ชางหลงกลับไปที่คลับ แม้โหมวยู่บอกว่าหลีซินเก็บของให้เธอแล้ว แต่เธออยู่ในคฤหาสน์ก็เบื่อ ก็เลยนั่งรถกลับมา
แต่ว่า รถพึ่งมาถึงหน้าประตูคลับ หลีซินก็รออยู่ตรงนั้นแล้ว
“พี่สะใภ้” หลีซินเดินมาคิ้วขมวด “กลับมาสักทีนะ”
“ทำไมเหรอ?” ชางหลิงรู้สึกสีหน้าหลีซินดูผิดปกติ
“คนที่บ้านพี่มา ตอนนี้นั่งอยู่ในห้องรับแขก ทั้งบ้านเลย แต่ละคนเหมือนจะจับคนกินได้ ผมไม่กล้าเข้าไปเลย” หลีซินพูดเสียงเบา
ชางหลิงไม่ต้องคิดก็รู้ว่าพวกเขามาทำไม ชางฉิงเมื่อวานโดนไล่ออกจากเซิ่งซื่อ ต้องกลับไปร้องไห้แน่ ชางหลิงเพื่อไม่ให้ตัวเองซวยไปด้วย เลยตั้งใจบล็อกช่องทางการติดต่อทั้งหมดของตระกูลชาง ไม่คิดว่า พวกเขาจะมาหาตัวเองถึงที่นี่
เห็นชางหลิงมีท่าทีลำบากใจ หลีซินก็แนะนำว่า “หรือว่า ให้ผมเอาคนไปเชิญพวกเขาออกไป”
“ช่างเถอะ” ชางหลิงปวดหัว “นายไม่เข้าใจคนพวกนั้นของตระกูลชางหรอก ไม่ได้ระบายอารมณ์ที่ฉันก่อน พวกเขาไม่ยอมง่ายๆแน่ วันนี้นายไล่พวกเขาไป พรุ่งนี้พวกเขาก็กล้าไปอาละวาดที่เซิ่งซื่อ”
“งั้นทำยังไงดี?” หลีซินสับสน
“ยืมเพื่อนชุดดำพวกนั้นของนายหน่อยสิ” ชางหลิงเลิกคิ้ว
ภายในห้องรับแขก
ชางฉิงกับจ้าวหลันจือสองแม่ลูกร้องไห้จนดวงตาแดงก่ำ ท่าทางเหมือนน้อยอกน้อยใจมาก โจวรุ่ยฟางกับชางเจิ้งตงสองสามีภรรยาถอนหายใจไม่หยุด แค่ถอนหายใจที่ตระกูลโชคร้าย และชางหวยซูเดินไปมาอย่างโมโห พนักงานเข้ามาเติมน้ำชาให้หลายรอบมาก แต่คนต้นเหตุยังไม่มาอีก
ชางหวยซูจ้องยามที่ยืนหน้าประตู โมโหจัด “ผู้จัดการหลีไปไหนแล้ว? ไปเรียกตัวเขาออกมา! ส่งตัวชางหลิงออกมา นี่เป็นเรื่องในครอบครัวพวกเรา เขาอยากปล่อยพวกเราไว้ตรงนี้จนถึงเมื่อไหร่?”
“โหวกเหวกเสียงดังอะไรกัน?” ยังไม่เห็นคนแต่เสียงดังมาแต่ไกล ชางหลิงพูดแล้ว ไม่นาน ก็มีคนช่วยเธอเปิดประตู
พอประตูเปิดออก คนชุดดำยี่สิบกว่าคนเรียงแถวเข้ามาอย่างมีระเบียบ พอเห็นแบบนี้ ก็ทำเอาคนด้านในตกใจกันใหญ่
คนตระกูลชางต่างลุกขึ้นกันหมด และชางหลิงก็เดินเข้าไปอย่างเชื่องช้า ภายใต้สายตาของพวกเขา
“นี่เธอหมายความว่ายังไง?” ชางหวยซูมองดูคนชุดดำกลุ่มนี้และถามชางหลิง
“ไม่ได้หมายความยังไง” ชางหลิงยิ้ม เลือกที่นั่งที่สบายและนั่งลงไป “ก็แค่มีประสบการณ์ก่อนหน้านี้ เพื่อรับรองความปลอดภัยของฉันก็ต้องป้องกันพวกคุณที่มีนิสัยชอบหาเรื่องและพาลใส่ฉัน ป้องกันไว้ก่อนเท่านั้นเอง”
ชางหลิงพูดแล้ว ก็ทำท่าทำทางเล็กน้อย
“เหอะ เธอได้ดิบได้ดีข้างนอก ก็เลยรังนายคนในบ้านหรือไง” ชางเจิ้งตงโกรธจนหนวดสั่น
“นี่ อย่าพูดเหมือนเป็นคนครอบครัวเดียวกันสิ เป็นคนครอบครัวเดียวกันไหมพวกเรารู้ดีอยู่แก่ใจ เรื่องเก่าก็อย่าเอามาพูดเลยไม่มีประโยชน์หรอก” ชางหลิงยื่นมือไป พนักงานข้างๆก็ยื่นน้ำชามาให้ เธอชิมชาหนึ่งคำ และทำปากจ๊อบแจ๊บ
“มีอะไรก็พูด ทุกคนไม่มีเวลาว่างขนาดนั้น ฉันไม่มีเวลามาดูพวกคุณเล่นละครครอบครัวหรอกนะ”
คนตระกูลชางมองหน้ากัน สุดท้าย จ้าวหลันจือก็ก้าวมาข้างหน้าก่อน
“หลิงหลิง ที่จริงที่พวกเรามา ไม่เพื่ออะไรหรอก ก็คือเมื่อวาน……เรื่องของฉิงฉิง เธอว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือเปล่า?” ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ถูกทำร้าย จ้าวหลันจือก็เลิกวางมาดต่อหน้าชางหลิงลงบ้างแล้ว
ใครก็รู้ว่าเรื่องนี้ต้องเป็นชางหลิงสั่งคนมาทำแน่ แต่คนที่ลงมือก็ทำได้อย่างไร้ร่องรอย ไม่มีหลักฐานเหลือไว้เลย จ้าวหลันจือจะฟ้องก็ไม่มีหลักฐาน เลยต้องจำใจยอมรับ
“เข้าใจผิด? เข้าใจผิดอะไร?” ชางหลิงทำเป็นตกใจ “หรือว่า ฉันเข้าใจผิดที่น้องขโมยงานของฉัน?”
“ชางหลิง! เธออย่าอวดดีให้มากนะ!” ชางฉิงทำท่าจะพุ่งเข้ามาทะเลาะกับเธอ แต่จ้าวหลันจือดึงเธอไว้ได้ทัน
“หลิงหลิง น้องเธอยังเล็ก ไม่รู้เรื่อง เรื่องนี้น้องทำไม่ดีเลยก็จริง เป็นความผิดของพวกเราจริง ที่พวกเรามาวันนี้ คือตั้งใจมาขอโทษน่ะ ยังไงก็เป็นคนบ้านเดียวกัน เธออย่าทำให้เด็ดขาดเลยนะ น้องพึ่งยี่สิบเอ็ด ต่อไปยังมีอนาคตที่ดี จะพังทลายแบบนี้ไม่ได้นะ” จ้าวหลันจือพูดจานอบน้อม
น้ำชาในปากชางหลิงเกือบพุ่งออกมา
ชางฉิงยังเล็กงั้นเหรอ?
“หื้ม?” ชางหลิงข่มอารมณ์ไว้ “งั้นคุณพูดมาสิ คุณอยากให้ทำอะไร?”
“คือ……” จ้าวหลันจือพูดตะกุกตะกัก และมองชางหวยซู
ชางหวยซูก้าวเข้ามา “เธอไปเปิดแถลงข่าว บอกว่าเรื่องเมื่อวานเป็นเรื่องเข้าใจผิด ผลงานนั้นเป็นของฉิงฉิง เธอเป็นพี่สาว เรื่องนี้ก็มีพรสวรรค์มากกว่าน้องสาวอยู่แล้ว ยอมผลงานให้น้องสาวครั้งหนึ่งจะเป็นไรไป? ระหว่างพี่น้อง ไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยหรอกนะ”
“เปิดแถลงข่าว?” ชางหลิงรู้สึกเหมือนหูตัวเองฝาดไป “คุณอยากให้ฉันบอกต่อหน้าทุกคน ยอมรับว่าฉันเป็นคนคัดลอกงั้นเหรอ?”
เธอรู้ว่าพ่อของเธอตั้งแต่เด็กก็ลำเอียงเข้าข้างชางฉิงอยู่แล้ว แต่เธอไม่คิดว่า เขาจะสับสนถึงขั้นนี้ได้
“คุณชาง ความบริสุทธิ์ของชางฉิงสำคัญ ความบริสุทธิ์ของฉันมันไม่สำคัญเลยใช่ไหม?”
“เธอไม่เหมือนกับฉิงฉิง!” โจวรุ่ยฟางพูดขึ้น “ตอนนี้เธอได้อยู่กับผู้ชายรวยๆ ถึงแม้ไม่ทำงานเขาก็เลี้ยงดูเธอได้ตลอดชีวิต สามารถใช้ชีวิตที่นี่ได้สบายตลอดชีวิต แต่ฉิงฉิง เธอเป็นความหวังของตระกูลชาง เธอทำให้ฉิงฉิงแต่งงานเข้าตระกูลหยูไม่ได้ ยังอยากจะทำลายหน้าที่การงานของฉิงฉิงเหรอ?”
ชางหลิงถูกคำพูดของโจวรุ่ยฟางกระตุ้นจนหัวชาไปหมด “ย่าคะ ย่าแก่จนสับสนไปแล้วหรือเปล่า ทั้งที่ชางฉิงทำให้หนูแต่งงานเข้าตระกูลหยูไม่ได้ก่อน เธอทำลายหน้าที่การงานของหนูก่อน ที่หนูทำทั้งหมดนี้ ก็แค่ปกป้องตัวเองเท่านั้น ไม่เจอกันช่วงหนึ่ง ความสามารถในการทำผิดให้เป็นถูกของพวกคุณ พัฒนาขึ้นอีกขั้นเลยนะคะ”
“ดูเธอสิ พูดแบบนี้ออกมาได้ยังไง?” โจวรุ่ยฟางชี้หน้าชางหลิง ท่าทีเหมือนโมโหที่เลี้ยงเด็กไม่ถ่านออกมา
ชางหลิงวางแก้วชาลง กอดอก รอยยิ้มบนใบหน้าเริ่มจางหาย
“หลิงหลิง เธออย่าโกรธเลยนะ” จ้าวหลันจือรีบปลอบใจ “ทุกอย่างเป็นความผิดของฉันเอง ฉันสอนฉิงฉิงไม่ดีเอง เธอลงความโกรธที่ฉันเถอะนะ”
“แม่!” ชางฉิงน้ำตาไหล “อย่าไปขอร้องเลย ยังไงหนูก็ถูกเธอทำลายมาเยอะแล้ว คนแบบนี้ ไม่มีหัวใจหรอก”
ชางหลิงหัวเราะ หันหน้าไปมอง
เป็นภาพที่แม่ดีลูกกตัญญู ทำเหมือนเธอกลายเป็นคนร้ายคนนั้น ในเมื่อเป็นแบบนี้……
งั้นก็ร้ายให้ถึงที่สุดแล้วกัน
“คุกเข่า” เธอพูดออกมาเรียบง่ายสองคำ
“ว่าไงนะ?” ชางหวยซูกับชางฉิงตะลึง
“น้าจ้าว น้าบอกว่า มีอะไรก็มาลงที่ฉันไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ฉันบอกให้น้าคุกเข่าลง” ชางหลิงพูดอีกครั้ง
“มีอย่างที่ไหนกัน!” ชางหวยซูโกรธจนใบหน้าแดงจัด “ลูกอกตัญญู น้าเขาเป็นอาวุโส เธอจะให้น้าคุกเข่าได้ยังไง ไม่กลัวโดนฟ้าผ่าหรือไงกัน?”
“คุณว่าฉันกลัวถูกฟ้าผ่าไหมล่ะ?” ชางหลิงจ้องเขา “ในสายตาพวกคุณ ฉันก็เป็นเด็กไม่เชื่อฟัง เป็นลูกอกตัญญู ในเมื่อทำเรื่องร้ายมามากแล้ว เพิ่มมาอีกเรื่องจะเป็นไรไป?”
เธอมองไปที่จ้าวหลันจือสองแม่ลูก เลิกคิ้วข้างขวาขึ้น
จ้าวหลันจือจับมือชางฉิงไว้แน่น แววตาเกลียดแค้นของทั้งสองคงฆ่าชางหลิงเป็นพันๆครั้งได้แล้ว