“แล้วยังไง?” โม่โม่แสยะยิ้ม “ถึงนายจะรู้เรื่องพวกนี้แล้วยังไง พวกเขากล้าไปฟ้องฉันไหมล่ะ? พวกเขากล้าเหรอ?”
“โหมวยู่ ไม่ใช่ว่าฉันใจร้าย แต่เป็นนายเองที่ยังไม่รู้จักตำแหน่งตัวเอง หรือว่านายลืมไปแล้วหรือไง? พวกหล่อนเผชิญเรื่องร้ายก็เพราะนาย ฉันจำงานเต้นรำนั้นได้ นายรู้จักกับคุณหนูรองตระกูลเฉินที่งานนั้น ฉันเห็นนายยิ้มให้กับหล่อน นายยังไม่เคยยิ้มแบบนั้นให้ฉันเลย นายยิ้มให้หล่อนได้ยังไงกัน? ยังมีลู่หมิงหมิงอีกคน ตอนมัธยมปลายฉันก็ได้ยินคนอื่นบอกว่านายกับหล่อนเป็นคู่สร้างคู่สมกัน หล่อนเป็นดาวโรงเรียน ส่วนนายก็เป็นเดือนโรงเรียน หล่อนไม่มีสิทธิถูกคนอื่นนินทาพร้อมกับนาย แล้วยังมีโจวซือหยวนนั่นอีก ลูกสาวธุรกิจผ้าต๊อกต๋อย ริอาจเทียบเคียงอยากได้นายจนตัวสั่นระริก ฉันเคยเตือนหล่อนแล้ว แค่สั่งให้คนไปนอนกับหล่อน แต่หล่อนกลับคิดที่จะไปฟ้องร้องฉัน ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันก็จะทำลายครอบครัวหล่อนให้สิ้นซาก ทำให้หล่อนไม่มีหน้าจะอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป ฉีอี้เจินก็อย่าพูดถึงเลย หล่อนคิดว่าตัวเองมีพรสวรรค์การออกแบบก็เก่งมากนักหรือไง ริอาจคิดเข้าใกล้นาย แต่ตอนนี้ยังดีหน่อย หล่อนขี้เหร่ขนาดนั้น อ่อยนายไม่ได้อีกแล้ว”
โม่โม่พูดอย่างเรียบเฉย ไม่มีความรู้สึกผิดเลยสักนิด
โหมวยู่ขมวดคิ้วเป็นปม ไม่เข้าใจทำไมโม่โม่ถึงได้ฆ่าคนมากะพริบตาแบบนี้
ฉันรู้ว่านายพยายามค้นหาหลักฐานลับหลังฉัน ฉันก็รู้ด้วยว่า นายโน้มน้าวให้พวกหล่อนฟ้องร้องฉัน แต่ว่า เรื่องก็ผ่านไปนานมากแล้ว ใครจะเชื่อล่ะ พวกหล่อนยังกล้ามาหาเรื่องฉันงั้นเหรอ? เพราะยังไง ถ้าพวกหล่อนฟ้องขึ้นมาจริงๆ อาจจะรักษาชีวิตครอบครัวตัวเองไว้ไม่ได้ โม่โม่ลุกขึ้นยืน ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
โหมวยู่แสยะยิ้ม “ตอนนี้เธอยอมรับได้ตรงไปตรงมาดีนะ”
“ยอมรับแล้วยังไง?” โม่โม่หันหน้าไป มองค้อนเขาอย่างแรง “ฉันกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะนาย! ตั้งแต่ฉันจำความได้ก็ถูกกรอกหูอยู่ทุกวันว่าฉันจะได้เป็นภรรยาของนาย ตลอดชีวิตนี้ของฉัน เทคนิคที่เรียนมาทั้งหมดก็เพื่อออดอ้อนนาย! เวลาของฉันทั้งหมดก็เอาแต่เฝ้ารอนาย นายก้าวไปข้างหน้า ฉันก็จะตามหลังนายตลอด! ยี่สิบหกปี ยี่สิบหกปีเต็มๆ! ขอแค่นายหันกลับมามองฉันสักหน่อย ก็คงไม่ทำให้ฉันกลายเป็นนางมารร้ายอย่างทุกวันนี้!”
โหมวยู่ลดสายตาลง กำหมัดไว้แน่น
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว” โหมวยู่ลุกขึ้น “เธอสุดจะเยียวยาแล้วล่ะ”
“นายจะไปไหน!” โม่โม่เดินเข้าไปคว้าแขนโหมวยู่เอาไว้ แต่โหมวยู่กลับสะบัดออกมาอย่างรังเกียจ
โม่โม่ถูกเขาผลักล้มลงไปกองอยู่กับพื้น เธอจ้องแก้วชานั้นอยู่นาน ตั้งแต่ต้นจนจบ โหมวยู่ยังไม่เคยแตะแก้วนั้นเลยด้วยซ้ำ
โหมวยู่กลับหลังหันเดินออกไปด้านนอก นำโทรศัพท์ที่กำลังบันทึกเสียงอยู่ออกจากกระเป๋าและกดหยุดเอาไว้
“ชางฉิงไม่คู่ควรกับนาย! หล่นเป็นแค่โสเภณีที่มีสามีมานับไม่ถ้วน นายยังไม่ได้สติเลยหรือไง?” โม่โม่ตะโกนสุดเสียง “ถึงแม้นายจับคนพวกนั้นไปแล้วยังไง ฉันก็จะไม่มีทางยอมรับ นายคิดว่าชางฉิงกล้าฟ้องร้องฉันหรือไง? หล่อนยังมีครอบครัว หล่อนกล้าไม่นึกถึงความปลอดภัยของครอบครัวหรือไง?”
“วันนี้ที่ฉันมา แค่อยากมายกเลิกงานแต่งกับเธอ” โหมวยู่หยุดเดิน ไม่ได้หันหน้ากลับไป “แต่ตอนนี้ ฉันคงต้องลงเธอเข้าคุกแล้วล่ะ”
โม่โม่จ้องมองแผ่นหลังของโหมวยู่ด้วยสายตาที่ดุร้าย
โหมวยู่ออกไปแล้ว ห้องน้ำชาก็เงียบสงบลง โม่โม่ลุกขึ้นยืน ใช้มือปัดกาน้ำชาและแก้วลงพื้นจนหมด
……
ท้องฟ้ามืดลงแล้ว
ชางหลิงกับหลีซินเดินอยู่ท่ามกลางป่าไม้ที่น่ากลัว เพราะอีกฝั่งมีจุดประสงค์ร้าย ดังนั้นพวกเขาจึงทิ้งรถในยามค่ำคืนและเปลี่ยนเป็นเดินแทน
รองเท้าเหยียบกิ่งไม้เสียงดังกรอบแกรบในค่ำคืนเป็นเสียงที่ดังมาก หลีซินหยุดเดิน ฟังเสียงรอบด้านอย่างละเอียด
ชางหลิงคิดไม่ออกเลยว่า กลุ่มคนที่ตามพวกเขามานั้น แม้พวกเขาเข้ามาในภูเขาก็ยังจะตามมาอีกเหรอ
หรือว่าเป็นคนที่ชางฉิงสั่งมา? พวกเขาคิดมาตลอดว่าเรื่องของชางฉิงเธอเป็นคนทำ ดังนั้นเลยอยากมาแก้แค้นเหรอ?
“อยู่ทางนั้น!” เสียงของพวกผู้ชายดังขึ้นมาแต่ไกล หัวใจชางหลิงเต้นตึกตักจนแทบจะกระเด็นออกไปอยู่แล้ว
“ไปเร็ว!” หลีซินเดินเร็วขึ้น
“รอฉันด้วย” ชางหลิงตามหลีซินไปไม่ได้ เธอสวมกระโปรงสั้นมาอีก ตลอดทางที่มา ตามขาก็มีรอยขีดข่วนของหนาม
“เห็นแล้ว! อยู่ทางนั้น!” เสียงด้านหลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ชางหลิงร้อนรน ในป่าที่มืดทึบนี้ แค่มองยังยากเลย มีเพียงชุดเดรสสีขาวที่เธอสวมมาวันนี้ ดูเด่นพิเศษภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา
“พี่สะใภ้” หลีซินเดินไปแล้วก็กลับมา “ขอโทษด้วยนะครับ”
เขาจับมือชางหลิงเอาไว้ จับมือเธอวิ่งไปอย่างเร็ว
เสียงลมพัดผ่านเข้ามาในหู ชางหลิงเหมือนได้เอาปริมาณการออกกำลังทั้งชีวิตนี้มอบให้กับวันนี้ไปแล้ว มีการช่วยเหลือจากหลีซิน เธอก็วิ่งเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ในตอนที่เธอรู้สึกว่าด้วยความเร็วแบบนี้คงจะหนีพวกที่ตามมาได้ หินแหลมก้อนหนึ่งก็ได้ทำลายความหวังของเธอจนหมดสิ้น
“โอ๊ย!” ชางหลิงข้อเท้าแพลง ถูกหินบาดที่ขา เธอร้องอย่างเจ็บปวด และล้มลงไปกองบนพื้น
“พี่สะใภ้” หลีซินรีบหยุดวิ่ง “พี่เป็นอะไรน่ะ?”
ชางหลิงเจ็บจนเหงื่อแตกท่วมตัว เธอมีรอยขีดข่วนทั้งตัว พอเป็นแบบนี้อีก เธอก็เดินต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ
“ผมแบกพี่เอง” หลีซินนั่งลง
“ช่างเถอะ” ชางหลิงมองดูบาดแผลบนขาตัวเอง “นายแบกฉันแบบนี้ ทำให้ช้ากว่าเดิมอีก ถึงตอนนั้นก็หนีกันไม่รอดหรอก”
“แต่ว่า……” หลีซินร้อนรน
“ฉันวิ่งไม่ไหวแล้ว” ชางหลิงลงไปกองกับพื้น “นายดูสิตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน ที่นี่ไม่มีทั้งสัญญาณ ขอความช่วยเหลือไม่ได้ ถึงแม้จะหนีจากเงื้อมมือพวกเขาได้ สภาพฉันแบบนี้ก็คงหนีออกจากภูเขาลูกนี้ไม่ได้หรอก”
หลีซินมองรอบๆ ขมวดคิ้วเป็นปม “หนีออกไปไม่ยากหรอก……”
เขาออกมาจากหน่วยซีล เทคนิคการเอาชีวิตรอดในป่าก็พอมีบ้าง แต่ชางหลิง……
เขานั่งลง เห็นขาของชางหลิงที่ถูกก้อนหินบาดเจ็บเห็นเนื้อด้านใน และลำบากใจขึ้นมา
“นายฝีมือดี ชกได้ก็ชกเลย ถ้าไม่ไหวนายก็หนีไป เป้าหมายพวกเขาน่าจะเป็นฉัน ถ้านายหนีไปได้ ก็ไปตามคนมาช่วยฉัน”
หลีซินเงยหน้าขึ้น มองชางหลิงที่เจ็บจนสีหน้าซีดเซียว เขาจะทิ้งชางหลิงไว้แล้วหนีไปได้ยังไง ถ้าทำแบบนั้น อย่าว่าแต่โหมวยู่เลย เขาเองก็คงจะเสียใจไปตลอดชีวิต
“เหอะ!” ไม่นาน ผู้ชายร่างกำยำห้าคนก็ตามมาได้ “วิ่งเร็วเหมือนกันนี่”
หลีซินยืนตัวตรง เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ “พวกนายเป็นคนของใคร?”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาย นายส่งตัวผู้หญิงคนนั้นมาให้พวกเรา แล้วพวกเราจะไม่ทำให้นายลำบาก” หัวหน้าในกลุ่มผู้ชายพวกนั้น ก็เดินมาใกล้เขาเรื่อยๆ