“เธอกำลังจะบอกว่า…เธอถูกวางกับดักเหรอ” ซูเสี่ยวเฉิงดวงตาเบิกกว้าง
“เอาล่ะ เรื่องมันวุ่นวายแบบนี้แล้วมันก็ไม่มีทางเลือกอื่น เมิ่งเคอ คุณกลับไปคิดทบทวนก่อนสักสองสามวัน ช่วงนี้ไม่ต้องมาบริษัท” มู่ซานบอก
“แล้วแต่คุณ” เมิ่งเคอยิ้มเยาะ “ยังไงไม่ว่าเมื่อวานจะมีอุบัติเหตุหรือไม่ ผอ.มู่ก็ตัดสินใจเองไปก่อนอยู่แล้วนี่”
“คุณ…” เมิ่งเคอทำให้มู่ซานสำลัก แต่เมิ่งเคอกลับไม่ให้โอกาสเธอได้โต้แย้ง หันหลังจะเดินจากไป
“รอเดี๋ยวค่ะ!” เสียงใสกังวานดังมาจากฝูงชน ทุกคนต่างถูกคำพูดนี้ดึงดูด ทยอยกันหันไปมองยังทิศทางนั้น
“คุณเมิ่ง รอก่อนค่ะ” ชางหลิงแหวกฝูงชนออกมา เดินเข้าไปหาเมิ่งเคอ
“เสี่ยวหลิงหลิง เธอจะทำอะไร” ซูเสี่ยวเฉิงประหลาดใจกับการกระทำของชางหลิง
“บาดแผลบนใบหน้า ไม่จำเป็นต้องส่งผลกระทบต่อเกมการแข่งขันเสมอไปนะคะ” ชางหลิงเดินเข้าไปดึงแขนของเมิ่งเคอ
“คุณเป็นใคร” มู่ซานสีหน้าไม่พอใจ เธอกวาดตามองชางหลิง “คุณไม่ได้เป็นนางแบบในแผนกโมเดลของเรา”
“ผอ.มู่” หยูหวั่นเอ๋อเข้ามาใกล้มู่ซาน แล้วกระซิบข้างหูเธอ
มู่ซานฟังที่หยูหวั่นเอ๋อกระซิบบอก แล้วสีหน้าท่าทีก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
“ที่จริงฉันไม่ใช่นางแบบ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ แค่บังเอิญผ่านมาเจอ แต่เห็นพวกคุณหลายคนรุมรังแกเพื่อนร่วมงานคนนี้ ก็เลยอยากจะพูดในสิ่งที่ถูกต้อง” ชางหลิงสุขุมนิ่งสงบ
เมิ่งเคอหันข้างเล็กน้อย มองชางหลิงที่ยืนอยู่ข้างตัวเธอพร้อมกับขมวดคิ้วบางเบา
“ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับคุณ” มู่ซานกอดอก เธอหรี่ตาลงมองอย่างดูถูก “เป็นแค่เด็กฝึกงานเล็กๆ ในแผนกออกแบบ อย่าคิดว่าคุณสมบัติการประกวดจากมิลานจะสามารถเอามาชี้นิ้วกะเกณฑ์ฉันที่นี่ได้นะ”
“ฉันไม่ได้เจตนาจะชี้นิ้วกะเกณฑ์คุณ เพียงแต่เมื่อครู่พวกคุณไม่ให้เมิ่งเคอขึ้นเวทีเพราะบาดเจ็บบนใบหน้า แบบนี้มันไม่สมเหตุสมผลหรอกเหรอ มีกฎข้อไหนกันที่บอกว่าถ้าบาดเจ็บที่ใบหน้าจะเข้าร่วมการแข่งขันไม่ได้” ชางหลิงจ้องหน้ามู่ซานอย่างเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม เธอเหลือบมองแอวริลกับหยูหวั่นเอ๋อเล็กน้อย
“คนเป็นนางแบบ สิ่งสำคัญที่สุดคือหน้าตา! คุณอยากให้พวกคนข้างนอกที่มาดูโชว์เดินแบบรู้ว่านางแบบของเซิ่งซื่อเราจมูกเขียวหน้าบวมงั้นเหรอคะ อยากให้พวกเขามีข้อสงสัยในลักษณะของนางแบบเราหรือไง”มู่ซานพูดด้วยหน้าขรึม
เมิ่งเคอลดสายตาลงเล็กน้อย ดึงแขนเธอออกจากมือของชางหลิง “คุณผู้หญิงท่านนี้ นี่เป็นเรื่องของฉันเอง ฉันกับคุณไม่รู้จักกัน คุณไม่ต้องยื่นมือเข้ามายุ่งหรอกค่ะ”
เธอวางตัวห่างเหิน ท่าทางระแวดระวังตัว
ชางหลิงยิ้ม เธอไม่ได้อยากจะยุ่งวุ่นวายเรื่องของเมิ่งเคอ แต่ซูเสี่ยวเฉิงบอกว่ามู่ซานเป็นคนของโม่โม่ ปีศาจอุตส่าห์มาเยือนถึงที่ถ้าเธอไม่ตี แล้วจะสะสมเลเวลเกมให้ตัวเองได้อย่างไรกันล่ะ
“ฉันก็ไม่ได้อยากยื่นมือเข้ามายุ่งหรอกค่ะ เพียงแต่เล่ห์กลแบบนี้ฉันเห็นมาเยอะ ทั้งที่รู้ว่าคุณได้รับความไม่เป็นธรรมแต่ไม่ยื่นมือช่วยเหลือ มันไม่ใช่สไตล์ของฉันค่ะ”
“คุณต้องการอะไร” แอวริลถามเธออย่างอวดดี
“ง่ายมาก เพื่อคงคุณสมบัติการเข้าแข่งขันได้ของเมิ่งเคอเอาไว้ ยังไงเสื้อผ้าของพวกคุณผู้เข้าแข่งขันก็ถูกสุ่มเลือกมาจากผลงานดีไซเนอร์ใหญ่ของเซิ่งซื่อ ฝีมือที่เป็นของจริง จะได้เห็นบนเวที” ชางหลิงพูดอย่างไม่รีบร้อนไม่เชื่องช้า
“เลิกล้อเล่นได้แล้ว” เมิ่งเคอมองอย่างเย็นชา “ตอนนี้ฉันเป็นแบบนี้ จะมีดีไซเนอร์คนไหนยินดีส่งผลงานให้ฉัน” ถ้าเสื้อผ้าของใครอยู่บนตัวนางแบบที่น่าตลก ตัวเองก็จะกลายเป็นตัวตลกไปด้วย ทำดีไม่ได้ดีใครจะทำ
“ถ้าคุณไม่รังเกียจ ฉันยินดี” ชางหลิงมองเธออย่างจริงจัง
เมิ่งเคอเพิ่งได้มองดูหญิงสาวตรงหน้าอย่างละเอียด เธอตัวไม่สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัดส่วนหัวจดเท้าไม่ได้โดดเด่นเมื่ออยู่ในหมู่นางแบบ ใบหน้ามีแก้มดูเป็นเด็กเหมือนสาวน้อยวัยรุ่น เพียงแต่ดวงตาคู่นั้นใสสะอาดราวกับทะเลสาบ ดูเหมือนว่าแค่เห็นเพียงแวบแรกก็สามารถมองออกได้ว่าเป็นคนทุ่มเทแน่วแน่
“นี่เป็นรอบไฟนอล จะปล่อยให้เด็กฝึกงานอย่างคุณมาวิ่งเล่นที่นี่ได้ยังไง และอีกสองชั่วโมงโชว์เดินแบบจะเริ่มแล้ว คุณคิดว่าคุณยังจะสามารถช่วยกอบกู้อะไรได้” มู่ซานมีท่าทีเฉียบขาด
“คุณไม่ให้ฉันลองดูแล้วก็ให้เมิ่งเคอเลิกแข่งขัน เพราะเพื่อชื่อเสียงของเซิ่งซื่อหรือเพราะคุณไม่อยากให้เมิ่งเคอขึ้นเวทีกันแน่” ชางหลิงจี้จุดสำคัญ โต้กลับอย่างตรงไปตรงมา
“คุณ คุณพูดไร้สาระ” มู่ซานโกรธจนหน้าคล้ำหน้าดำ
“พวกคุณกำลังทำอะไรกัน” ชายหนุ่มคนหนึ่งเข้าประตูมาช้าๆ พร้อมกับเสียงทุ้มน่าดึงดูด ทำให้การพิพาทของทุกคนถูกระงับทันที
“คุณชายฉี่” มู่ซานเป็นคนแรกที่เห็นคนเข็นรถเข็นเข้ามาประตูมา เปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือโดยทันที ก้มศีรษะอย่างสุภาพ
คุณชายฉี่เหรอ พี่ชายของโหมวยู่น่ะเหรอ
ชางหลิงชะงักไป เธอค่อยๆ หมุนตัวช้าๆ หันหลังไปทางประตู
ชายหนุ่มสวมเสื้อสเวตเตอร์คอเต่า สันกรามคมเสียดสีกับคอเสื้อ ดวงตาลุ่มลึกหาใดเปรียบ เขานั่งอยู่บนรถเข็น แต่กลับไม่ส่งผลต่อความสูงศักดิ์ของเขาเลยแม้แต่น้อย
ชางหลิงเบิกตากว้าง
นั่นคือ…พี่เทวดานี่นา เป็นโหมวฉี่จริงเหรอ
“คุณชายฉี่ แค่ปัญหาเล็กน้อยค่ะ ใบหน้าของนางแบบคนนี้บาดเจ็บ ฉันคิดถึงสถานการณ์โดยรวม จึงไม่ให้เธอขึ้นเวที แต่ดันมีเด็กฝึกงานจากแผนกดีไซเนอร์มายุ่งวุ่นวายเรื่องนี้ และยังบอกว่าพวกเราร่วมมือกันกลั่นแกล้งเธอ นี่ไม่ใช่เรื่องตลกหรอกเหรอคะ” มู่ซานเข้าไปอธิบายใกล้ๆ โหมวฉี่
โหมวฉี่เงยหน้าขึ้น เขาเห็นร่างเล็กของชางหลิงอยู่ไกลๆ จึงขอให้เซียวฉู่เข็นเขาเข้ามา เมื่อครู่อยู่หน้าประตู เขาได้ยินการสนทนาของพวกเธออย่างชัดเจนแล้ว
“ทุกอย่างที่เธอพูดเป็นความจริงเหรอ” โหมวฉี่มองไปยังชางหลิง
ชางหลิงเลิกคิ้ว เธอไม่ค่อยเข้าใจ เพราะอะไรในเมื่อเธอเจอโหมวฉี่ถึงสองครั้งแล้วแต่เขากลับไม่ยอมเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกับเธอ แต่เมื่อคิดดูอีกที ถึงแม้เขาไม่ได้พูด แต่เธอก็ไม่ได้ถามไม่ใช่เหรอ
“ค่ะ” ชางหลิงสารภาพอย่างเปิดเผย
“ตายแน่” ซูเสี่ยวเฉิงคว้าจับมือของชางหลิง “ถ้าวันนี้จะต้องเจอคนใหญ่คนโต ตีให้ตายฉันก็ไม่มา”
“คุณชายฉี่” เมิ่งเคอเห็นโหมวฉี่ให้ความสนใจไปที่ตัวชางหลิง จึงรีบก้าวขึ้นหน้ามา “เรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นเพราะฉันเท่านั้นค่ะ คุณผู้หญิงท่านนี้ยังเด็ก คุณอย่าได้ถือโทษนะคะ ฉันยินดีจะถอนตัวจากการแข่งขันค่ะ ได้โปรดยกโทษให้ด้วย”
ชางหลิงไม่ได้คาดหวังว่าเมิ่งเคอจะปกป้องเธอ จึงมองหญิงสาวข้างตัวดีขึ้นอีก
“เธอบาดเจ็บแบบนี้ คุณสามารถให้เธอขึ้นเวทีได้เหรอ” โหมวฉี่ไม่ได้กระเทือนเพราะคำพูดของเมิ่งเคอ ยังคงมองไปที่ชางหลิง
ชางหลิงมองใบหน้าด้านข้างของเมิ่งเคอ จิตใจยังคงแน่วแน่มั่นคง
“ขอความกรุณาให้ลองดู” ผ่านการพบปะกันมาสองครั้ง เธอรู้สึกว่าโหมวฉี่คนนี้เป็นคนนิสัยอ่อนโยน เมื่อเทียบกับโหมวยู่ ถือว่าพูดคุยกันง่ายกว่า
เป็นไปตามคาด โหมวฉี่ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงโบกมือให้เซียวฉู่ที่อยู่ข้างหลัง “ผมจะตั้งตารอการแสดงบนเวทีของเธอ”
เซียวฉู่เข็นโหมวฉี่ออกไปจากหลังเวที ทิ้งกลุ่มคนที่กำลังงุนงงมองหน้ากันไปมา
คุณชายฉี่ตกลงงั้นเหรอ
“ไม่ยุติธรรมเลย!” แอวริลเป็นคนแรกที่แสดงท่าทีไม่พอใจ “เธอเป็นแบบนี้ยังขึ้นเวทีได้ แล้วเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
ชางหลิงหัวเราะอย่างอวดดี “คุณชายฉี่เป็นคนพูดเอง ถ้าคุณรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม ก็ไปหาเขาสิ”
แอวริลโกรธจนหน้าซีดขาว
“ในเมื่อคุณอยากไปประจานตัวเองก็เชิญ เหลืออีกแค่สองชั่วโมง ฉันก็อยากเห็นว่าคุณจะสามารถทำอะไรดีๆ ออกมาได้บ้าง” มู่ซานมองชางหลิงด้วยสายตาไม่พอใจหนัก
ชางหลิงไม่ได้โต้กลับไป เธอจูงมือของเมิ่งเคอ พาเธอตรงไปที่ห้องแต่งตัว
เมิ่งเคอเป็นนางแบบที่ยอดเยี่ยมกว่าใครทั้งหมดในนี้ จึงมีห้องแต่งตัวแยกต่างหาก ทันทีที่ทั้งสามเข้าไปข้างในแล้ว ซูเสี่ยวเฉิงก็ปิดประตูอย่างแน่นหนา
“เสี่ยวหลิงหลิง ถ้าต่อไปเธอทำแบบนี้อีก ฉันจะไม่พาเธอออกมาเล่นอีกแล้ว” ตอนนี้ซูเสี่ยวเฉิงยังหวาดผวาอยู่ไม่หาย
เมิ่งเคอพิงอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง ขมวดคิ้วมองไปยังชางหลิง
“เพราะอะไรคุณถึงต้องการช่วยฉัน” น้ำเสียงของเธอเย็นชามาก
“อยากช่วยก็ช่วย ไหนเลยจะต้องมีเหตุผลอะไรมากมาย” ชางหลิงไม่ใส่ใจ เธอกวาดตามองไปทั่วห้อง เห็นชุดราตรีสีขาวชุดหนึ่งอยู่บนตัวหุ่น
“ไม่ลงทุนหากไร้ผลประโยน์” เมิ่งเคอยังคงไม่เปลี่ยนความคิด
“ถ้าคุณอยากรู้เหตุผล รอโชว์เดินแบบจบลง คุณเลี้ยงหม้อไฟฉัน ถ้าถึงตอนนั้นแล้วฉันอารมณ์ดี ก็จะให้เหตุผลที่คุณต้องการ” ชางหลิงเดินไปตรงหน้าชุดราตรีนั้น “นี่คือชุดราตรีที่คุณต้องใส่เหรอ”
“เดิมทีเป็นเช่นนั้น” เมิ่งเคอไม่ได้เหลือบมอง
ชางหลิงสัมผัสเนื้อผ้าของชุดราตรี ทีปลายชุดมีป้ายฉลาก บนนั้นระบุสามคำ—ฉีจินหมิ่น
ที่จริงสไตล์การออกแบบของฉีจินหมิ่นนั้นใกล้เคียงกับบุคลิกของเมิ่งเคอมาก ชางหลิงสามารถนึกออกได้เลยว่าเมื่อเมิ่งเคอสวมชุดนี้จะมีลักษณะไม่ต่างจากหงส์ขาวอันสูงส่ง
อย่างไรก็ดี ด้วยคำพูดของเมิ่งเคอที่เพิ่งพูดเมื่อครู่ บวกกับปฏิกิริยาของเธอตอนนี้ ชางหลิงสามารถเดาได้ว่า ถ้าฉีจินหมิ่นรู้เรื่องของเมิ่งเคอ จะต้องยึดสิทธิ์ในโชว์เดินแบบชุดนี้คืนไปแน่นอน
ชางหลิงเอาโทรศัพท์มือถือออกมา
“หลีซิน ช่วยอะไรฉันหน่อย”