขวัญที่เขายื่นให้ตรงหน้า ชะงักชั่วขณะ แล้วยื่นมือไปรับ
“ขอบคุณ”
คำว่า “ขอบคุณ” ทั้งสุภาพและใจดี
เจี่ยนหยุ่นน่าวไม่สามารถบอกได้ว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่แม้แต่น้อย
แต่เขารู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง
เจี่ยนอีหลิงหันหลังเดินกลับไปที่ห้องเรียน
เจี่ยนหยุ่นน่าวมองตามหลังของเจี่ยนอีหลิงที่กำลังกลับไปที่ห้องเรียน ความรู้สึกในใจของเขาขมขื่นยิ่งกว่ายาจีนที่เขาเคยกินมาก่อน
เขาไม่สามารถพูดในสิ่งที่เขาเตรียมที่จะพูดกับเธอได้สักคำ
เจี่ยนหยุ่นน่าวลังเลที่ประตูสักพักก่อนจะเดินจากไป
————————-
เป็นปลาเค็ม * ก็คือไม่อยากทำอะไรเลย