โหมวยู่บอกกับเธอคร่าวๆก็รีบออกไปทันที
ชางหลิงยืนหน้าประตูมองรถเขาหายไปจากสายตา หันหน้ากลับไป ในตอนที่ปิดประตูนั้น น้ำตาก็เอ่อล้นขึ้นมาเต็มขอบตา
ยี่สิบสองปีที่ผ่านมา เธอไม่ค่อยร้องไห้เลย แต่เพราะแม่ไม่อยู่แล้ว แม้จะร้องไห้ก็ไม่มีใครสงสารหรอก แต่หลังจากที่เจอโหมวยู่ เธอสามารถร้องไห้ต่อหน้าเขาได้อย่างไม่เกรงกลัว เพราะเธอรู้สึกว่า เขาคุ้มค่าพอให้เธอเชื่อใจและพึ่งพิง
แต่ว่า……ทุกอย่างนี้ ก็แค่ความเพ้อฝันของเธอก็เท่านั้น
——
โรงพยาบาลใจกลางเมือง
ในตอนที่โหมวยู่มาถึงโรงพยาบาล โหมวเจิ้งถิงก็ถูกย้ายไปห้องผู้ป่วยวีไอพีแล้ว
“นายท่านเป็นยังไงบ้าง?” เห็นฉู่ฉือยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู โหมวยู่ก็รีบเข้าไปถาม
“ตอนนี้ยังไม่เป็นอันตราย หมอบอกว่า แค่เหนื่อยเกินไป บวกกับออกกำลังกายหนักเกินไปทำให้เกิดอาการช็อก” ฉู่ฉือตอบ
โหมวเจิ้งถิงอายุหกสิบสองแล้ว ร่างกายไม่เหมือนตอนหนุ่ม แต่กลับไม่ยอมรับความแก่ ทุกวันออกกำลังกายอย่างหนัก ช่วงนี้ยังออกงานบ่อยไม่ได้พักผ่อน วิ่งตอนเช้าก็ยังอดทนฝืนวิ่งอีกสองรอบ จนทำให้เป็นลมสลบลงไป
โหมวยู่ผลักประตูเข้าไป ภายในห้อง ชายวัยกลางคนที่คิ้วขมวดท่าทีดูทรงพลังกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ในห้อง เห็นโหมวยู่เข้ามา ก็แค่เหลือบตามอง และทำเสียงฮึอย่างเย็นชา
“มาทันเวลาเลยนะ ฉันคิดว่ารอฉันตายแล้วนายค่อยโผล่หัวออกมาเสียอีก” โหมวเจิ้งถิงพูดอย่างไม่พอใจ
โหมวยู่เพราะชางหลิงก็ข่มอารมณ์โกรธไว้แล้ว แต่พอได้ยินโหมวเจิ้งถิงพูดแบบนี้ ยิ่งเหมือนเติมน้ำมันลงบนไฟที่กำลังลุกโชน
แต่ว่า เขาพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง ลากเก้าอี้มานั่ง
“ถ้ายังฝืนตัวเองแบบนี้อีก คงได้ใกล้ความตายมากขึ้นแน่” โหมวยู่พูดแล้ว ก็เอาไฟแช็กออกมาจากกระเป๋าขึ้นมาเล่น
“ที่ฉันฝืนตัวเองแบบนี้ ก็เพราะนายมันเป็นลูกอกตัญญู ถ้านายช่วยงานฉันสักนิด ฉันคงได้นั่งเฉยๆไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ” โหมวเจิ้งถิงวางหนังสือพิมพ์ในมือลง
โหมวยู่หัวเราะเย็นชา “อย่าพูดซะตัวเองดูยิ่งใหญ่เลย เพื่อผมหรือเพื่ออำนาจในมือตัวเอง พ่อก็รู้ตัวเองดี”
“นาย!” โหมวเจิ้งถิงถูกเขาตอบกลับแบบนี้ เลือดพุ่งปรี๊ดขึ้นสมอง หยิบแก้วบนหัวเตียงโยนไปที่โหมวยู่
โหมวยู่ไหวพริบทัน เอามือขึ้นมาบัง แก้วนั้นทุบไปที่ข้อมือเขา ตกกระจายลงพื้น
เสียงแตกนั้นทำให้โหมวเจิ้งถิงอึ้ง นาฬิกาของโหมวยู่เสียไปทันที เขาสีหน้าไร้อารมณ์ ปลดเข็มขัดออก
“พ่อเก็บแรงไว้หน่อยเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่ยี่สิบปีก่อนแล้ว ด้วยกำลัง พ่อไม่มีทางชนะผมหรอกนะ”
“เจ้าลูกทรพี!” โหมวเจิ้งถิงชี้หน้าเขา โกรธจนเส้นเลือดบนขมับนูนขึ้นมา “ถ้ารู้ว่านายจะไร้ค่าแบบนี้ ตอนนั้นฉันไม่ควรให้แม่นายคลอดนายออกมาเลย!”
“พ่อไม่ควรพูดถึงแม่!” เสียงโหมวยู่สูงขึ้น เขามองค้อนอย่างแรง สองพ่อลูกสบตากันอยู่แบบนั้น
สายตาเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เหมือนราชสีห์ที่โมโห พร้อมจู่โจมโหมวเจิ้งถิงได้ทุกครั้ง
โหมวเจิ้งถิงก็ตะลึงกับสายตาแบบนี้ และพูดไม่ออกในตอนนั้น
“ตลอดชีวิตของพ่อ ที่ควรรู้สึกผิดที่สุดคือแม่ผมและตระกูลเซิ่ง พ่อไม่สมควรพูดคำนี้” โหมวยู่เตือนเขา
โหมวเจิ้งถิงมองขวางเขา “นายจะคาใจกับเรื่องนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่? ฉันเลี้ยงดูนายมาจนโตขนาดนี้ ไม่มีฉัน นายคิดว่านายจะมีตำแหน่งในเมืองหนานเหรอ? ตอนนี้นายปีกกล้าขาแข็งแล้ว กล้ามาสั่งสอนพ่อของนายแล้วเหรอ?”
โหมวยู่สูดหายใจเข้าลึกๆ อดทนไม่เข้าไปจัดการโหมวเจิ้งถิงในทันที
“ถึงเมื่อไหร่? ผมจะบอกให้นะ ตลอดชีวิต! ผมจะไม่มีทางยกโทษให้พ่อตลอดชีวิต แม่ผมตายยังไง น้าผมตายยังไง ผมยังจำได้ชัดเจน! ถึงแม้พ่อตายแล้ว ก็ไม่มีทางชดใช้กรรมนี้ได้”
โหมวเจิ้งถิงมองดูลูกชายตัวเอง ความเกลียดที่เขามีต่อตัวเองเป็นเหมือนไฟลูกใหญ่ แม้เขาคิดหาวิธีดับยังไงก็ไม่มีทางดับได้
“การตายของแม่นายเป็นอุบัติเหตุ ฉันรู้ว่ามีผลกระทบต่อนายมาก แต่หลายปีมานี้ฉันก็คิดหาวิธีชดใช้ให้นาย นายอยากได้อะไรอีก? ทั้งที่นายก็รู้ แม้ฉันตายแล้ว แม่นายก็ไม่มีทางฟื้นชีวิตขึ้นมาได้!”
“ชดใช้ผม?” โหมวยู่แสยะยิ้มเย็นชา “คนที่พ่อควรชดใช้ใช่ผมเหรอ? อีกอย่าง การตายของแม่ผมไม่ใช่อุบัติเหตุ มันคือการฆาตกรรม พ่อก็คือฆาตกรคนนั้น พ่อฆ่าเด็กที่ยังไม่เกิดมาของแม่ พ่อควรใช้ชีวิตและแบกรับความเจ็บปวดของการฆ่าคน!”
“นาย!” โหมวเจิ้งถิงโกรธ “นายออกไปเลยนะ ฉันว่านายไม่ได้มาเยี่ยมคนป่วยหรอก นายมาเอาชีวิตฉันมากกว่า”
“ใช่” โหมวยู่ลุกขึ้น “ผมไม่ให้พ่อตายเร็วหรอกนะ พ่อควรจะอยู่อีกหลายปี คอยดูผมทำลายของที่พ่อสนใจทีละนิดๆ”
เขากำลังจะเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อน” โหมวเจิ้งถิงเรียกเขาเอาไว้
“ฉันไม่สนว่านายจะเกลียดฉันแค่ไหน งานแต่งกับตระกูลโม่คุยกันไว้แล้ว ฝ่ายนั้นเตรียมเรื่องงานแต่งแล้วด้วย ฉันอยู่โรงพยาบาล นายก็ไปรับหน้าที่ต่อแล้วกัน”
โหมวยู่หัวเราะ หันหน้ากลับไป มีความยอกย้อน
“ผมตกลงตอนไหนว่าจะแต่งงานกับตระกูลโม่? เรื่องนั้นพ่อเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง ยังจะให้ผมไปรับหน้าที่ต่อ? จะให้ผมไล่พวกตระกูลโม่ออกจากเมืองหนานให้หมดเลยไหม?”
“การแต่งงานเรื่องใหญ่ คำสั่งของพ่อแม่ คำพูดของแม่สื่อ นายตกลงก็ต้องตกลง ไม่ตกลงก็ต้องตกลง!” โหมวเจิ้งถิงพูด
“โหมวเจิ้งถิง ตื่นเถอะนะ? ตอนนี้ผ่านยุคที่พ่อเป็นฮ่องเต้อะไรนั่นมานานแล้ว พ่อคิดว่าความเผด็จการของพ่อยังจะทำให้พ่อยิ่งใหญ่ในเมืองหนานได้อีกเหรอ?” โหมวยู่ดูถูก เปิดประตูออก
“นายอย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่านายทำอะไรข้างนอกนะ? ผู้หญิงของตระกูลชางนั่น นายอย่าคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ?”
โหมวยู่หยุดชะงัก จับลูกบิดประตูอย่างแรง
“ฉันรู้ว่าตอนนี้นายไม่กลัวฉัน ฉันทำอะไรนายไม่ได้ แต่ฆ่าผู้หญิงคนเดียว คนนายอย่างฉันก็พอจะทำได้” โหมวเจิ่งถิงหัวเราะ
โหมวยู่หันหน้ากลับไป ดวงตาเย็นชาขั้นสุด
“ตอนนั้นฉันบงการพี่ใหญ่นายได้ ตอนนี้ก็บงการนายได้เหมือนกัน!” โหมวเจิ้งถิงพูดต่อ รอยยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ “ลูกชายของฉันโหมวเจิ้งถิง ต้องฟังคำสั่งของฉัน ขอแค่เชื่อฟัง ถึงแม้ต้องนั่งรถเข็นตลอดชีวิตแล้วยังไง?”
โหมวยู่ปล่อยมือออก เขาเดินก้าวยาวไปข้างเตียง กระชากคอเสื้อโหมวเจิ้งถิงขึ้นมา
“งั้นก็ลองดูสิ?” เขามองโหมวเจิ้งถิงอย่างดุร้าย “ผมไม่ใช่โหมวฉี่ และจะไม่ให้เรื่องร้ายเมื่อสิบปีก่อนของน้าเกิดขึ้นอีกครั้ง ถ้าพ่อกล้าแตะต้องเธอแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้ผมต้องตาย ก็จะทำให้พ่อตายก่อน!”
รอบตัวเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย หลายปีมานี้ เขาลงมือกับโหมวเจิ้งถิงครั้งแรก มือที่กระชากคอเสื้อไว้สั่นเทา พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้บีบคอเขาตาย
“โจวฝู โจวฝู!” โหมวเจิ้งถิงตะโกนเรียกพ่อบ้าน โหมวยู่ท่าทางแบบนี้เขากลัวมากจริงๆ กลัวว่าเขาจะทำร้ายตัวเองขึ้นมาจริงๆ
“คุณชายรอง!” โจวฝูนำบอดี้การ์ดพุ่งเข้ามา
ฉู่ฉือเห็นแล้ว ก็รีบดึงตัวโหมวยู่ออก “คุณชายรอง อย่าใจร้อน!”
โหมวยู่ปล่อยมือออก แต่ความโกรธกลับยังไม่หายไป เขาต้องโหมวเจิ้งถิง พูดทีละคำเน้นๆ
“ผมพูดแล้วทำได้”