บทที่ 41 ขอบคุณที่ช่วยนะสาวน้อย
หัวข้อในการขั้นรอบแรกคือชุดแต่งงาน
นี่เป็นหนึ่งในหัวข้อที่พื้นฐานที่สุดสำหรับนักออกแบบทุกคน ระดับความยากไม่เท่าไหร่ แต่กลับกำหนดไว้ในขอบเขต ตั้งชื่อเป็น “ความลับของสาวน้อย”
ต้องทำการแข่งขันทั้งหมด 3 รอบ ภายในหนึ่งเดือนต้องเลือกตัวแทนนักออกแบบที่จะเข้าร่วมเทศกาลแฟชั่นของเซิ่งซื่อ หรือก็คือ อย่างน้อยหนึ่งอาทิตย์ต้องทำผลงานให้เสร็จหนึ่งอย่าง
การทำงานแบบนี้ อาจจะต้องเร่งหน่อย
ชางหลิงเอาการบ้านที่ก่อนหน้าบังเอิญให้เธอทำออกมา เป็นผลงานชุดแต่งงานก่อนๆ ของเซิ่งซื่อ นักออกแบบที่เจอบ่อยที่สุด 2 ท่าน คนหนึ่งเป็นหัวหน้าของกลุ่มพวกเธอถงเอิน อีกคนหนึ่งก็คือที่คนที่พูดออกมาจากปากของซูเสี่ยวเฉิง หลังจากถูกคนอื่นสงสัยว่าลอกผลงานคนอื่น ฉีจินหมิ่นที่ไล่เด็กใหม่ออกคนนั้น
เธอลองคำนวณอย่างจริงจังดูแล้ว ดีไซน์ของถงเอินเหมือนกับนิสัยของเธอมาก ชอบอวด การปะทะของสีก็เยอะ ส่วนนะคะนั้นจะเรียบๆ เดินในแนวสวยหรู เนื้อผ้าที่ใช้ก็เป็นเนื้อผ้าหรูหราอย่างมาก
ดังนั้น สไตล์ที่ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อยของนักออกแบบทั้งสองท่านก็ได้เดินขึ้นเวทีแสดงโชว์ ก็หมายความว่า คนที่มีอำนาจในการตัดสินเกี่ยวกับความงามในเซิ่งซื่อ ชอบสองสไตล์นี้
ชางหลิงคิดขึ้นมาได้ทันที เธอมีความคิดดีๆ แล้ว
“เสี่ยวเฉิงจื่อ” ชางหลิงเอาภาพวาดก่อนหน้านี้ของตัวเองให้ซูเสี่ยวเฉิง “ถ้าฉันเดาไม่ผิดละก็ การแข่งขันออกแบบนี้ครั้งนี้ ก็เป็นหนึ่งในการทดสอบนักศึกษาฝึกงาน พวกเราต้องทำผลงานที่ดีออกมาให้ไม่ได้ ห้ามให้คนอื่นนำหน้าไปเด็ดขาด”
ซูเสี่ยวเฉิงตะลึง “ไม่ใช่มั้ง พวกเราเป็นแค่เด็กฝึกงานเฉยๆนะ พึ่งเข้ามาก็จะต้องผ่านมรสุมแบบนี้เลยหรอ?”
ชางหลิงเบาะแสที่คิดได้เมื่อกี้กระซิบให้กับซูเสี่ยวเฉิง ซูเสี่ยวเฉิงที่ได้ยินก็งงไปหมดเลย
“สมแล้วที่เป็นนักเรียนดีเด่นจริงๆ อันนี้เธอก็ไปสืบหามาด้วยหรอ?” ซูเสี่ยวเฉิงชื่นชมเป็นอย่างมาก
ชางหลิงไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเก่ง ที่จริงแล้ว เธอได้รับคำแนะนำมาจากโหมวยู่ก็เลยไปทำพวกนี้เฉยๆ ถือว่าโชคดีเลยก็ว่าได้
“สู้ๆละกัน ถ้าความเร็วแบบนี้ ช้าที่สุดพวกเราต้องออกแบบดีไซน์ภายในวันจันทร์หน้าแล้ว ยังต้องตัดพิมพ์เสื้อผ้าอีก ต้องเร่งมือหน่อยแล้ว”
ซูเสี่ยวเฉิงพยักหน้า ทันใดนั้นเอง ในห้องทำงานก็เหลือแต่เสียงคีย์บอร์ดและเสียงเม้าส์เท่านั้น
ตอนพักเที่ยง ซูเสี่ยวเฉิงไปกินข้าวที่โรงอาหารกับเพื่อนทำงานคนอื่นๆ ชางหลิงห่อข้าวมา ก็เลยไม่ได้ไปด้วย ตอนที่กำลังอุ่นข้าวอยู่ในห้องน้ำชา เธอก็เอาแต่คิดเรื่องออกแบบดีไซน์จนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นอกหน้าต่างเป็นจุดพักผ่อนของพนักงาน มีสนามบาสใหญ่ๆ เธอจ้องออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อ ถูกพวกวัยรุ่นที่กำลังเล่นบาสอยู่ดึงดูด
ในความทรงจำ หยูเฉินเองก็ชอบเล่นบาส
ตอนนั้นพวกเขายังไม่ได้คบกัน อายุกำลัง15-16ปี เธอและซูเสี่ยวเฉิงทั้งสองคนตัวติดกันตลอด จะนัดกันไปสนามเพื่อดูพวกผู้ชายเล่นบาส คนที่ดึงดูดสายตามากที่สุดในนั้นก็คือหยูเฉิน
เขายิ้มขึ้นมาจะเหมือนกับพระอาทิตย์ที่ส่องแสง รูปร่างหน้าตาที่หล่อ ทำให้มีผู้หญิงติดตามเพียบ ตอนพักครึ่ง จะมีผู้หญิงล้อมเข้าไปแล้วยื่นน้ำให้เขา
แต่เธอไม่เคยเข้าใกล้เองเลย
จนอยู่มาวันหนึ่ง เธอและซูเสี่ยวเฉิงถูกอาจารย์ทำโทษแล้วกลับมา บนมือจับขวดน้ำที่ดื่มแล้วไปดูหยูเฉินพวกเขาแข่งบาส หลังจากแข่งเสร็จ หยูเฉินก็เดินตรงมา เอาขวดน้ำนั้นจากมือของเธอไป
เธอมองเขาเปิดฝาขวดน้ำ เอาปากประกบหัวขวดน้ำที่เธอเคยเตะแล้วดื่มน้ำที่เหลือของเธอจนหมด
“ในที่สุดก็รอถึงเธอมาส่งน้ำแล้ว” นั้นเป็นคำแรกที่เขาพูดกับเธอ
ชางหลิงจำมาตลอด พักเที่ยงครั้งนั้น ใต้ดวงอาทิตย์ เขาเงยหน้าดื่มน้ำ กลายเป็นภาพที่เธอตอนวัยรุ่นลืมไม่ลงเลย
“ติ๊ง!” เสียงเตือนของไมโครเวฟได้ดังขึ้น ชางหลิงเหมือนตื่นจากฝันทันที
เธอจัดเก็บกล่องอาหาร แล้วถือลงไปชั้นล่าง
ความลับของสาวน้อย…….เมื่อกี้เธอนึกความทรงจำพวกนี้ออกเพราะพวกผู้ชายที่เล่นบาส นั้นเป็นความลับของเธอตอนเป็นวัยรุ่นไม่ใช่หรอ?
ชางหลิงเดินเข้าไปในสนามบาส หาที่ร่มๆ แล้วนั่งลงกินข้าวไปด้วยดูการแข่งบาสไปด้วย
เธอกินน่องขาไก่ด้วยคำโตๆ ตาเอาแต่จ้องพวกผู้ชายที่วิ่งไล่ตามบาสอย่างไม่กะพริบเลย แต่กลับรู้สึกถึงสายตาที่มองมาอย่างแปลกๆ
ชางหลิงมือหนึ่งจับถ้วยไว้อีกมือหนึ่งจับน่องไก่ไว้ แล้วค่อยๆ หันหัว ก็ได้สบตากับคนแปลกหน้า
ผู้ชายที่ใบหน้าเหมือนกับเทพเจ้านั่งอยู่บนรถเข็น มือทั้งสองประกบกันไว้ กำลังมองเธอที่กินอาหารอย่างอร่อยพร้อมกับยิ้ม
แต่ว่า…..เธอมองไปที่รถเข็นของเขา ขาของเขาไม่ดี กลับมาดูคนอื่นเล่นบาส เป็นเพราะว่าอิจฉาหรอ?แต่ว่า ทำไมเขาต้องมองเธอกินข้าวด้วย แต่ท่าทางการกินข้าวของเธอดูไม่ดีเท่าไหร่ เขินอยู่นะ
ชางหลิงเก็บสายตาที่มองเขา แล้วพยายามกลืนเนื้อไก่ที่อยู่ในปาก เสร็จแล้วก็กัดต่ออย่างระวัง เหมือนจะอยากดึงภาพลักษณ์ของตัวเองกลับ หันหัวไปมอง ผู้ชายคนนั้นก็ยังมองเธออยู่ แล้วก็ยังยิ้มเหมือนเดิม
“คุณ……คุณกินข้าวหรือยัง?” ชางหลิงรู้สึกอึดอัดก็เลยถามไป
“กินแล้ว” ผู้ชายก็ตอบเธอ
น้ำเสียงเป็นอ่อนโยนนั้น เหมือนกับแสงแดดแรกในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้รู้สึกอุ่นๆ
แต่ว่า ในเมื่อเขากินแล้ว ทำไมยังต้องจ้องเธอกินข้าวด้วยล่ะ?
ความรู้สึกแบบนี้ ทำให้เธอนึกถึงตอนเด็กที่ตัวเองจับจานข้าวแล้วเดินเล่นที่สวนเลย ไอ้เหลืองที่บ้านเธอจะคอยส่งสายตาที่อยากกินเมื่อมองมัน
ชางหลิงวางถ้วยลง กำลังจะจัดการไก่บนมือให้เร็วที่สุดแล้วไปจากที่นี้ แต่ตาเหลือบไปเห็นบาสที่หลุดมือแล้วลอยตรงไปที่ข้างๆ
“ระวัง!” คนที่เล่นบาสตะโกนทีหนึ่ง
เห็นว่าลูกบาสลูกนั้นจะโดนตัวผู้ชายคนนั้นแล้ว ชางหลิงไม่สนอะไรทั้นนั้นแล้วรีบพุ่งเข้าไปทันที
มือหนึ่งจับรถเข็นของผู้ชายไว้ มือที่จับน่องไก่ไว้นั้นและตัวของเธอเองได้บังอยู่ตรงหน้าของผู้ชาย
การกระทำของเธอทำไปอย่างราบรื่น ชางหลิงเองก็แทบจะหลงรักตัวเองเข้าแล้ว และแล้ว…..บาสกลับไปตกอยู่บนพื้นที่ห่างจากพวกเขาราว 1 เมตรไม่โดนแม้แต่เส้นผมของเธอเลยสักเส้น
ชางหลิงได้ยินอีกาบินผ่านหัวของเธอไปแล้วทิ้งเครื่องหมายอะโพสโทฟีไว้
ผู้ชายหันข้างมองมือที่มันๆ ของชางหลิงที่จับรถเข็นของตัวเองไว้ ในสถานการณ์เร่งรีบแบบนี้ น่องไก่บนมือของชางหลิงก็ยังไม่เอาทิ้ง
เขากะพริบตาแล้วหัวเราะ
“ขอบคุณที่ช่วยชีวิตสาวน้อย”
เออ……….
ชางหลิงมองลูกบาสที่ยิ่งกิ่งยิ่งไกลอย่างน่าอาย รีบปล่อยมือออกอย่างเร็ว
“ขอโทษนะ ฉันนึกว่าบาสจะทุบโดนคุณ”
“เธอเป็นเด็กบ้านไหนหรอ?”
เด็ก?
ชางหลิงไม่พอใจล่ะ ถึงแม้ว่าเธอจะตัวไม่สูงก็จริง แต่ดูแล้วก็ไม่ได้ปัญญาอ่อนขนาดนั้นหรอกนะ
“อะไรน่ะ” ชางหลิงเดินไปไม่กี่ก้าว ก้มตัวลงเพื่อเก็บกล่องข้าวของตัวเองขึ้นมา “ฉันเป็นดีไซเนอร์ของเซิ่งซื่อในอนาคตเลยนะ ไม่รู้เรื่องจริงๆ เลย”
ผู้ชายยักคิ้ว แล้วถามอย่างสนใจว่า “ในเมื่อเป็นพนักงานเซิ่งซื่อ แล้วทำไมมากินข้าวที่นี่ล่ะ?”
เธอไม่ได้มองผู้ชาย แต่เอาน่องไก่เก็บเข้าไปในกล่องข้าวแล้วพูดว่า “บริษัทนี่ก็ไม่รู้ทำไม ในโรงอาหารไม่มีเนื้ออะไรเลย ฉันไม่ใช่กระต่ายนะ ที่จะกินแต่หญ้า”
ผู้ชายหัวเราะอีกแล้ว
“ฉันไปก่อนนะ” บังเอิญโบกมือให้เขา แล้วมองไปที่รถเข็นของเขาอีกครั้ง “คุณไม่สะดวก ต่อไปอย่ามาที่นี่อีกดีกว่า ไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจจะทำให้คุณบาดเจ็บได้นะ”
พูดเสร็จเธอก็ถือกล่องข้าวแล้วเดินออกไปจากสนามบาส
จริงๆ เลย ตอนที่กินข้าวไม่มีทางจะมีแรงบันดาลใจอะไรหรอก เพราะสมองเอามาตัดสินรสชาติอาหารหมดแล้ว จะไปมีเวลาคิดต่อได้ยังไงล่ะ
ผู้ชายมองชางหลิงเดินจากไป ในตายเต็มไปด้วยความรู้สึกดีที่มีต่อชางหลิง
“คุณชายฉี่” มีผู้ชายคนหนึ่งเดินลงมาจากสนามบาส “ขออภัยด้วยครับ เมื่อกี้เกือบทำให้คุณบาดเจ็บแล้ว”
“ไม่เป็นไร” โหมวฉี่ไม่ยอมละสายตาเลย
“คนเมื่อกี้……..” เซียวฉู่ก็มองตามสายตาของโหมวฉี่ไป
“นายไปช่วยฉันเช็กหน่อย เธอเป็นพนักงานตึกไหน “” โหมวฉี่พูดเสร็จก็เอาผ้าเช็ดออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วเช็ดคราบน้ำมันที่ชางหลิงทำเลอะไว้
“แล้วก็ แจ้งโรงอาหารไป เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เปลี่ยนกับข้าวเป็นเนื้อสัตว์”
“อ๊ะ?” เซียวฉู่ไม่ค่อยเข้าใจเจตนาของโหมวฉี่เท่าไหร่ “แต่ว่านี่เป็นคำสั่งของคุณชายรอง…..”
“คนไม่ใช่กระต่าย จะกินแต่หญ้าทำไม ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป สารอาหารของทุกคนจะไม่เพียงพอแล้ว” โหมวฉี่หัวเราะเบาๆ