บทที่ 34 อันดับที่หนึ่งคือชางฉิง
“มันยอดเยี่ยมเหลือเกิน! คุณชายรอง ฉันต้องพยายามอยู่ต่อให้ได้” เด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างกายของชางหลิงตอบกลับไปอย่างตื่นเต้นมาก
ที่แท้ไม่ได้พูดคุยกับเธอ ชางหลิงถึงได้ตั้งสติกลับมาได้
ทุกคนต่างมองเด็กคนนั้นที่กำลังพูดคุยกับโหมวยู่ ด้วยสายตาที่อิจฉา
วันแรกก็ถูกคุณชายรองถามไถ่เข้าให้แล้ว นี่มันเป็นความรุ่งโรจน์อย่างมากมาย
“เฮ้อ!” ซูเสี่ยวเฉิงชนไหล่ของชางหลิง “เธอชื่อว่าโม่หยู่ซิน เป็นลูกสาวบ้านอาของคุณโม่โม่ที่ชื่อว่า ไม่ต้องคิดเลย ต้องใช้เส้นสายเข้ามาแน่นอน”
ใช้เส้น… ชางหลิงได้แต่ถอนหายใจอย่างรำคาญ หรือว่าซูเสี่ยวเฉิงไม่รู้ว่า ตัวเธอเองก็ใช้เส้นมาเหมือนกัน? แถมยังเป็นเพื่อนรักของเธอที่เธอยอมสละภาพลักษณ์…
โหมวยู่ยิ้มเล็กน้อย พลันเอามือไพล่หลัง ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“ทุกคนยืนขึ้น! กฎที่เพิ่งจะพูดไปเมื่อครู่ต่างลืมกันหมดแล้วใช่ไหม?” ผู้จัดการหวางตะโกนออกมา ทุกคนต่างช็อกไปตามๆ กัน จากนั้นทุกคนก็กลับไปนั่งที่นั่งของตนเองอย่างเชื่อฟัง
ฉู่ฉือขยับเดินมาข้างหน้า จากนั้นก็เป็นเอกสารขึ้นมาหนึ่งฉบับ พร้อมทั้งเริ่มพูดกับทุกคน
“ตอนนี้ เริ่มการตรวจสอบรอบแรก ทางนี้มีแบบสอบถามอยู่ชุดหนึ่ง รบกวนทุกคนต่างตอบกันตามความเป็นจริงด้วย”
ทุกคนต่างได้รับแบบสอบถามและกระดานจด ซูเสี่ยวเฉิงเปิดออก พร้อมทั้งยกนิ้วโป้งให้ชางหลิงด้วยท่าทางที่ทั้งตกใจและประหลาดใจมาก
“หลิงหลิง แกนี่มันช่างเหมือนคาดการณ์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำจริงๆ”
ในแบบทดสอบนั้นเป็นคำถามเล็กๆ ที่ค่อนข้างละเอียดอยู่มาก สัดส่วนของหัวหน้าเล็ก ตัวคุณภาพวัสดุผ้าที่ตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าในฤดูกาลนี้ในห้องตัวอย่างผ้า ยังมีในถอนตอนลึกที่สามแถวที่ที่สามเป็นเสื้อผ้าสีอะไรอีก…
นี่มันโรคจิตชัดๆ!
ทุกคนที่อยู่ในเวลานั้นต่างลุกฮือกันเป็นแถว ตอนที่เดินไปดูงานกันนั้นยังไม่ทันได้ดูภาพที่ลายตาเหล่านั้นเลย ใครจะมีกะจิตกะใจไปสนใจเรื่องนี้กันล่ะ
ชางหลิงกับซูเสี่ยวเฉิงทั้งสองคนรีบเขียนอย่างรวดเร็วบนกระดาษ ผ่านไปไม่นาน ก็มีคนเดินมาเก็บแบบสอบถามของพวกเธอไป
“นี่เป็นการทดสอบรอบแรก จากนี้จะอ่านชื่อ คนที่คะแนนไม่ถึง 50 คะแนน กรุณาลุกออกไปเอง” ฉู่ฉือยังคงเถรตรงเหมือนเช่นเดิม
โหมวยู่นั่งอยู่ในมุมพักด้านข้าง พร้อมทั้งจิบชา ดูท่าทางไม่ทุกข์ร้อนสบายอกสบายใจ
“โม่หยู่ซิน” ฉู่ฉืออ่านเป็นชื่อแรก
ซูเสี่ยวเฉิงสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าปอด
“เกิดอะไรขึ้น โม่หยู่ซินยังถูกไล่ออกเลยเหรอ? นี่มันไม่ได้เป็นไปตามที่กำหนดไว้เหรอ”
ไม่ใช่แค่ซูเสี่ยวเฉิง คนส่วนใหญ่ก็ต่างตกตะลึง โม่หยู่ซินคนนี้ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะคุยกับ โหมวยู่อยู่เหรอ? ได้ข่าวว่าเป็นญาติกันด้วย ถึงอย่างไรคุณชายรองก็ต้องไว้หน้าบ้างแหละ
สีหน้าของโม่หยู่ซินลำบากใจอย่างยิ่งยวด ทว่าไม่รอให้เธอได้เอ่ยปากพูด ฉู่ฉือก็เริ่มอ่านต่อ เธอกัดฟันด้วยความโกรธเอาไว้แน่น จากนั้นก็ลุกขึ้นจากแถว
ไม่นานนัก ชื่อที่โดนฉู่ฉือเรียกออกมาจากปากยิ่งเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ต่างลุกขึ้นกันทีละคน ไม่นานนัก ทีม 120 คน ก็เหลือแค่ครึ่งเดียว
ชางหลิงขมวดหัวคิ้วเข้าหากัน
เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่าแค่วันแรกก็ตัดคนออกได้มากมายถึงเพียงนี้ ถ้าเป็นไปแบบนี้ ตอนช่วงสุดท้ายมีความเป็นไปได้มากจะเหลือคนไม่ถึง 10 คน
“ลำบากทุกคนด้วย ทางเราได้จัดเตรียมอาหารเย็นอันเลิศรสไว้ให้ แม้ว่าน่าเสียดายที่ไม่ได้เป็นเพื่อนร่วมงานกัน แต่ว่าในเวลานี้ ยังคงหวังว่าทุกคนจะสามารถสยายปีกในบริษัทอื่นๆ ได้”
จากนั้นฉู่ฉือก็โค้งคำนับให้กับคนเหล่านี้ที่โดนคัดออกอย่างมีมารยาท
“ลำดับต่อไป ผมจะประกาศคนที่มีคะแนนมากที่สุด ทุกท่านที่ได้อยู่ต่อจะจัดกลุ่มใหม่ตามรายชื่อดังต่อไปนี้ พรุ่งนี้จะใช้รูปแบบกลุ่มเล็กๆ เพื่อที่จะเข้าบริษัทเซิ่งซื่ออย่างเป็นทางการ”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่ฉือ ชางหลิงนั่งหลังตรง เธอคิดเองว่าเธอนั้นได้สำรวจอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว คงไม่มีใครที่จะคะแนนสูงกว่าเธอแล้วแหละ
“อันดับที่หนึ่ง ชาง……” ฉู่ฉือหยิบเอกสารที่อยู่ในมือ ชางหลิงก็ก้าวออกไปครึ่งก้าวแล้ว
“ชางฉิง” สีหน้าของชางหลิงเปลี่ยนไปทันที
เป็นเธอไปได้อย่างไร? เธอมองหาในกลุ่มฝูงชนอยู่รอบหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของชางฉิง
“คุณชางฉิงได้รับการเรียนเชิญคัดเลือกเข้ามาเป็นพิเศษ ดังนั้นไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบพร้อมกับทุกคน แบบทดสอบนี้เธอได้ส่งมาก่อนหน้านี้แล้ว คะแนนเต็ม” ฉู่ฉือชูแบบทดสอบชุดนั้นขึ้น ชางหลิงกวาดตามองแบบลวกๆ ก็เห็นว่าคะแนนสูงมากจริงๆ
“ชางฉิงเป็นใครกัน…”
“ไม่รู้สิ ถูกเชิญมาเป็นพิเศษ ต้องเก่งมากอย่างแน่นอนแหละ”
“ฉันได้ข่าวว่า คุณชายรองโหมวไปเชิญมาด้วยตนเองเลยนะ…”
ทุกคนกำลังถกเถียงกันชางฉิงไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันแต่มีชื่อเสียงไปแทน ทุกคนยังไม่เคยเจอหน้าเจอตาแต่ได้ยินชื่อเสียงมาก่อน
ชางหลิงเหล่ตามองดูถูกโหมวยู่ที่นั่งสบายอกสบายใจอยู่ทางนั้น ที่กำลังนั่งกอดอกอยู่
“น้องสาวของแกเริ่มเปิดตัวแล้วเหรอ?” ซูเสี่ยวเฉิงเองก็ประหลาดใจเช่นกัน “หลิงหลิง แกจะโดดเด่นขึ้นมาใช่ว่าจะง่ายนะเนี่ย”
“อันดับที่สอง ชางหลิง98 คะแนน” ฉู่ฉืออ่านต่อ
ทุกสายตาของทุกคนต่างพุ่งเป้ามาที่ชางหลิง เพราะว่าเรื่องที่มาสายตอนเช้า ทุกคนเลยจดจำเธอไว้ได้อย่างลึกซึ้ง ชางหลิงเขยิบเดินขึ้นไปด้านหน้า พลางโค้งตัวลงทำความเคารพ และหยิบแบบทดสอบมาจากมือของฉู่ฉือ
ในใจของเธอไม่มีอาการตื่นตกใจแม้แต่น้อย แม้กระทั่งยังมีความรู้สึกไม่อยากขึ้นไปบนเวทีเพื่อไปต่อสู้กับสถานการณ์นี้ด้วยซ้ำสักนิด ในสายตาของเธอนั้น มีแค่ที่1กับคะแนนที่นับไม่ถ้วน ทั้งๆ ที่เป็นที่2 ยังแพ้ให้ชางฉิง มันมีเรื่องอะไรที่ต้องสุขใจกัน
“เธอก็แซ่ชาง? พวกเธอทั้งสองคน คงไม่ใช่ว่าใช้เงินซื้อใครแล้วมั้ง”
“ใช่สิ อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้…”
ชางหลิงโมโหจนควันออกหู ทั้งๆ ที่ชางฉิงไม่ได้มาด้วยซ้ำแต่กลับเก่งมากจนได้ที่1 ส่วนเธอนั้นอาศัยความสามารถของตนเองแต่ได้ที่2แล้วยังพูดว่าใช้เงินซื้อมา?
“อันดับสามซูเสี่ยวเฉิง93 คะแนน” น้ำเสียงของฉู่ฉือยังคงสงบเช่นเดิม
ซูเสี่ยวเฉิงไม่อยากจะเชื่อ เธอเอามืออุดปากพร้อมทั้งขึ้นเวทีด้วยอาการตกใจ เพราะปกติเป็นคนที่เรียนหนังสือแบบขี้เกียจมาโดยตลอด แถมยังเป็นครั้งแรกที่คะแนนยอดเยี่ยมจัดอยู่ในแถวแรกอีกต่างหาก
ฉู่ฉืออ่านชื่อตามหลังต่อทั้งหมด ไม่นานนัก คนที่เหลืออยู่ 66 คนก็จัดเป็น 11 กลุ่ม กลุ่มละ 6 คน
“ผมชื่อว่าฉู่ฉือ เป็นผู้ช่วยของท่านประธาน ในที่นี้ ผมขอเป็นตัวแทนท่านประธานโหมวและพนักงานของบริษัท เซิ่งซื่อ กรุ๊ปทุกคนในการต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ครอบครัวใหญ่อย่างบริษัท เซิ่งซื่อ กรุ๊ป ห้องอาหารพนักงานก็ได้จัดเตรียมอาหารเย็นไว้อย่างสมบูรณ์ไว้ให้ทุกท่านแล้ว ขอให้ทุกท่านรับประทานอาหารอย่างมีความสุข”
ส่วนโหมวยู่ที่อยู่ทางนั้นลุกขึ้นยืน ด้วยความเว้นระยะที่ห่างไกลมาก เขามองมาที่ฝั่งของชางหลิงแวบหนึ่ง
ชางหลิงก็มองไปทางเขาพอดี ทั้งสองคนสบตากัน ซึ่งชางหลิงก็รีบเบนสายตาไปอย่างรวดเร็ว
เธออยากจะรู้จริงๆ เลยว่าตกลงแล้วโหมวยู่คิดอะไรกันอยู่แน่ ที่ต้องการให้ชางฉิงมาเป็นศัตรูกับเธอเช่นนั้นเหรอ? ถึงแม้ว่าตอนนี้เขากลับไปมีความสัมพันธ์อันดีกับคุณโม่โม่แล้วก็ตาม และไม่ต้องใช้วิธีการนี้มาเป็นเครื่องมือที่จะทำให้เธอไม่สบายใจมั้ง
เขาเห็นเธอแล้วไม่ถูกชะตา ก็หย่าซะให้สิ้นเรื่องสิ้นราวก็จบแล้วไม่ใช่เหรอ?
“หลิงหลิง….” ซูเสี่ยวเฉิงยังดำดิ่งกับความสุขกับการได้ที่สามยังไม่เลิก
“ไปกัน!” ชางหลิงดึงมือเธอไป เพื่อพาเธอเดินตามแถวกลุ่มใหญ่ไป
“คุณชายรอง” ฉู่ฉือเองก็มองแผ่นหลังของชางหลิง ถึงจะมองอยู่ไกลก็ตามก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีที่ต้องการจะฆ่าที่แพร่มาจากตัวของเธอ “คุณชางเธอ…เหมือนว่าจะโกรธแล้ว”
โหมวยู่ทำท่าปัดฝุ่นตามร่างกายของตนเองที่ไม่มีฝุ่นติดสักนิด พลันมุ่งหน้าเดินไปทางห้องอาหารเช่นกัน
“ไม่เป็นไร” ให้เธอโมโหไปก่อน กลับไปก็ไม่มีแรงวุ่นวายแล้ว งั้นก็จะไม่มีแรงที่จะโกรธแล้วแหละ
ชางหลิงสั่งกับข้าวมาหลายอย่าง และก็นั่งลงบนโต๊ะทานข้าวกับซูเสี่ยวเฉิง
“หลิงหลิง…” เมื่อเห็นว่าชางหลิงไม่ยอมกิน นั่งจิ้มอาหารอยู่ในถ้วยของตนเอง ซูเสี่ยวเฉิงจับความรู้สึกได้ว่าบรรยากาศมันผิดปกติไป “แกเป็นอะไร?”
“ฉันโมโหอยู่” ชางหลิงหยุดมือ “ชางฉิงเธอมีสิทธิ์อะไร? ทั้งๆ ที่ไม่ได้เห็นหน้าด้วยซ้ำแต่ก็ได้ที่1ไปครอง มันไม่ยุติธรรมเลย”
“เขาไม่ได้พูดแล้วเหรอ? เธอถูกเชื้อเชิญมาเป็นกรณีพิเศษ ย่อมต้องมีเหตุผลอื่นอยู่แน่นอน แกอย่าได้โกรธเลย อาศัยความสามารถของแกแล้ว ต้องเป็นดาวรุ่งพุ่งแซงหน้าในภายหลังแน่นอน” ซูเสี่ยวเฉิงปลอบโยนเธอ
เชื้อเชิญเป็นกรณีพิเศษ…จะมีเหตุผลอื่นอะไรได้อีก ไม่ใช่ว่าโหมวยู่กำลังเล่นตลกอยู่หรอกเหรอ?
ตอนที่กำลังคิดอยู่นั้น บรรยากาศในห้องอาหารพลันก็ความผิดปกติเกิดขึ้น สาวๆ ทุกคนต่างสีหน้าเปลี่ยนไป เมื่อชางหลิงเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าโหมวยู่กับฉู่ฉือถือถาดข้าวมุ่งหน้ามาทางพวกเธอ
“ทำไมคุณชายรองโหมวถึงมาทานข้าวที่ห้องอาหารของพนักงานได้ล่ะ” ซูเสี่ยวเฉิงมือถือตะเกียบอย่างพร้อมทั้งรู้สึกตกใจจนแสดงออกมาทางสีหน้าแทน “หลิงหลิง แกว่าวันนี้พวกเราจะได้โชคแบบไหนกันวะ? หรือว่าหลีซินของแกได้ขอร้องให้คุณชายรองโหมวมาคอยดูแลพวกเรางั้นเหรอ?”
ชางหลิงเผชิญหน้ากับใบหน้าที่มีรอยยิ้มร้ายกาจนั้น พร้อมทั้งเอาหัวมุดลงอย่างเร่งรีบ พร้อมทั้งเอาสิ่งของยัดเข้าปากคำโต
อย่าเดินเข้ามานะอย่ามาทางนี้…ถ้าเขาพูดกับเธอ งั้นฉายาที่ว่าเธอที่ซื้อผู้บริหารระดับสูงก็ไม่อาจจะถูกปลดทิ้งไปได้สักที
“โหมวยู่” น้ำเสียงอันสดใสดังมาทางด้านหลังของชางหลิง โหมวยู่หยุดเท้าทันที
คุณโม่โม่ใส่เดรสยาวอย่างเรียบร้อยสีขาวผ่องดังแสงจันทร์ ราวกับคนที่ลงมาจากฝากฟ้า การปรากฏตัวของเธอ เดิมทีเหล่าหญิงสาวที่แสดงความรักกับโหมวยู่พลันหยุดลงทันที
“ทำไมคุณถึงมาทานข้าวที่นี่ได้?” คุณโม่โม่ไม่ได้เดินเข้าหา แต่ยังคงรักษาระยะห่างกับโหมวยู่เอาไว้
“เกิดสนใจขึ้นมา” โหมวยู่สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ พลันนั่งลงโต๊ะด้านหน้าที่อยู่ด้านของชางหลิงอย่างสะดวก
“งั้นฉันขอนั่งเป็นเพื่อนคุณได้ไหม?” คุณโม่โม่กำลังถามเพื่อรอคำตอบให้เขาเห็นด้วย
โหมวยู่แปลกใจอยู่แต่ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้สงสัยใดๆ ออกมา เอาแต่กินข้าวในถ้วยของตนเองไป
คุณโม่โม่ประหลาดใจมาก พลันนั่งลงฝั่งตรงข้ามของเขาทันที คนที่รับผิดชอบในร้านอาหารจะไปเคยเห็นที่ไหนที่คุณชายรองโหมวจะมานั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกันกับคุณโม่โม่ พลันรีบเดินเข้าหาทันที เพื่อตั้งใจจะได้บริการทั้งสองคน
“โชคเข้าข้างจริงๆ” ซูเสี่ยวเฉิงตื่นเต้นจนไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ในชีวิตฉัน ก็เพิ่งเคยเห็นคู่ชายหนุ่มหญิงสาวของเมืองหนานนั่งคู่กันกับตาแหละ….”
ชางหลิงจับจ้องไปทางโหมวยู่ แม้ว่าจะเป็นทางด้านหลังก็ตาม แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงความสง่างามเช่นนั้นบนตัวของคุณโม่โม่ ยามเมื่อก้มหน้าก้มตามองตนเอง ในที่สุดชางหลิงก็เข้าใจทันทีว่าอะไรที่เรียกว่าความอับอายที่ตนเองด้วยค่ากว่าคนอื่น
“หลิงหลิงฉันจะบอกอะไรให้แกฟังนะ แม้ว่าโหมวยู่คนนั้นจะดูดีขนาดไหนก็ตาม แต่ว่าก็ยังห่างไกลจากตำแหน่งยมราชอยู่ไกลมาก” ซูเสี่ยวเฉิงกระซิบพูด หวาดกลัวว่าพวกเขาจะได้ยิน “ฉันได้ข่าวว่าเขาช่างโหดร้ายมาก คนที่ไปยั่วยุเขาต่างได้รับสภาพที่ไม่ดีกันทุกราย อย่างน้อยก็ต้องมีแขนหรือขาที่หายไปแหละ ส่วนคุณโม่โม่คนนั้น อย่ามองจากภายนอกว่าเป็นคนที่ถูกอบรมสั่งสอนมาดีมีมารยาท แต่ใจนั้นโหดร้ายมาก ผู้หญิงที่เข้ามาใกล้โหมวยู่นั้น ถูกเธอจัดการแบบเงียบๆ ตลอด ฉะนั้นพวกเราเลยให้สมญานามกับพวกเขาเอาไว้ว่าคู่ชายหนุ่มหญิงสาวบ้าดีเดือด ทั้งสองคน น่ากลัวมาก”
“ฉันกินอิ่มแล้ว” ชางหลิงวางตะเกียบลง
ตั้งแต่ที่คุณโม่โม่ปรากฏตัวขึ้นนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เธอไม่รู้สึกอยากอาหารขึ้นมาเลยสักนิด
“ห๊ะ?” ซูเสี่ยวเฉิงไม่เข้าใจ “แกเพิ่งกินเข้าไปได้ไม่กี่คำเอง…”
ชางหลิงลุกขึ้นยืน และเดินกลับไปโดยที่ไม่หันกลับมามองด้วยซ้ำ