บทที่ 81 ต่อต้านด้วยกันกับเขา
ชางหลิงหลับหมดสติไป
เมื่อลืมตาขึ้นสิ่งที่เห็นก็คือเพดานของโรงพยาบาลสติของหล่อนก็ค่อยๆ ฟื้นกลับมาจากนั้นจึงค่อยๆ นึกสิ่งที่หล่อนได้ประสบเจอก่อนที่จะสลบไสลไป
หล่อนขยับตัว และมือซ้ายก็มีผ้าพันแผลพันไว้ ทั้งขาและเท้าของหล่อนก็พันผ้าพันแผลพร้อมกับเข้าเผือกไว้ด้วยเช่นกัน
หล่อนยังมีชีวิตอยู่…ชางหลิงจ้องไปที่ผนังห้อง และค่อยๆ เข้าใจข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในหัวของหล่อน
“คุณฟื้นแล้วเหรอ?” คนที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงหล่อนก็คือต้วนเหิง เมื่อเห็นว่าหล่อนขยับตัวแล้วเขาก็เข้ามาใกล้
“โหมวยู่ล่ะ?” หล่อนจำได้ว่า หล่อนเห็นโหมวยู่ก่อนที่จะสลบไสลไป
สายตาของต้วนเหิงก็หันไป “เขา…เขายังไม่ฟื้น”
ยังไม่ฟื้นเหรอ? ชางหลิงรู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดี “เขาเป็นอะไรไป?”
ต้วนเหิงไม่ได้ตอบ
“ฉันจะไปพบเขา” ชางหลิงดึงสายน้ำเกลือออกจากมือตัวเอง แต่แข้งขาตัวเองไม่สะดวก จึงทำให้หล่อนล้มลงกับพื้น และเจ็บจนน้ำตาไหลออกมา
ต้วนเหิงเอาหล่อนไม่อยู่เขาจึงทำได้แค่เรียกให้คนช่วยเข็นรถเข็นมาคันหนึ่งและเข็นชางหลินไปที่ห้องผู้ป่วยด้านข้าง
เมื่อผลักเปิดประตู บนเตียงผู้ป่วยในนั้นสีหน้าโหมวยู่ม่นหมอง เมื่อชางหลิงมาถึงที่ขอบเตียงเขา หล่อนก็เปิดผ้าห่มออก จากนั้นก็เห็นว่าผ้าพันแผลที่พันรอบหลังของเขายังมีคราบเลือดอยู่
“เพราะเขาทำเพื่อคุณเลยโดนแส้นับสิบตามกฎประจำตระกูลของตระกูลโหมว ซึ่งถูกลงโทษเฆี่ยนตีจนเนื้อตัวแตกยับ และยังไม่มีการรักษาอาการบาดเจ็บในทันทีอีกด้วย รวมทั้งตัวเขายังทนประคองตัวเองขึ้นภูเขาอีก” และยังบวกกับที่เขามักจะมีอาการปวดศีรษะบ่อยๆ นั้น ผมกังวลกับอาการบาดเจ็บเหล่านี้มากเลย ดังนั้นชายแกร่งอย่างโหมวยู่จึงถูกทำลายไปในพริบตาเดียว
เบ้าตาของชางหลิงร้อนขึ้นมาทันทีและไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป จากนั้นหยดน้ำตาก็ไหลลงมาทีละหยด
เพราะหล่อนแค่โดนบาดที่มือไปแค่ทีหนึ่งมันก็เจ็บมากจนทนไม่ไหวแล้ว แล้วโหมวยู่ที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากแส้ที่ติดต่อกันเหล่านี้จะต้องเจ็บมากจนทนไม่ไหวแน่เลย
“พี่ต้วนคะ” ชางหลิงเช็ดน้ำตา หล่อนเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ต้วนเหิง “พี่บอกฉันหน่อยได้ไหมว่าที่จริงมันเป็นเพราะอะไรกันแน่?ทำไมนายท่านโหมวถึงต้องจับฉันกระทั่งอยากจะกำจัดฉันด้วย”
ตระกูลโหมวในเมืองหนานนั้นมีอำนาจและอิทธิพลล้นหลาม ซึ่งหล่อนเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ถึงแม้ว่าหล่อนจะรอดพ้นจากความตายมาหล่อนก็ไม่มีวันที่จะไปถามหาความรับผิดชอบได้ แม้แต่โหมวยู่เองก็ยังไม่สามารถต้านทานได้ ซึ่งหล่อนเองก็เป็นแค่ผู้หญิงที่อ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้น แล้วจะไปทำอะไรได้ล่ะ?
“ผมไม่รู้ว่าเขาพูดกับคุณไปมากแค่ไหนเพราะเรื่องครอบครัวของเขามันก็ไม่ดีที่ผมจะต้องไปพูดอะไรมากแต่สำหรับจุดยืนของผม สิ่งที่ผมสามารถพูดได้คือ ให้คำเตือนกับคุณถ้าครั้งหน้าเจอคนจากตระกูลโหมวอีก ผมคงทำได้แค่หนีเท่านั้น”ต้วนเหิงรู้ถึงความกังวลของโหมวยู่และก็ไม่ได้พูดให้ชัดเจนอะไรขนาดนั้น
ระหว่างทางกลับไปหนานวานหลีซินก็เคยเล่าเรื่องของนายท่านใหญ่ของเขาด้วย เขาบอกว่าโหมวเจิ้งถิงเป็นคนที่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการควบคุมคนอื่น ซึ่งคนแบบนี้หากรู้ว่าโหมวยู่คบกับผู้หญิงภายนอกที่เขาไม่ต้อนรับแค่เกรงว่าจะมีมาตรการหรือกลอุบายอะไรมาอย่างแน่นอน
ดังนั้นทุกสิ่งอย่างที่ได้เกิดขึ้นในเมื่อคืนนี้ก็คือฝีมือของนายท่านใหญ่งั้นเหรอ?
ชางหลิงรู้สึกหวาดกลัวซึ่งในตอนนี้ก็เป็นสังคมที่ปกครองด้วยกฎหมายแล้ว แต่ในสายตาของพวกเขาชีวิตของหล่อนไม่ต้องพูดถึงเลย
“นายท่านใหญ่สัญญาว่าจะปล่อยฉันไปโหมวยู่ตกลงเงื่อนไขอะไรกับเขาหรือเปล่า?”
ชางหลิงไม่ได้โง่แม้ว่าโดยปกติแล้วหล่อนอาจจะสับสนบ้างแต่สำหรับเรื่องใหญ่แบบนี้ก็ยังเข้าใจอย่างชัดเจน ด้วยวิธีการของนายท่านใหญ่เขาสามารถจัดการกับหล่อนได้โดยตรงเลยและไม่จำเป็นต้องขังหล่อนไว้ที่นั่นไปตั้งหนึ่งคืน
“นี่มัน…” ต้วนเหิงลำบากใจ
ชางหลิงมองไปที่สีหน้าของต้วนเหิงก็รู้แล้วว่าพวกเขาต้องปิดบังอะไรจากหล่อนอย่างแน่นอน
“เรื่องบางเรื่อง คุณไม่รู้มันคงจะดีกว่า” ต้วนเหิงตอบหล่อน “คุณแค่ต้องเข้าใจว่าโหมวยู่ไม่สามารถทำร้ายคุณได้เพราะผมรู้จักเขามา 10 กว่าปีแล้ว และผมก็ไม่เคยเห็นเขาสนใจใครเท่านี้มาก่อนเลยซึ่งคุณก็เป็นเพียงคนเดียว”
“ภาระหน้าที่หนักและความกดดันต่างๆ ที่ได้รับนั้นมันมีมากกว่าที่พวกเราเห็นสะอีก การอยู่ในตระกูลแบบนี้ ทุกย่างก้าวที่เขาก้าวเดินไปคือการตัดสินใจที่ผ่านการคิดใคร่ครวญมาอย่างดีก่อนแล้ว แต่ในช่วงเวลานี้เป็นเพราะคุณแผนการของเขาจึงถูกก่อกวนไปทีละนิดและทำให้พวกเราทุกคนต้องตกอยู่ในสถานการณ์นี้ไปด้วย”
“ดังนั้น…ถ้าทำได้ผมก็หวังว่าก่อนที่คุณจะทำอะไรขอให้คุณช่วยนึกถึงเขาสักนิดเพราะเขาเป็นลูกรักของพ่อกับแม่ ถ้าคุณอยากยืนอยู่เคียงข้างเขาอย่างเหมาะสม คุณต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้และต่อต้านด้วยกันกับเขา”
ชางหลิงรู้สึกอับอายกับสิ่งที่ต้วนเหิงพูด
ระยะนี้ หล่อนกระทำความผิดอย่างกำเริบเสิบสานจนเกินไป หล่อนพูดว่าโหมวยู่ไม่เคยปรึกษาหากับหล่อนเลยแต่อย่างไรก็ถาม หล่อนทำอะไรก็ไม่เคยพูดปรึกษากับเขาด้วยเช่นกัน
โหมวยู่ที่นอนอยู่บนเตียงก็ขยับเล็กน้อย และชางหลิงก็เข้าใจขึ้นมาทันที
“พวกคุณก็คุยกันไปก่อนนะ ผมจะออกไปก่อน” เมื่อต้วนเหิงเห็นว่าโหมวยู่กำลังจะฟื้นแล้ว ก็เป็นฝ่ายถอยออกไปจากห้องผู้ป่วยเอง
โหมวยู่ขมวดคิ้ว ซึ่งเขาก็ยังไม่ทันได้ฟื้นเลยก็รู้สึกถึงความเจ็บที่หลังเขาก่อนแล้ว
“โหมวยู่” ชางหลิงเรียกเขาอย่าตาแดง โหมวยู่ลืมตาขึ้น ทันทีที่เห็นหล่อน เขาก็เอื้อมมือออกไปโอบกอดหล่อนไว้
ความเจ็บจากบาดแผลทำให้เขาตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ชางหลิงที่นิ่มนวลอ่อนโยนในอ้อมแขนของเขา ก็เป็นยาที่ช่วยบรรเทาความเจ็บได้ดีที่สุดแล้ว
“ระวังหน่อยนะ คุณยังบาดเจ็บอยู่” ชางหลิงกลัวว่าตัวเองจะสัมผัสโดนแผลของเขา แต่โหมวยู่กลับไม่สนใจ และยังคงกอดหล่อนไว้แน่น
ตอนที่เขาหมดสติอยู่นั้นเขาก็ได้ฝันว่า ทั้งตัวชางหลิงเต็มไปด้วยเลือดและกำลังนอนอยู่บนพื้นไม่ว่าเขาจะตะโกนเรียกยังไงหล่อนก็ไม่ฟื้นเขาอุ้มร่างหล่อนไว้และไม่มีทางร้องขอความช่วยเหลือได้เลย
ความรู้สึกแบบนี้ก็เหมือนกับเมื่อครั้งที่เขาเห็นแม่เขาเสียชีวิตต่อหน้าต่อตาตัวเองเมื่อเขาอายุได้เพียง 6 ขวดเท่านั้น
“คุณเป็นไงบ้าง?” โหมวยู่คิดอยู่ตลอดว่าหล่อนยังบาดเจ็บอยู่จึงรีบปล่อยหล่อนพร้อมกับดูอาการบาดเจ็บของหล่อน
ชางหลิงยิ้มจากนั้นหล่อนก็เอื้อมมือออกไป พร้อมกับวางข้อมือที่พันด้วยผ้าพันแผลไว้ตรงหน้าของโหมวยู่
“นี่ไง” ชางหลิงมองเขาอย่างซุกซน “ คงตายไม่ลงหรอกแต่อาจมีแค่รอยแผลเป็นซึ่งในสถานที่แบบนี้คนอื่นอาจคิดว่าตัวเองปลงไม่ตก และเจ็บปวดจากความรัก ”
สายตาโหมวยู่เต็มไปด้วยความสงสาร เขาจับมือชางหลิงไว้และแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าบาดแผลแบบนี้จะอยู่บนตัวเขาจริงๆ
“ผมขอโทษ” โหมวยู่รู้สึกผิดมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเขา หล่อนคงไม่ต้องโดนทำร้ายแบบนี้ ถ้าเขาสามารถป้องกันโหมวเจิ้งถิงได้ก่อน คงไม่ถึงกับต้องทำให้หล่อนตกอยู่ในมือของเขา
“ไม่ต้องพูดว่าขอโทษหรอก ฉันอยากรู้อะไรมากกว่าสิ่งนี้” ชางหลิงมองเขาอย่างตรงไปตรงมา
ทั้งต้วนเหิงและหลีซินต่างก็ปิดปากเงียบเพราะโหมวเจิ้งถิง ดังนั้น หากอยากรู้ความจริง คงต้องเริ่มที่โหมวเจิ้งถิงก่อน
“คุณบอกฉันสิว่า นี่มันเรื่องอะไรกันฉันเป็นเหยื่อนะอย่างน้อยฉันก็ควรรู้ด้วยคุณไม่บอกอะไรสักอย่างกับฉันเลย ถึงตอนนั้นฉันก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องตายยังไง”
โหมวยู่ขมวดคิ้วและไม่ปริปากพูดสักคำ
ชางหลิงไม่ชอบดูท่าทางแบบนี้ของเขาเลย หล่อนดึงมือตัวเองออกจากมือของเขา
“ไม่พูดก็เลิกแล้วกันไป คุณไม่บอกฉัน งั้นฉันจะไปหาพ่อคุณด้วยตัวเองแล้วกัน” ชางหลิงทำท่าทีดันรถเข็นออกไป “ฉันเป็นลูกสะใภ้ของเขา และรอดจากเหตุการณ์ที่เลวร้าย ถึงอย่างไรก็ต้องไปขอบคุณพ่อสามีสำหรับพระคุณการปล่อยตัว”
“เดี๋ยวก่อน” โหมวยู่จับรถเข็นของหล่อนไว้ด้วยมือข้างเดียวแล้วดึงหล่อนกลับมาที่ขอบเตียง
“ไม่ใช่ว่าผมไม่บอกคุณ ผมแค่…” โหมวยู่ลังเลตัดสินใจไม่ได้
เขาไม่เคยเป็นคนที่จิตใจลังเลไม่มีความเด็ดขาดมาก่อนเลย เพียงแค่เผชิญหน้ากับชางหลิงสองต่อสองเท่านั้น เขาก็ยังกล้าเลย
“กลัวว่าหลังจากที่ฉันรู้เรื่องเหล่านั้นแล้ว ฉันจะตกใจแล้วหนีไปงั้นเหรอ?” ชางหลิงถามเขา
โหมวยู่มองขึ้นไปเพราะคำพูดของชางหลิงจี้ใจเขา
ดวงตาของชางหลิงเป็นประกาย หล่อนจ้องไปที่การแสดงออกของโหมวยู่ก็เข้าใจในอะไรบางขึ้นมา
“คุณอย่าคิดว่าฉันอ่อนแอเกินไป จะพูดยังไงดี มันก็เหมือนกับว่าฉันเดินออกมาจากสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยภยันตรายของตระกูลชางมาตลอดทางเช่นกัน แม้ว่าตระกูลชางจะไม่เหมือนกับตระกูลโหมวที่เอะอะเมื่อไหร่ก็เอาแต่จะสู้และฆ่าแกงกันตลอด แต่ลับหลังก็มีเรื่องเลวๆ ไม่น้อยเลย” ชางหลิงพูดอย่างสงบเงียบ “หากลองคิดดูแล้วที่จริง ฉันก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างอะไรกับคุณมากเท่าไหร่ ตระกูลชางก่อตั้งขึ้นด้วยน้ำมือของแม่ฉัน แต่พ่อของฉันกลับละทิ้งมัน และแม่ลูก จ้าวหลันจือพวกหล่อนก็มาบุกรุกครอบครองบ้านและที่ดินของพวกเรา ซึ่งแม่ของฉันก็ถูกบังคับให้ต้องตาย และทิ้งฉันไว้คนเดียว ฉันเลยต้องอยู่กับตระกูลชางในสภาพที่ตกนรกทั้งเป็นจนถึงทุกวันนี้”
ชางหลิงตบหน้าอกตัวเอง “ฉันต้องเข่นฆ่าโรมรันตลอดทาง ถ้าเป็นในสมัยโบราณ ฉันก็จะเป็นปรมาจารย์รุ่นเยาว์ในวังแล้วล่ะว่าไหม?”
โหมวยู่รู้สึกตลกกับท่าทีที่เคร่งขรึมนี้ของหล่อน เขาลุกขึ้นและนั่งบนเตียง
“หากตามที่กล่าวมานี้ ผมคงจะดูถูกคุณเกินไปแล้วล่ะสิ”
ชางหลิงเพิ่งจะเดินออกจากช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อว่าจะอยู่รอดหรือตายแต่กลับไม่มีจิตใจที่หดหู่ดูสิ้นหวังเลย และยังฟื้นสภาพได้อย่างรวดเร็วก่อนอีก
ดูเหมือนว่าหล่อนจะเป็นคนแบบนี้มาโดยตลอด แค่หัวเราะออกมาดังๆ มันก็จะดีเอง แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แค่ร้องไห้โวยวายออกมา ไม่นานก็จะลืมมันไป
แต่สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่บริสุทธิ์ใสซื่ออย่างนี้ เขาจะทนให้สิ่งที่ชั่วร้ายนั้นแปดเปื้อนหล่อนได้อย่างไร?