ในห้องที่ไม่กว้าง ไม่มีแสงส่องเข้ามาแม้แต่นิดเดียว แต่ละที่ก็ได้เงียบจนน่ากลัว ได้ยินแค่เสียงลมหายใจของตัวเอง
ชางฉิงได้ถูกขังที่นี่สองคืนหนึ่งวันแล้ว ระหว่างนั้น นอกจากคนที่ได้มาส่งอาหารแล้วน้ำ เธอนั้นไม่มีทางที่ได้เจอกับคนภายนอกเลย
“ปล่อยฉันออกไป” ชางฉิงก็ได้ทุบไปที่ประตู เธอขังอยู่ที่นี่ ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่ชั่วโมงแล้ว แต่ว่าไม่มีคนมาสอบสวน เดิมที่เธอก็ได้เตรียมคำตอบพวกนั้นไว้แล้วแล้วก็ได้ฝึกฝนอยู่ในใจไปหลายหน แต่ก็ไม่มีคนมาสักที
เวลาก็ได้ผ่านไปทีละนาที ความรู้สึกปลอดภัยในใจของเธอก็ได้ถูกความมืดกับความเงียบโจมตี
เธอถึงขั้นไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ถ้าเกิดชางหลิงกับโหมวยู่คิดที่จะขังเธอไปแบบนี้ตลอด งั้นเธอจะทำยังไงดี?
“ช่วยด้วย มีคนอยู่ไหม?” ชางฉิงก็ได้ตะโกนร้องต่อ
แต่ที่ตอบกลับเธอนั้น ก็ยังเป็นความเงียบที่ไม่มีที่สิ้นสุด
และแล้ว ตอนที่ความหวังของเธอได้กลายเป็นฝุ่นแล้วนั้น อยู่ๆ ด้านนอกก็ได้มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ชางฉิงก็ได้ลุกขึ้นแล้วก็เดินถอยหลัง จากนั้น ประตูก็ได้ถูกเปิดออก
แสงสีเหลืองตรงทางเดินข้างนอกก็ได้ส่องเข้ามา ร่างที่สูงใหญ่ของโหมวยู่ ฉู่ฉือได้เดินตามหลังเขา ทั้งสองก็ได้ยืนอยู่ที่ประตู
“โหมวยู่……” สีหน้าของชางฉิงก็ได้ซีด “นาย ในที่สุดนายก็มาสักที”
ตั้งแต่รู้ว่าชางหลิงกับโหมวยู่คบหากัน ชางฉิงก็ไม่ได้มีความหวังอะไรกับโหมวยู่แล้ว ถึงขั้นมีความกลัวเล็กน้อย ยังไงซะ ที่เธอโดนเหยียบหยาบขนาดนั้น ในนั้นมีความดีความชอบของโหมวยู่อยู่ด้วย
ผู้ชายที่น่ากลัวขนาดนี้ ตกอยู่ในมือของเขา เธอนั้นไม่มีทางที่จะต่อกรได้เลย
โหมวยู่ไม่ได้ตอบ ห้องนี้ได้โล่งเอามากๆ ผนังหุ้มด้วยโฟมกันเสียง ในห้องมีแต่เก้าอี้ที่ไม่มีที่พิงหลังตัวหนึ่ง มีกล่องอาหารเปล่าที่ย่อยสลายความธรรมชาติได้บนพื้น เพราะว่าอากาศในห้องไม่ถ่ายเท ก็ได้อับร้อนไปบ้างอย่างเห็นได้ชัด
เขาได้จ้องชางฉิงที่อยู่ตรงหน้า เธอยังสวมชุดป้องกันที่ได้สวมไปที่บริษัทชางซื่อวันนั้นอยู่ ถึงแม้ว่าใกล้ฤดูหนาว แต่ถ้าอยู่ในห้องแบบนี้มันก็ได้หนาไปหน่อย เพราะงั้น ผมของเธอนั้นก็ได้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ แปะไปที่หน้าผาก มองแล้วดูอ่อนแอมากๆ
“ก็ได้ผ่านไปสี่สิบชั่วโมงแล้ว ฉันเดา ตอนนี้เธออยากจะไปเข้าห้องน้ำเอามากๆ” น้ำเสียงของโหมวยู่ก็ได้เรียบ
ในห้องนี้ไม่มีห้องน้ำ คนธรรมดา ยากที่จะอดทนไม่เข้าห้องน้ำนานสี่สิบชั่วโมงได้
ตั้งแต่เกิดเรื่องถึงตอนนี้ โหมวยู่ก็แค่สั่งให้ขังชางฉิงไว้ที่นี่ ไม่ได้ให้ทำเรื่องที่รุนแรงกับเธอ
เพราะว่าเขารู้ บางครั้ง ทำให้คนสิ้นหวังทางจิตใจ ได้ผลกว่าความเจ็บปวดบนร่างกายมาก
ตามที่คาดการณ์ไว้ สีหน้าของชางฉิงก็ได้หดหู่เล็กน้อย เธอได้คิดแต่เรียกคนมา และก็เพราะว่าคนนั้นมีความรีบร้อนสามอย่าง ในห้องนั้นอับร้อน เธอออกเหงื่อมากเกินไป อาหารที่ส่งมาก็มีแต่น้ำแกง เธอดื่มมากไป ตอนนี้ก็ได้อั้นจนปวดท้องไปหมด
แต่ว่า คุณหนูที่ได้เลี้ยงดูมาอย่างตามอกตามใจแบบเธอ ไม่มีทางที่จะทำการปล่อยในห้องแบบนี้ได้
“นายอยากจะทำอะไรกันแน่?” ต่อให้ชางฉิงโง่ขนาดไหน ก็รู้ว่าทั้งหมดโหมวยู่จงใจทำ
ฉู่ฉือก็ได้เอาเก้าอี้มาอีกตัว โหมวยู่นั่งลง ไฟแช็กในกระเป๋าก็ได้เอาออกมาเล่นในมือ
ชางฉิงจำไฟแช็กนี้ได้ ทุกครั้งที่โหมวยู่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ คิดที่จะวางแผนจัดการกับเธอนั้น ก็ได้เอาไฟแช็กอันนี้มาเล่นอยู่ในมือ
“บอกมา เรื่องนี้ มีคนเกี่ยวข้องด้วยไหม?” โหมวยู่เงยหน้ามามอง ก็ได้สบตากับเธอ
“……” ชางฉิงก็ได้ถอยไปหนึ่งก้าว ลังเลแล้ว
“ตอนที่เกิดเรื่อง คนที่ได้โวยวายอยู่ข้างนอกฉันได้จับตัวหมดแล้ว พวกเขานั้นเป็นแก๊งโวยวายมืออาชีพ พากันรับเงินแล้วก็ไปโวยวายที่หน้าโรงพยาบาลใหญ่ๆ พวกเขานั้นก็ได้เรียกร้องความสนใจเพื่อสร้างโอกาสให้เธอ”
ไฟแช็กในมือของโหมวยู่ได้จุดแป๊บเดียวก็ได้มีไฟ
“แล้วก็ยังมีอควารีเจียในมือของเธอ กรดที่แรงขนาดนั้น ยากที่จะเก็บไว้ได้นาน ต้องการคนผสมในเวลาสั้นๆ เรื่องที่ชางหลิงไปบริษัทชางซื่อเป็นเรื่องที่กะทันหัน ขนาดฉันก็รู้ตอนที่เธอกำลังจะออกมาจากบ้าน เพราะงั้น แค่เธอคนเดียว ไม่มีทางที่จะวางแผนมากมายขนาดนี้ได้เวลาสั้นๆ ได้”
ร่างกายของชางฉิงได้สั่น เธอได้กุมท้องของตัวเอง ค่อยๆ นั่งลงไปกับพื้น
“ฉัน……ฉันอยากจะไปเข้าห้องน้ำก่อน รอฉันกลับมา ฉันต้องบอกนายแน่ๆ” ชางฉิงก็ได้รู้สึกทรมานมาก
“ที่จริงฉันรู้ว่าทำไมเธอถึงไม่ว่าบอกฉัน” โหมวยู่ยิ้ม ไฟบนไฟแช็กก็ได้ดับลง “คนคนนั้น น่าจะรับปากเธอไว้ว่า ขอแค่เธอไม่ได้ขายหล่อนออกไป หล่อนก็จะคิดหาวิธีช่วยเธอ”
ความคิดของชางฉิงได้ถูกจับได้ สายตาได้สั่นไหวเล็กน้อย
“ก็ได้ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว เธอเดาสิ หล่อนนั้นยังจะมาช่วยเธอไหม?” โหมวยู่ถามเธอ รอยยิ้มที่มุมปากก็ได้น่ากลัว
“โหมวยู่!” ชางฉิงจ้องเขากลับ “เรื่องพวกนี้ฉันเป็นคนทำเองคนเดียว ที่ฉันทำขนาดนี้ เป็นนายที่บังคับฉัน ถ้านายไม่ได้มาเล่นกับความรู้สึกของฉัน ถ้าไม่ใช่นายที่เอาฉันเป็นที่กำบังทำให้ฉันได้เจอกับความทรมานพวกนั้น ฉันก็ไม่มีทางที่จะลงมือฆ่าชางหลิงหรอก!”
“ฉันบังคับเธอ?” โหมวยู่รู้สึกว่าอยากขำ “ฉันจำได้ว่า วันนั้นที่ร้านกาแฟ เธอก็ได้คิดที่จะจัดการกับชางหลิงแล้วไม่ใช่เหรอ? เขานั้นก็แค่สวนกลับไปตามปกติ ก็ทำให้เธอเกลียดจนเข้ากระดูกได้ขนาดนี้ เพราะงั้น มีฉันหรือไม่ มันสำคัญขนาดนั้นเหรอ?”
ชางฉิงถูกคำพูดของโหมวยู่ตอกกลับจนพูดไม่ออก
“คนอย่างเธอแบบนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ได้หาเหตุผลให้ตัวเอง” โหมวยู่ก็ได้จุดไฟแช็กอีกครั้ง “แต่ว่านะ ที่จริงเธอไม่พูดก็ไม่เป็นไร ในใจของฉันก็ได้มีคำตอบตั้งแต่แรกแล้ว คำให้การของเธอ ไม่ค่อยสำคัญ”
“โหมวยู่!” ชางฉิงจ้องมองเขา “นายอย่าคิดว่าตระกูลนายมีชื่อเสียงแล้วก็เงินทองแล้วจะทำอะไรก็ได้ ฉันไม่มีทางที่จะล้มลงง่ายขนาดนี้!”
โหมวยู่ค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วก็เดินไปข้างเธอทีละก้าว
“หล่อนได้บอกกับเธอใช่ไหมว่า น้ำกรดที่ให้เธอเป็นน้ำกรดธรรมดา ทำให้ชางหลิงเสียโฉมเท่านั้น ไม่ได้อันตรายถึงชีวิต?” น้ำเสียงของโหมวยู่ได้นิ่งเรียบ “ไม่อย่างนั้น เธอก็ไม่มีทางที่จะโดนหล่อนจูงเขาได้ง่ายๆ เธอคิดว่านี่อย่างมากก็แค่โทษทำร้ายคนโดยเจตนา หาคนที่มีความสามารถหน่อยมาเป็นที่พักพิง เธอคิดว่าแบบนี้ก็ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแล้ว”
ชางฉิงพูดไม่ออก
ขนาดรายละเอียดแบบนี้โหมวยู่ก็ได้รู้ทั้งหมด หรือว่า ได้รู้เรื่องทั้งหมดจริงๆ แล้ว?
“แต่ว่าน่าเสียดาย เธอโดนหลอกแล้ว ของที่อยู่ในมือของเธอ ได้ฆ่าหยูเฉินตาย คนมากมายในบริษัทชางซื่อก็ได้พากันมองเห็นกับตา เธอถูกคนของฉันจับด้วยเลยทันที ฆ่าคน โทษถึงตายนะ……” เสียงของโหมวยู่ไม่ดังมาก แต่ก็ทำให้ร่างกายของชางฉิงนั้นขนลุก
ชางฉิงก็ยังไม่ตอบเหมือนเดิม ตอนที่เธอได้สาดของเหลวออกไปนั้น ตัวเองก็ได้อึ้งไป เธอคิดไม่ถึงว่าของเหลวนั้นจะมีฤทธิ์ที่ร้ายแรงขนาดนี้ ตอนที่หยูเฉินตาย เธอก็รู้แล้วว่าตัวเองโดนหลอกแล้ว
แต่ว่าเรื่องก็ได้ทำไปแล้ว ตอนนี้ เธอนอกจากหวังว่าคนคนนั้นจะใจดีเห็นใจแล้วให้ทางรอดกับเธอ ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว
“ตั้งแต่แรกหล่อนนั้น ก็ไม่เคยที่จะคิดช่วยเธออยู่แล้ว หล่อนก็แค่อยากให้เธอแบกโทษฆ่าคนไว้ นกปากซ่อมและหอยต่อสู้กัน คนที่ตกปลาได้ผลประโยชน์”
เดิมชางฉิงก็ได้ร้อนรนอยู่แล้ว พอโหมวยู่มาพูดแบบนี้ ก็ได้ทำให้จิตใจเธอสิ้นหวังจนถึงขีดสุด ความอยากเข้าห้องน้ำก็ได้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
“สี่สิบชั่วโมงนี้เธอรู้สึกยังไง? การที่ได้โดนขังราวกับสัตว์เดรัจฉานแบบนี้ เธอชอบไหม?”
“นายหยุดพูดได้แล้ว หยุดพูด……” ชางฉิงก็ได้ขาอ่อนนั่งไปกับพื้น เขาได้กระชากขากางเกงของโหมวยู่ ไม่ได้เสียงแข็งเหมือนก่อนหน้า “ให้ฉันไปเข้าห้องน้ำเถอะ ขอร้องล่ะ”