โหมวยู่ยอมรับโดยปริยาย
“ก่อนหน้านี้ฉันเคยหาข้อมูลของตระกูลเสิ่นในอินเทอร์เน็ต เมื่อสิบปีก่อน สถานะของตระกูลเสิ่นในเมืองเป่ยหยวน สามารถเทียบเท่ากับตระกูลโหมวในตอนนั้นได้เลย ครอบครัวที่ใหญ่ขนาดนี้ ทำไมจู่ๆถึงหายไปล่ะ?”
บริษัทของตระกูลเสิ่นกำลังเฟื่องฟูในเวลานั้น โดยหลักแล้ว ควรจะถือโอกาสพัฒนาธุรกิจทางครอบครัวโดยเร็วสิ แล้วทำไมถึงออกจากเมืองเป่ยหยวนไปกะทันหัน?
“นี่เป็นจุดที่ผมก็รู้สึกแปลกเหมือนกัน” โหมวยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เหตุผลใด ที่ทำให้ครอบครัวธุรกิจต้องละทิ้งรากฐานเดิมทั้งหมดที่สร้างมา”
ชางหลิงครุ่นคิด
“ถ้าเป็นนาย อยากให้ เซิ่งซื่อหายสาบสูญไปจากสายตาของผู้คน ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่?” ชางหลิงเงยหน้าขึ้นถามเขา
โหมวยู่เข้าใจความหมายของชางหลิง และคำนวณคร่าวๆจึงตอบ “สามปี”
“ดังนั้น ดูตามสถานะของตระกูลเสิ่นในเวลานั้นแล้ว หากต้องการหายสาบสูญไปอย่างไม่ทิ้งร่องรอย เป็นไปได้ที่ว่าจะพวกเขาจะเตรียมการล่วงหน้าสองปี และสิบสี่ปีก่อนหน้านั้น……” จู่ๆชางหลิงก็ตระหนักอะไรบางอย่างได้ “เมื่อสิบสี่ปีก่อน เป็นเวลาที่คุณแม่ของฉันเสียไปพอดี”
หรือว่าการตายของคุณแม่ จะเกี่ยวข้องกับตระกูลเสิ่น?
แล้วความสัมพันธ์ในเชิงเหตุและผลในนั้นต้องคิดยังไง? เป็นเพราะว่าตระกูลเสิ่นตัดสินใจถอนตัวกระตุ้นโดนคุณแม่ หรือเพราะว่าการตายของคุณแม่ทำให้ตระกูลเสิ่นถอนตัวออกไป?
“ฉู่ฉือสืบเจอร่องรอยของตู้เว่ยหรัน ตอนนี้เขาอยู่ที่ลอสแอนเจลิสในสหรัฐอเมริกา แต่ว่า……” โหมวยู่ลังเลที่จะพูดออกมา
“ตอนนี้เขาอายุห้าสิบสองปีแล้ว และป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์เมื่อปีก่อน”
ความหวังในใจของชางหลิงดับลงอีกครั้ง
โรคอัลไซเมอร์ นั่นมันโรคสมองเสื่อมไม่ใช่เหรอ?
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้?” ชางหลิงอึ้ง “ทุกคนในตระกูลเสิ่นหายไป แม้แต่คนเดียวที่รู้ความจริงกลับจำอะไรไม่ได้อีก งั้นตัวตนของฉันและการตายของคุณแม่ฉัน ก็หาความจริงไม่เจองั้นเหรอ?”
โหมวยู่รู้สึกว่า ตระกูลเสิ่นในเวลานั้น ต้องพัวพันกับเรื่องบางอย่างที่น่ากลัวแน่ๆ และเรื่องนี้ เป็นไปได้อย่างสูงที่จะเกี่ยวข้องกับเสิ่นวั่นชิงและตัวตนของชางหลิง
“คุณวางใจได้ ผมให้ฉู่ฉือคอยติดตามอยู่ตลอดเวลา ถ้ามีข่าวอะไร ผมจะแจ้งคุณทราบทันที” โหมวยู่ไม่กล้าบอกการคาดเดาของเขาให้กับชางหลิง
สถานการณ์ในตอนนี้ของเธอหัวลุกเป็นไฟอยู่แล้ว เรื่องของตระกูลเสิ่นก็คาดเดาไม่ได้ เขาจะไม่ยอมให้ชางหลิงตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายอื่นอีก
“ก็คงต้องเป็นแบบนี้แหละ” ชางหลิงถอนหายใจ
แม้ว่าเธอก็สงสัยเหมือนกันว่าตัวตนของเธอคืออะไรกันแน่ แต่ว่า แม้แต่เรื่องที่โหมวยู่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วเธอจะมีวิธีอะไรอีกล่ะ? ——
สัปดาห์ใหม่มาถึง เมื่อได้รับอนุญาตจากโหมวยู่ ชางหลิงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในอาคาร เซิ่งซื่อ
“โอ๊ะ นี่ใครน่ะ ฉันนึกว่าใครบางคนจะถูกไล่ออกแล้วซะอีก” เพิ่งจะได้นั่งลงตำแหน่งทำงานของตัวเอง น้ำเสียงประชดประชันของหลิวจื่อเวยก็ลอยมา
ชางหลิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ชีวิตและความตายพลิกผันทั้งเดือนนี้ เธอได้ผ่านมาประตูนรกไปหลายครั้ง ถ้าเทียบกับชีวตที่เร้าใจแบบนั้นแล้ว เธอคิดถึงความปากหวานก้นเปรี้ยวในออฟฟิศนี่จริงๆ
“ใช่ไง เห็นฉันไม่ถูกไล่ออก เธอโมโหละสิ” ชางหลิงเผยรอยยิ้มที่สดใสออกมา เถียงกลับอย่างไม่เกรงกลัว
หลิวจื่อเวยตาเขียว มองเธออย่างเกรี้ยวกราด
“มีอะไรน่าอวด ก็แค่เด็กฝึกงาน ไม่มาทำงานตั้งหนึ่งเดือนแต่ยังไม่โดนไล่ออก ยังเข้าข่ายการแข่งขันออกแบบด้วย ดูก็รู้ว่ามีเส้นมีสาย”
ชางหลิงได้ยินแล้วก็ไม่โกรธ ยิ้มแล้วตอบ “ถึงฉันจะมีเส้นมีสายแล้วมันทำไม? มันก็ต้องมีเส้นมีสายดึงฉันเข้าสิ ถ้าเธอมีปัญญาละก็ เธอก็ได้เหมือนกันนะ”
“แก!” หลิวจื่อเวยโมโหเธอมาก “คนครั้งก่อนชางฉิงที่ใช้เส้นสายถูกไล่ออกจากเซิ่งซื่อไป และยังกลายเป็นฆาตกร แกคิดว่าแกจะอวดเก่งได้ถึงเมื่อไหร่?”
แววตาของชางหลิงเย็นชาขึ้นมา รอยยิ้มค่อยๆจางหายไป “ใช่สิ ฆาตกร เธอยังกล้าร้องเอะอะต่อหน้าฉัน ไม่กลัวว่าฉันจะกลายเป็นฆาตกรเหมือนกันหรือไง?”
การคุกคามในแววตานั่นเผยให้เห็นอย่างชัดเจน หลิวจื่อเวยตกใจจนสีหน้าซีดขาวขึ้นมา
“ทะเลาะอะไรกัน?” ถงเอินโผล่ตัวบนชั้นสามเป็นครั้งแรก เดิมทีคนที่ฟังชางหลิงกับหลิวจื่อเวยพูดคุยกัน ก็เงียบทันที
“ผู้อำนวยการถง” ท่าทีของหลิวจื่อเวยเปลี่ยนไปทันที ท่าทีเคารพนับถือถงเอิน
“อั๊ยยะ ชางหลิงเธอกลับมาแล้วเหรอ” เมื่อเห็นชางหลิง ถงเอินก็ตกใจเหมือนกัน “ฉันเกือบลืมไปแล้วว่าเธอหน้าตาแบบไหน”
เอ่อ……
ชางหลิงหมดคำพูด
“อ่ะ นี่เป็นเอกสารจัดการในการจัดงานมิลานแฟชั่นเฟสติวัล” ถงเอินเอาเอกสารให้ชางหลิงและหลิวจื่อเวย “ในทีมที่สามของพวกเรานั้นมีนักออกแบบใหม่สองคนที่เข้ารอบ นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นจึงถูกให้ความสำคัญมาก แต่ว่า พวกเธอสองคนก็อย่ากดดันไปนะ พยายามให้ดีที่สุดก็พอ ฉันไม่ขอให้ประสบความสำเร็จในทีเดียวเลย แต่อย่าเป็นอันดับสุดท้ายก็พอ”
ชางหลิงรับเอกสารมา กวาดตามองหลิวจื่อเวยทีหนึ่ง
เธอคิดไม่ถึงเลยว่า หลิวจื่อเวยคนนี้ ก็มีความสามารถอยู่เหมือนกัน ได้รับสิทธิ์เข้าแข่งขันงานมิลานแฟชั่นเฟสติวัลด้วย
“ผู้อำนวยการถง ฉันจะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน ถึงเวลานั้น ฉันจะคว้าถ้วยรางวัลกลับมา สร้างชื่อเสียงให้ทีมที่สามของพวกเราแน่นอน” หลิวจื่อเวยยิ้มอย่างประจบสอพลอ
ถงเอินมองหลิวจื่อเวยอย่างกับมองตัวประหลาด แล้วยักไหล่ “งั้นก็ แล้วแต่เธอเลย”
หลิวจื่อเวยก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าถงเอินจะแสดงสีหน้าอย่างนี้ ชางหลิงเปิดดูเอกสาร หลุดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“งานมิลานแฟชั่นเฟสติวัลนี้ ใช้เวลาหนึ่งเดือน มีนักออกแบบเข้าร่วมมากกว่าห้าร้อยคนทั้งรายใหญ่และรายเล็ก ล้วนเป็นบุคคลมากความสามารถที่มาจากทั่วทุกมุมโลก ในนั้นยังมีรุ่นพี่ที่ได้รับรางวัลมากมายจากการแข่งขันแฟชั่นครั้งสำคัญในอดีต แค่ในสนามแข่งก็มีประมาณแปดสิบกว่าคนแล้ว……”
ขณะที่ชางหลิงพูด สีหน้าของหลิวจื่อเวยค่อยๆตึงขึ้นมา
“พี่จื่อเวย สู้ๆนะคะ” ชางหลิงให้กำลังใจเธอ
เธอรู้ข้อมูลของการแข่งขันแฟชั่นนี้จากโหมวยู่มาล่วงหน้าแล้ว การแข่งขันที่ใหญ่ระดับนี้ จะจัดขึ้นทุกๆห้าปีเท่านั้น ไปแข่งขันครั้งนี้ ชางหลิงแค่อยากจะไปเปิดหูเปิดตา มีเพียงหาประสบการณ์ในโลกภายนอกที่กว้างใหญ่ ถึงจะสามารถเรียนรู้ทักษะเพิ่มเติมได้มากขึ้น
ในห้องทำงานมีเสียงหัวเราะที่กลั้นเอาไว้ หลิวจื่อเวยรู้สึกขายหน้า จึงกลับที่นั่งอย่างโกรธเคือง
“ชางหลิง เธอมาที่ห้องทำงานของฉันหน่อย” ถงเอินไม่ได้พูดอะไรเยอะ มือกอดอกแล้วเดินออกไป
จู่ๆชางหลิงที่ถูกเรียก ไม่ทันได้ตั้งตัว
ถงเอินเรียกเธอเหรอ?
หลิวจื่อเวยยิ้มอย่างเย็นชา เมื่อเห็นว่าชางหลิงเดินออกไป ก็ส่งเสียงดัง
“ใครๆก็รู้ว่า ผู้อำนวยการถงของเรา ไม่ชอบคนที่เข้ามาด้วยเส้นสายที่สุด คาดว่า คนบางคนคงจะถูกด่าซะเละเลยมั้ง”
ชางหลิงไม่ได้สนใจเธอ เดินตรงไปที่ลิฟต์
ถ้าเทียบกับความคึกคักของตึกชั้นล่าง ห้องทำงานของผู้อำนวยการดูเงียบงันอย่างเห็นได้ชัด
ชางหลิงเคาะประตูอย่างกังวลใจ หลังจากได้รับคำตอบของถงเอิน เธอจึงเดินเข้าไป
“ผู้อำนวยการ”
“นั่งสิ” ถงเอินลุกขึ้นมา ชี้ไปที่โซฟา
ชางหลิงและถงเอินไม่ค่อยได้ติดต่อกัน การพูดคุยครั้งล่าสุด คงอยู่ในห้องทำงานของชางฉิง ในตอนนั้น นางยังช่วยชางฉิงพูดอยู่เลย
ชางหลิงรู้ว่านิสัยนางอะไรก็ได้ ไม่ค่อยสนใจใคร แต่เธอรู้ว่า ยิ่งภายนอกดูไม่เป็นอันตรายมากเท่าไหร่ แผนการในใจก็ยิ่งลึกซึ้งมากกว่าเท่านั้น ที่เธอสามารถขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการนี้ได้ ต้องมีวิธีของเธอแน่นอน
“อันที่จริงที่เรียกเธอมา แค่อยากจะให้เธอช่วยเรื่องเล็กน้อยหน่อยน่ะ”
ถงเอินเปลี่ยนภาพลักษณ์ที่ดูก้าวร้าวดุดัน เผยความอ่อนโยนในตัวผู้หญิงและความเขินอายบนปลายหางตาเล็กน้อย
ชางหลิงรู้สึกประหลาดใจเข้าไปใหญ่ “ช่วยเรื่องอะไรคะ?”
“โหมวยู่ไม่เคยบอกเธอใช่ไหมว่า ฉันกับเขาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยประถม?” ถงเอินทำตาวิ้งใส่เธอ
“เพื่อนตอนประถม?” ชางหลิงตะลึง
แต่แล้ว สิ่งที่ทำให้เธอตะลึงไปมากกว่าคือ ความหมายโดยนัยในคำพูดของถงเอิน หรือว่า นางจะรู้แล้วว่าเธอกับโหมวยู่……
“ไม่ต้องตกใจ” ถงเอินตบไหล่เธอ “เรื่องของพวกเธอสองคน จะปิดบังตาทิพย์ของฉันได้อย่างไร ตั้งแต่ที่เธอเข้ามาในเซิ่งซื่อฉันก็เริ่มสังเกตเธอแล้ว”
“ฮะ?” ชางหลิงตื่นตลึง เธอเผลอเปิดเผยความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติระหว่างเธอและโหมวยู่นี่เมื่อไหร่กัน
“ฉันรู้ว่าเธอใกล้ชิดกับโหมวยู่มาก ดังนั้น แค่อยากจะถามข่าวคราวเกี่ยวกับเทพบุตรของฉันหน่อยน่ะ……” ถงเอินพลางพูด ดวงตาก็เปล่งประกายหัวใจสีแดง
“เทพบุตร?” คิ้วของชางหลิงขมวดขึ้น “เทพบุตรของคุณคือใครเหรอคะ?”
คงไม่น้ำเน่าแบบนี้เหรอมั้ง หรือว่าเธอจะมีศัตรูเพิ่มเหรอ? เจ้านายของเธอ ก็เป็นแฟนคลับของโหมวยู่เหรอ?
ถ้าเป็นแบบนั้นเธอคงซวยเกินไปแล้วแหละ ไหนยังอยากจะสร้างผลงานชิ้นเด่นในเซิ่งซื่อ ดูท่าแล้ว เธอไม่ถูกกลั่นแกล้งจนตายก็ถือว่าดีแล้ว
ถงเอินเชิดคางขึ้นอย่างหยิ่งยโส พูดอย่างภาคภูมิใจ “เทพบุตรของฉัน ก็คงต้องทำงานกับโหมวยู่คุณชายรองโหมวประธานของบริษัท เซิ่งซื่อ กรุ๊ป……”
ชางหลิง “!!!”
“เลขาระดับพิเศษฉู่ฉือนั่นเอง”