ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก – บทที่65 ฉันไม่ใช่นักปราชญ์

บทที่65 ฉันไม่ใช่นักปราชญ์

อาทิตย์ใหม่ก็มาถึง เซิ่งซื่อที่ไม่มีชางฉิง ชางหลิงรู้สึกขนาดอากาศก็สดชื่นขึ้นมา

“สวัสดีชางหลิง” มีเพื่อนร่วมงานทักทายชางหลิง

ชาฃหลิงยิ้มและพึ่งนั่งลงที่นั่งตัวเองก็มีคนเอาขนมกล่องหนึ่งมาวางไว้บนโต๊ะเธอ

“ชางหลิง คุณยังไม่ได้กินอาหารเช้าใช่ไหม ตอนเช้าฉันตั้งใจไปร้านจุ้ยฝูเพื่อซื้อขนมถั่วแดงเลยนะ”

ชางหลิงมองคนที่ให้ขนมอย่างแปลกใจ เป็นนักออกแบบเหรียญทองแดง ชางหลิงจำชื่อไม่ได้ด้วยซ้ำ

“ที่ฉันก็ซื้อชานมเกินมาหนึ่งแก้ว ชางหลิงคุณลองดื่มดูว่าอร่อยหรือเปล่า” อีกคนก็เข้ามาร่วมด้วย

ชางหลิงยักคิ้ว เธอไม่เคยลืมเลยว่าช่วงก่อนหน้านี้ ภาพที่ที่นั่งตัวเองโดนราดด้วยมาม่า คนพวกนี้เปลี่ยนท่าทีได้เร็วจริงๆ

“ไม่ต้องหรอก ฉันกินมาแล้ว” ชางหลิงผลักของพวกนั้นออก มองคนพวกนี้แล้วยิ้ม

“ชางหลิง คุณไม่ต้องเกรงใจกับพวกเราหรอก ฉันดูออกตั้งแต่แรกแล้วว่าความสามารถของเธอเก่งที่สุดในเด็กใหม่ครั้งนี้ ครั้งก่อนตอนที่ชางฉิงบอกว่าคุณลอกเลียนแบบ ฉันยืนฝั่งคุณนะ”

“ใช่ ฉันก็เหมือนกัน ฉันรู้อยู่แล้วว่าชางฉิงไม่มีความสามารถอะไร ใครจะไปรู้ว่าใช้เส้นอะไรถึงเข้าเซิ่งซื่อได้หรือเปล่า”

ทั้งสองคนเธอหนึ่งคำฉันหนึ่งคำต่างคุยกัน ชางหลิงไม่ได้ตอบ

“ชางหลิง” หลิวจื่อเวยที่ยืนมองอยู่ข้างๆมานาน ผ่านไปสักพักก็เดินหน้าเข้ามา “เรื่องก่อนหน้านี้ขอโทษด้วยนะ พวกเราก็โดนชางฉิงหลอกกันหมด ผลกระทบของเรื่องนี้ใหญ่มาก พวกเราก็พูดคำแบบนั้นออกมาเพราะสถานการณ์ทำให้เกิดความกระวนกระวายเท่านั้นแหละ”

ชางหลิงเข้าใจสักที

พวกคนกลุ่มนี้ดูตามลาดเลา ก่อนหน้านี้ตอนที่ชางฉิงอยู่แทบจะอยากไปเป็นรับใช้ของเธอทุกคน พอตอนนี้ชางฉิงออกไป พวกเธอก็เข้ามาตีสนิทอีก

ใจของคนเป็นสิ่งที่ไร้ค่าจริงๆ

“ไม่เป็นไร” ชางหลิงนั่งลงกับที่อย่างสงบ “ฉันไม่ได้เก็บไปคิดมากอยู่แล้ว”

“จริงเหรอ? ฉันรู้อยู่แล้วว่าคุณต้องไม่ถือสาอะไรกับพวกเราแน่ๆ” หลิวจื่อเวยและเด็กใหม่รอบตัวต่างสบตาและยิ้มให้กัน

“ฉันได้ยินซูเสี่ยวเฉิงบอกว่าผลงานครั้งที่แล้วของเธอ คุณเป็นแนะแนวให้ แถมยังได้รับความชื่นชมจากผู้อำนวยการถงอีก พวกเราเป็นเพื่อนร่วมงานด้วยกัน คุณสามารถแนะแนวให้พวกเราบ้างได้ไหม?”

ชางหลิงลืมตาขึ้นมา มองไปที่รอยยิ้มที่คาดหวังบนใบหน้าของหลิวจื่อเวย ก็เริ่มกอดอกอัตโนมัติ

“ฉันชี้แนะให้ซูเสี่ยวเฉิงเพราะพวกเราสองคนเป็นเพื่อนสนิทด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ตอนที่ทุกคนไม่เชื่อใจฉัน เธอก็ไม่เคยสงสัยว่าฉันเคยลอกเลียนแบบแต่พวกเธอล่ะ? ฉายาราชาแห่งการลอกเลียนแบบพวกเธอเป็นคนตั้งขึ้นมาเอง ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้องพวกเธอก็เป็นคนพูดเอง”

สีหน้าหลิวจื่อเวยเปลี่ยนไปทำให้ดูเก้อเขินขึ้นมา “คุณบอกไม่ใช่เหรอว่าไม่ได้เก็บไปคิดมาก?”

“ใช่ ฉันไม่ได้เก็บไปคิดมากแต่นี่แค่หมายความว่าฉันจะไม่ถือสาอะไรกับพวกคุณอีก ไม่ได้บอกว่าจะช่วยพวกคุณสักหน่อย พึงชนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธเป็นสิ่งที่นักปราชญ์ควรทำ ฉันไม่ใช่นักปราชญ์สักหน่อย”

“คุณ……คุณเป็นคนใจแคบชัดๆ!” หลิวจื่อเวยโมโห “เป็นกลุ่มเดียวกัน คุณช่วยแค่นี้แล้วจะเป็นอะไรไป?”

“คุณหลิว” ชางหลิงแก้ไขความถูกต้องให้เธอ “นี่คุณอยู่นานขนาดนี้แล้วยังไม่รู้กฎของเกมส์อีกเหรอ? ถึงพวกเราเป็นกลุ่มเดียวกันแต่เป็นความสัมพันธ์คู่แข่งขันนะ ถ้าฉันมีกำลังเรี่ยวแรงพอทำไมไม่ศึกษาค้นคว้าผลงานตัวเองดีๆล่ะ ไปชี้แนะให้พวกเธอ อยากหาเรื่องเพิ่มความยากให้กับหนทางอนาคตของฉันหรือไง?

สมองอะไรเนี่ย?

ชางหลิงมองบน

หลิวจื่อเวยโดนชางหลิงพูดใส่จนโมโหหน้าแดง คนอื่นก็มองไปที่ชางหลิงด้วยความโกรธแค้น ต่างคนต่างกลับที่นั่งตัวเอง

ซูเสี่ยวเฉิงมาสายทำให้พลาดช็อตเด็ดไป แต่ก็รู้สึกได้เลือนรางว่าบรรยากาศในห้องทำงานแปลกๆ แต่เธอเป็นคนซุ่มซ่ามไม่ละเอียดอ่อนอยู่แล้ว กัดแอปเปิลหนึ่งคำพอเห็นชางหลิงก็หัวเราะและเดินเข้าไปหา

“อ่ะ ซาลาเปาผักดองที่แม่ฉันทำ น้ำเต้าหู้ที่พึ่งต้มสดใหม่ร้อนๆแถมยังมีแอปเปิลใหญ่หนึ่งลูก” ทีแรกกระเป๋าของซูเสี่ยวเฉิงพองๆ พอหลังจากที่เอาอาหารเช้าของชางหลิงออกมาก็แบนลงไปทันที

“เสี่ยวเฉิงจื่อดีที่สุด” ชางหลิงรับมาอย่างพึงพอใจ

สองคนเมื่อกี้ที่เอาอาหารเช้าให้ชางหลิงก็เก้อเขินไปสักพัก

“เฮ้ย ช่วงนี้คุณทะเลาะกับหลีซินเหรอ?” ซูเสี่ยวเฉิงแปลกใจเล็กน้อย “ทำไมฉันไม่เห็นเขามารับมาส่งคุณทำงานเลย?”

ซูเสี่ยวเฉิงกดเสียงต่ำและพูดกระซิบกับชางหลิง

ชางหลิงกำลังยุ่งงานที่อยู่ในมืออยู่ คิดไปสักพักไม่รู้ว่าต้องบอกกับซูเสี่ยวเฉิงยังไงเรื่องที่เธอย้ายออกมาจากNovaแล้ว

ก่อนหน้านี้เธอไม่มั่นใจความรู้สึกที่โหมวยู่มีต่อเธอ ถึงแม้พูดออกไปซูเสี่ยวเฉิงก็อาจจะไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เธอและโหมวยู่ต่างคนต่างรู้ความรู้สึกต่อกันและกันแล้ว จะให้ซูเสี่ยวเฉิงเข้าใจผิดอีกต่อไปมันก็คงไม่ดี

“เรื่องมันยาวอ่ะ” ชางหลิงพูดอย่างจริงจัง “ไว้ฉันหาโอกาสเล่าให้คุณฟัง”

ซูเสี่ยวเฉิงรู้สึกได้ว่าสีหน้าเธอแปลกๆ แต่ยังไงตอนนี้ก็เป็นเวลาทำงาน เธอก็เลยไม่ได้ถามต่อ

การแข่งขันรอบสองแตกต่างกับครั้งก่อน ภายใต้นามเซิ่งซื่อมียี่ห้อแบรนด์มากมาย แต่อันที่โดดเด่นมีชื่อเสียงมากที่สุดคือคอลเลคชั่นออกกำลังกายของGM ก็เลยรอบนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแข่งขันของการออกแบบ ที่สำคัญคืออยากเพิ่มความแปลกใหม่เข้าไปด้วยเพื่อเตรียมตัวรับมือกับคอลเลคชั่นใหม่ในฤดูหนาวของGM

เพราะว่ามีโหมวยู่สนับสนุน ชางหลิงรู้ว่าชั้นสองของห้องนิทรรศการจะเป็นชุดสำเร็จรูปของคอลเลคชั่นใหม่ที่GMเคยแถลงข่าวออกมาก่อนหน้านี้ ตอนพักกลางวัน ทีแรกเธออยากพาซูเสี่ยวเฉิงไปเยี่ยมชม แต่เมื่อคืนซูเสี่ยวเฉิงเล่นเกมส์ทั้งคืนพอหลังจากกินข้าวเสร็จ หนังตาก็ยกไม่ขึ้น อยากฟุบหลับบนโต๊ะอย่างเดียว

ช่วยไม่ได้ ชางหลิงเลยต้องไปเองอย่างโดดเดี่ยว ไปห้องนิทรรศการเองคนเดียว

หลิวจื่อเวยออกมาจากห้องน้ำพอดี เธอเหลือบเห็นชางหลิงลงไปชั้นล่าง เกิดความสงสัยขึ้นมาเลยแอบตามหลังเธอไป

ชางหลิงไม่ได้สังเกตเห็นคนข้างหลังของเธอ เปิดประตูห้องเสื้อผ้าสำเร็จรูป หุ่นนางแบบที่ยุ่งเหยิงและเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใสทำให้เธอตาลายไปหมด เธอก้าวเดินเข้าไปราวกับซินเดอเรลล่าที่เดินเข้าไปท่ามกลางปาร์ตี้งานเต้นรำของราชวัง

ตอนที่เรียนอยู่ในโรงเรียน GMของเซิ่งซื่อได้รับการยกย่องว่าเป็นชุดการออกแบบระดับตำราเรียนมาโดยตลอด สมัยเรียนมหาวิทยาลัย หนุ่มสาววัยรุ่นทุกคนจะภูมิใจด้วยการมีคอลเลคชั่นใหม่ของGM

ชางหลิงยืนอยู่ท่ามกลางเสื้อผ้าพวกนี้ที่เคยเห็นในหนังสือ ราวกับกำลังอยู่ในฝัน

เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า วันหนึ่งตัวเองจะได้ยืนอยู่ในเซิ่งซื่อ

หลิวจื่อเวยเห็นชางหลิงสนใจแต่พวกเสื้อผ้าพวกนั้น บนใบหน้าก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เธอก้มหัวไปมองกลอนประตู สีหน้ามืดครึ้มมองไม่ชัด

ก็แค่มีพรสวรรค์ด้านการออกแบบไม่ใช่หรือไง? มีอะไรให้น่าโอ้อวด

หลิวจื่อเวยค่อยๆล็อคกลอนประตูอย่างเงียบๆและเอากุญแจทิ้งลงถังขยะที่อยู่ข้างๆ

ห้องเสื้อผ้าสำเร็จรูปของชั้นสองไม่ค่อยมีคนมาแถวนี้อยู่แล้ว เธอจะรอดูว่าชางหลิงจะทนอยู่ในนั้นได้นานแค่ไหน

ชางหลิงวนดูเสื้อทั้งหมดไปหนึ่งรอบจนเสร็จ จดพวกการออกแบบที่มีจุดโดดเด่นและวัตถุดิบของผ้าไว้ จับดูกระเป๋าเพื่อดูเวลาค่อยพบว่าตอนตัวเองมาลืมเอาโทรศัพท์มาด้วย

เธอกลัวไปทำงานช่วงบ่ายสาย เตรียมจะออกไปแต่ว่าตอนยื่นมือไปดึงประตู ประตูกลับไม่ขยับเลย ต่อให้เธอทั้งลากทั้งดึงหรือชนเข้าไปก็เปิดไม่ได้

ประตูเสียเหรอ?

ชางหลิงตบประตู “ข้างนอกมีคนไหม?”

ทั้งชั้นสองโล่งไปหมด เสียงของเธอโดนประตูขวางกั้นไว้ หลังจากเสียงกระจายผ่านไปทางอากาศสักพักก็เงียบหายไปไม่มีวี่แวว

ชางหลิงตะโกนร้องออกไปพักใหญ่แต่กลับไม่มีเสียงคนตอบกลับมา เธอยืนนิ่งเฉยอยู่หน้าประตู คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าทำไมตัวเองถึงโดนล็อคอยู่ในนี้

จะโดนเจอตัวอีกทีตอนไหนเนี่ย? ซูเสี่ยวเฉิงน่าจะรู้ว่าเธอมาที่นี่ หลังจากที่หล่อนตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นเธอกลับไปสักที น่าจะจะพาคนมาตามหาเธอแน่!

ชางหลิงได้แต่ภาวนาอย่าให้ซูเสี่ยวเฉิงนอนหลับจนเบลอและไม่ได้ยินคำพูดที่เธอพูดเมื่อกี้

เธอมองไปรอบบริเวณ เดินไปทิศทางของหน้าต่าง

ถึงแม้ที่นี่เป็นชั้นสองแต่ว่าห่างจากหน้าต่างไม่ไกลก็จะมีดาดฟ้าเล็กๆ แค่เธอกระโดดลงไปก็น่าจะปีนขึ้นเสาและคลานไปชั้นหนึ่งได้ ตอนเด็กเคยโดนชางหวยซูขังมาเยอะแล้ว เรื่องหนีออกจากคุกแบบนี้เธอมีประสบการณ์ดี

แต่ว่าบนหน้าต่างมีตะปูนิรภัย แถมช่องใหญ่แค่นี้เธอก็ไม่สามารถคลานออกไปได้

ชางหลิงคิดหนักไปสักพักและไม่รู้ว่าใครให้ความมั่นใจกับเธอ ก็แค่อยากไปลองดูแต่แล้วผลที่ได้คือหลังจากที่เธอก้าวขาออกไปหนึ่งข้าง เธอติดอยู่ตรงกลางบานหน้าต่างแน่น จะเข้าไปก็ไม่ได้จะออกไปก็ไม่ได้

ชางหลิงพยายามดึงร่างกายตัวเองออกมา แค่รู้สึกได้ว่าตัวเองโดนหน้าต่างเบียดจนแทบจะหายใจไม่ออกแล้ว

“เฮ้ย! มีคนไหม มาช่วยฉันหน่อย!” ชางหลิงร้องไห้ตะโกนออกนอกหน้าต่างอย่างน่าเวทนา แต่ว่าตอนนี้เป็นเวลาทำงานของช่วงบ่ายพอดี สนามบาสเกตบอลข้างนอกโล่งไปหมด อย่าพูดถึงคนเลยแม้แต่นกสักตัวก็ไม่มี

นี่มันน่าสงสารเกินไปหรือเปล่า!

ชางหลิงปล่อยโห่ร้องไห้ออกมา ถ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่แรกก็รอซูเสี่ยวเฉิงมาช่วยเธอแล้ว ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ใครจะไปรู้ว่าตัวเองจะติดอยู่ตรงนี้นานซะแค่ไหนเชียว

ในที่สุด หลังจากที่เธอร้องโหยหวนไปครึ่งชั่วโมง มีเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากชั้นล่าง

“คุณกำลังดูวิวอยู่ชั้นบนหรือไง?”

ชางหลิงหยุดร้องไห้ เธอก้มหัวไปมอง ผู้ชายที่สวมใส่เสื้อกันหนาวกำมะหยี่สีน้ำเงินแดงนั่งอยู่บนรถเข็น เงยคางขึ้นมาเล็กน้อย มองเธอด้วยมุมองศาที่เพอร์เฟคที่สุด

ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก

ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก

Status: Ongoing

เธอสุขใจมากล้นเตรียมที่จะแต่งงานกับแฟนหนุ่มที่คบกันมาหลายปี แต่คืนก่อนวันแต่งงานกลับรู้ว่าแฟนหนุ่มนอนกับน้องสาวต่างสายเลือดด้วยความโกรธครอบงำชางหลิงใช้เงินซื้อผู้เชาย หลังเมาก็ร้องจะนอนกับเจ้าของคลับ ยังถูกคนหลอกแต่งงานเมื่อตื่นขึ้นมา ไม่คาดว่าถูกคนกลับเรียกเธอว่าพี่สะใภ้ เฮียคือใครกันนะ“ยมบาลแสนเย็นชา”ซึ่งอยู่ทั้งสายขาวสายดำแห่งเมืองหนานที่ทุกคนต่างเกรงกลัว แถมยังเป็นผู้นำที่มีอำนาจทั้งตระกูลโหมวและในบริษัทเซิ่งซื่อกรุ๊ปแต่ข่าวลือว่ากันว่าเขาไม่เข้าใกล้ผู้หญิงไม่ใช่หรอ เขาชอบผู้ชายด้วยกันไม่ใช่หรอแต่ทำไมถึงเป็นเพราะผู้หญิงอ่อนแออย่างเธอถึงกับทุกวันไม่อยากลงจากเตียง จริงอย่างคาดคิด ข่าวลือล้วนแต่หลอกลวงโดยสิ้นเชิง

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท