หื้ม? เป็นหนุ่มหล่อที่เห็นในสนามบาสครั้งก่อนไหม?
ชางหลิงขยับตัว นั่งขอบหน้าต่างนานเกินไปจนทำให้เจ็บก้น
“ดูบรรยากาศอะไรกัน ไม่เคยเห็นหรือไง ฉันติดอยู่ตรงนี้” ชางหลิงทำท่าดันหน้าต่าง
โหมวฉี่หัวเราะเบาๆ และรู้สึกหญิงสาวตรงหน้าน่าสนใจมาก “เธอทำให้ตัวเองติดอยู่ตรงหน้าต่างได้ ไม่ง่ายเลยนะ”
“คุณหยุดหัวเราะเลยนะ พี่ชาย เร็วหน่อยสิ ไปตะโกนให้คนมาช่วยฉันหน่อย ถ้าติดอยู่ตรงนี้อีก ฉันคงถูกลมตรงนี้พัดจนตัวแห้งแล้ว” พอนึกถึงตัวเองอาจจะติดแหง็กอยู่ตรงหน้าต่างจนกลายเป็นศพไร้ญาติ ชางหลิงก็อดไม่ได้เสียใจ “ฉันยังสาว ยังใช้ชีวิตไม่คุ้มเลย”
โหมวฉี่ยกมือขึ้น ลูบจมูกเบาๆ จากนั้นก็อดไม่ได้หัวเราะออกมา เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“เซียวฉู่” น้ำเสียงเขาอ่อนโยนมาก “พาคนมาที่ห้องแสดงนิทรรศการหน่อย”
“มาแค่คนสองคนพอแล้ว ไม่ต้องมาก” ชางหลิงถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ “น่าอายจริงๆ! เมื่อกี้ฉันยังทรงเกียรติอยู่เลย ถ้าปรากฏตัวขึ้นด้วยสภาพนี้ต่อหน้าทุกคน คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่”
น้ำตาที่หมดหนทางไหลออกมาจากหางตาเธอ เธอมองท้องฟ้าสีครามเงียบๆ รู้สึกชีวิตตัวเองช่างทุกข์ระทมเหลือเกิน ถ้าถูกโหมวยู่รู้เข้าละก็ คงได้หัวเราะเธอแน่
ไม่นาน เซียวฉู่ก็พายามสองคนเข้ามา ผู้ชายสี่คนยืนเรียงแถวกันอยู่ด้านล่างเงยหน้าขึ้นมามองเธอ ไม่มีใครรู้ว่าทำไมถึงมีคนห้อยอยู่ขอบหน้าต่างได้
“ขึ้นไปดูสิ” โหมวฉี่พูดกับเซียวฉู่ข้าง เซียวฉู่ดันรถเข็นของเขา เข้าไปในลิฟต์พร้อมยาม
มองดูประตูที่ถูกล็อกเอาไว้ โหมวฉี่ก็เลิกคิ้วเบาๆ
“ช่วงนี้เป็นการแข่งขันรอบสอง ตามหลักแล้ว จะมีดีไซเนอร์มากมายมาสำรวจ ไม่น่าล็อกนะ” เซียวฉู่ก็สงสัย “เดี๋ยวผมไปถามคนรับผิดชอบตรงนี้ให้ ไปดูกล้องวงจรสักหน่อย”
“อืม” โหมวฉี่พยักหน้า ยามก็เอาอุปกรณ์มาตัดแม่กุญแจ พวกเขาดันประตูเข้าไป
หัวชางหลิงอิงอยู่ที่บานหน้าต่าง มองดูพวกเขาเดินเข้ามาหาเธอ ก็รู้สึกผู้ชายที่นั่งบนรถเข็นนั้นเหมือนเป็นเทพบุตรที่พระเจ้าส่งมาช่วยเธอเลย ร่างกายเขามีแสงแห่งเทพบุตรสาดส่องออกมา
“นายไปเอง อย่าทำให้เธอบาดเจ็บ” โหมวฉี่พูดกับเซียวฉู่
เซียวฉู่ตอบตกลง พวกยามก็ถอดบานหน้าต่างออก ความรู้สึกที่ถูกบีบก็หายไปทันที ชางหลิงสูดหายใจอย่างสบายใจ เซียวฉู่ยื่นมือไป อุ้มเธอลงมาจากหน้าต่าง
“ขอบใจนะ” ชางหลิงตัวชาไปหมด โดยเฉพาะก้น นั่งอยู่ตรงที่แคบ บีบจนเจ็บไปหมด เธอนั่งลงตรงกล่องข้างๆ รับรู้ถึงความรู้สึกที่เท้าโดนพื้น
“เธอนี่น่าสนใจจริงๆ” โหมวฉี่สบตาเธอ ใบหน้ายังมีร่องรอยการร้องไห้ ปลายจมูกก็แดงๆ ท่าทีเหมือนถ้ารอดจะมีโชคในอนาคต “ครั้งหน้าอย่าทำเรื่องอันตรายแบบนี้อีก หลังประตูมีกริ๊งฉุกเฉิน เธอแค่กดลงไป ยามก็เข้ามาช่วยเธอได้แล้ว”
“จะไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว” ชางหลิงมองดูแม่กุญแจที่ถูกโยนไว้หน้าประตู สีหน้าดุร้ายและพูดว่า “อย่าให้ฉันรู้นะว่าใครมาล็อกฉันเอาไว้ ไม่งั้น ฉันจะเอาคนคนนั้นมานั่งตรงหน้าต่างนี้บ้าง”
โหมวฉี่หัวเราะ สายตามีความเอ็นดูเล็กน้อย
ชางหลิงหายเจ็บแล้วก็ลุกขึ้น เธอเก็บสมุดของตัวเองขึ้นมา รีบเขียนลงไปอย่างเร็ว “นี่เป็นชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของฉัน ขอบใจที่ช่วยนะ ครั้งหน้าคุณมีเรื่องอะไรที่ต้องการฉันช่วย ก็พูดมาได้เลย”
โหมวฉี่มองดูเธอฉีกกระดาษลงมา นิ้วมือเรียวงามนั้นถือกระดาษไว้ สายตาก็อ่อนโยนขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ
“ได้” เขารีบกระดาษนั้นมา
“ฉันไปทำงานก่อนนะ” ชางหลิงโบกมือให้เขา เดินออกไปพร้อมกับเท้าที่ยังชาอยู่
โหมวฉี่มองดูชางหลิงหายไปจากสายตาของเธอ นานมาก เขาก้มหน้าลง มองดูกระดาษใบนั้นในมือ
ตัวหนังสือที่กระฉับกระเฉง ก็เหมือนตัวเธอที่ เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
“เซียวฉู่” โหมวฉี่เงียบอยู่นาน ในที่สุด เขาก็พับเก็บกระดาษใบนั้นไว้อย่างดี “นายว่า บนโลกนี้ทำไมถึงมีคนสองคนคล้ายกันได้ขนาดนี้? ทั้งที่หน้าตาไม่เหมือนกัน แต่อารมณ์และนิสัยของพวกเธอ กลับคล้ายกันไม่มีผิด ก็เหมือนเป็นคนเดียวกันเลย”
“คุณชายฉี่” แววตาของเซียวฉู่มีความโศกเศร้า เขารู้ว่า โหมวฉี่คงนึกถึงความทรงจำที่ไม่ดีอีกแล้วแน่
“ครั้งก่อนผมไปตรวจสอบมาแล้ว คุณชางหลิง เป็นพี่น้องต่างพ่อกับคุณชางฉิง วันก่อนเรื่องที่งานนิทรรศการเสื้อผ้าก็ดังไปทั่ว คิดว่า คุณชายรองคงจะอยู่ในเรื่องนั้นด้วย ผมคิดว่า คุณอย่า……”
“ฉันรู้ดีว่าต้องทำยังไง” โหมวฉี่ปกปิดอารมณ์ตัวเองไว้ “ไปกันเถอะ”
ห้องเสื้อที่ถูกฟื้นฟูตามเดิมก็เงียบลงอีกครั้ง เหมือนว่าเรื่องเมื่อกี้ไม่เคยเกิดขึ้น
ห้องทำงานประธาน
เข็มฉีดยาที่แหลมคมแทงเข้าไปในเส้นเลือด ของเหลวออกมาพร้อมกับการฉีดเข้าไปของหมอ โหมวยู่สีหน้าไร้อารมณ์ เหมือนว่าไม่เจ็บเลยสักนิด
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะช่วงนี้ดื่มเหล้าบ่อยหรือเปล่า อาการปวดหัวที่ไม่เคยเป็นมานานแล้วก็กลับมาเป็นอีกครั้ง
“คุณชายรอง” หมอเก็บข้าวของ นำยาขวดเล็กวางไว้บนโต๊ะ “คุณหาเวลาไปโรงพยาบาลเถอะ บาดเจ็บที่หัวไม่ใช่เรื่องเล็กเลยนะ จะชะล่าใจแบบนี้ไม่ได้”
“อืม” โหมวยู่ตอบกลับไป เอาสำลีที่กดเส้นเลือดไว้ทิ้งลงถังขยะ ปล่อยแขนเสื้อลงมา
ภารกิจสี่ปีก่อนนั้น เขาบาดเจ็บที่หัว รุนแรงจนกระทบถึงการฝึกในหน่วยของเขา และด้วยเหตุนี้ เขาถึงได้เกษียณในตอนที่ชีวิตอยู่บนจุดสูงสุด ทิ้งทหารมาเป็นนักธุรกิจ
หมอถือกล่องยาออกไป โม่โม่ก็รีบเข้ามา ใบหน้าร้อนรน
“นายปวดหัวอีกแล้วเหรอ?” วันนี้เธอสวมชุดเดรสสีแดง ดูเธอมีเสน่ห์มาก
โหมวยู่มองดูสีที่ฉูดฉาดนั้น ก็รู้สึกอาการปวดหัวกำเริบอีกครั้ง เขารีบเบนสายตาไปทางอื่น
โม่โม่เห็นท่าทีของโหมวยู่ เธอก็ก้มมองดูตัวเอง ก็รู้สึกแปลกๆ
ชางฉิงชอบใส่สีแดงที่สุด เธอคิดว่า โหมวยู่ชอบสีนี้เสียอีก
“มีอะไรไหม?” โหมวยู่พูดขึ้น เต็มไปด้วยความห่างเหินและเย็นชา
โม่โม่หัวเราะ เดินเข้าไปใกล้ หยุดลงในระยะที่ใกล้กัน
“เมื่อวานฉันไปเยี่ยมคุณลุงโหมว เขาว่า เรื่องงานแต่งตอนนี้นายจัดการอยู่ ดังนั้น ฉันเลยอยากมาคุยกับนายน่ะ นายว่า พวกเราจัดงานแต่งที่ Nova ดีไหม นั่นเป็นที่ในครอบครัว จะสั่งอะไรก็ง่ายด้วย”
โหมวยู่สีหน้าเย็นชา เขาเงยหน้าขึ้น สายตาที่ตักเตือนก็เข้มมากขึ้น
“ครั้งก่อนวันเกิดพ่อฉัน พวกเธอทุกคนคิดกันเองและประกาศข่าวงานแต่งต่อหน้าสื่อ ฉันแค่ไม่อยากให้เรื่องมันวุ่นวาย จะทำให้สองตระกูลเสียหน้าได้ แต่ฉันคิดยังไง พวกเธอไม่รู้เหรอ?”
โม่โม่ตกใจกับสายตาของเขา แต่เธอก็ยังยิ้มออกมา
“โหมวยู่ นายโกรธที่พวกเราไม่ได้คุยกับเธอเรื่องนี้ก็เป็นธรรมดา แต่เรื่องนี้ก็ตกลงกันเสร็จแล้ว พวกเราไม่มีใครแก้ไขได้”
เธอหาที่นั่งที่สบายนั่งลง ท่าทางสุภาพเรียบร้อย
“ฉันรู้ นายไม่อยากแต่งงานกับฉัน เป็นเพราะชางฉิง แต่นายก็เห็นแล้วนี่ เธอไม่อยู่ในเซิ่งซื่อแล้ว ไม่ต้องถึงมือฉัน เธอก็ถูกไล่ออกไปเอง คนแบบนี้ ไม่มีทางได้เป็นสะใภ้ตระกูลโหมวหรอกนะ ครอบครัวอย่างพวกเรา การสมรสไม่มีความรักได้ แต่จะต้องมีผลประโยชน์ เซิ่งซื่อตอนนี้มีตระกูลโหมวและโม่กุมอำนาจอยู่ นายคงไม่อยากผิดกับพวกเราเพราะแค่เรื่องงานแต่งหรอกนะ”
โหมวยู่เก็บยาขวดเล็กไว้ในกระเป๋า เขานั่งตัวตรง ดูตัวสูงมากขึ้น
“พวกเธอตระกูลโม่มีความสามารถแค่ไหนเธอก็น่าจะรู้ดีนะ เธอคิดว่า ฉันจะกลัวพวกเธอเหรอ?” เขากระตุกยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่ยากที่จะเดาออกว่าคิดอะไร ทำเอาโม่โม่รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
“เซิ่งซื่อเป็นบริษัทที่ตระกูลเซิ่งก่อตั้งขึ้นมา พวกเธอตระกูลโม่เข้ามายังไง คงไม่ต้องให้ฉันพูดย้ำหรอกนะ แต่ว่า ฉันไม่ใช่โหมวเจิ่งถิง ความรุ่งโรจน์หรือความตกต่ำของเขาฉันไม่สนใจ การต่อรองของพวกเธอ ไม่มีความหมายในสายตาฉันเลย?”
“พูดมาแล้ว นายก็ทำเพื่อชางฉิงนังแพศยานั่น!” โม่โม่โกรธจนลุกขึ้นยืน ภาพลักษณ์ความเป็นผู้ดีในตัวก็พังทลาย “โหมวยู่ ฉันเทียบกับหล่อนไม่ได้ตรงไหนกัน? พวกเราโตมาด้วยกัน ตระกูล หน้าตา รูปร่าง ฉันคิดว่านายคงจะหาคนสองในเมืองหนานไม่ได้แล้ว ตั้งแต่ฉันเกิดมาก็มีคนบอกแล้วว่าฉันจะได้เป็นภรรยาของนาย ฉันเฝ้ารอวันนี้มายี่สิบหกปีเต็มๆ แต่ทำไมนายไม่ยอมหันกลับมามองฉันเลยล่ะ?”
“เธอไม่รู้ว่าทำไมงั้นเหรอ?” ในสายตาโหมวยู่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง “เพราะตระกูลโม่ก็เป็นหนึ่งในฆาตกรที่ฆ่าแม่ฉัน พวกเธอเพื่อแย่งอำนาจ เรื่องที่ทำกับตระกูลเซิ่ง คิดว่าจะปิดบังทุกคนได้งั้นเหรอ?”