ตลอดทางหัวใจของผู้ชายทั้งสองไม่สงบสุขเลย แต่ชางหลิงกลับไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
ฉู่ฉือส่งพวกเขากลับไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ชางหลิงโบกมือลาฉู่ฉือ ตัวเองก็เดินกลับเข้าไปก่อน โหมวยู่เดินช้าลง เดินไปข้างประตูเหล็กและกลับหัวมองไป
“คุณชายรอง ยังมีอะไรไหมครับ?” ฉู่ฉือตอบอย่างมีมารยาท
โหมวยู่ขมวดคิ้ว จ้องมองรอยยิ้มอ่อนบนใบหน้าของฉู่ฉือ ก่อนหน้านั้นยังไม่รู้สึกแปลก แต่ตอนนี้กลับรู้สึกรำคาญหน้าเขามาก
“มีความสุขมากเหรอ?” ทันใดนั้นเขาก็ถามขึ้น
ฉู่ฉือทำหน้างง “คุณชายรอง……”
“ทำไมถึงยิ้มล่ะ?” โหมวยู่เลิกคิ้วถามเขา
ฉู่ฉือเข้าใจที่โหมวยู่พูดทันที เขารีบยืนตัวตรง “คุณชายรองวางใจได้ ต่อไปผมจะไม่ยิ้มต่อหน้าคุณชางอีกแล้วครับ”
โหมวยู่คลายคิ้วที่ขมวดเป็นปมออก จากนั้นก็ทำสีหน้าเย็นชาเหมือนเดิม
วันนี้ชางหลิงได้เงินมาสองแสนอีกแล้ว ยังทำโม่โม่โกรธอีกด้วย แม้โหมวยู่จะเหวี่ยงหน้าใส่เธอบ้าง แต่เขาก็เป็นปกติของเขาไปแล้ว ดังนั้นไม่กระทบจิตใจเธอเลยสักนิด
เธอกระโดดโลดเต้นไปถึงข้างประตู พอกดรหัสกำลังจะเปิดเข้าไป ก็รู้สึกคอตัวเองแน่นขึ้น คอเสื้อเธอกลับถูกยกขึ้นมา
ชางหลิงตกใจ เธอรีบมองดูเท้าตัวเองที่ลอยขึ้นจากพื้นดิน จากนั้นก็ถูกโหมวยู่ยกไปที่โซฟาอย่างง่ายดาย
“นี่” ชางหลิงจับคอตัวเองไว้ “นายทำแบบนี้ฉันตายได้เลยนะรู้ไหม”
โหมวยู่ยังคงมีสีหน้าเย็นชา เขาถอดเสื้อคลุมแขวนไว้บนที่แขวนเสื้อ และจ้องมองชางหลิง
“พึ่งโอนเงินให้เธอห้าสิบล้านก็ใช้หมดแล้วเหรอ? และยังถึงขั้นไปหลอกคนอื่นอีก?” แล้วยังเป็นคนในบริษัทตัวเองด้วยนะ แม้ว่าไทเลอร์นั่นจะไม่ใช่คนดี แต่ตอนนี้เธอถูกคนจับจ้องมานับไม่ถ้วน ถ้าทำผิดเล็กน้อยก็อาจจะโดนต่อว่า เธอรู้ไหมว่าเขาเป็นห่วงแค่ไหน?
“นี่ไม่ใช่เรื่องของเงิน” ชางหลิงดื้อรั้น “ไทเลอร์มีความรุนแรงในครอบครัว รอยแผลบนใบหน้าเมิ่งเคอมาจากการตบตีของเขา ผู้หญิงคนหนึ่ง ยังเป็นนางแบบอีกด้วย เธอต้องใช้หน้าตาทำมาหากินนะ ฉันแค่เปลี่ยนวิธีการเอาเงินมาเป็นค่ารักษาให้เมิ่งเคอก็เท่านั้น นี่ถือเป็นการทวงคืนความยุติธรรม”
“เรื่องคนอื่นเกี่ยวอะไรกับเธอกัน โลกนี้มีคนตั้งเยอะ เธอจะยุ่งเรื่องทุกคนเลยหรือไง?” โหมวยู่ไม่พอใจ
“เมิ่งเคอไม่ใช่คนธรรมดานะ เธอเป็นนางแบบอันดับต้นๆของเซิ่งซื่อ หรือนายไม่เห็นความผิดปกติเลยหรือไง? คนที่มีความพยายามทะเยอทะยาน ยอมถูกเหยียบลงพื้นได้เพราะอำนาจของเบื้องบนกับความชอบส่วนตัว และแอวริลขึ้นไปได้ก็เพราะคนในครอบครัวคอยช่วย แต่กลับถูกคนยกย่องไว้บนสูงสุด นี่เป็นโลกยังไงกัน? นี่เป็นเซิ่งซื่อของนายเหรอ แต่นายยืนอยู่บนสูงสุด ไม่เคยเห็นความพยายามของคนชั้นล่าง! วันนี้ถ้าฉันไม่ช่วยเมิ่งเคอ ต่อไปเส้นทางในเซิ่งซื่อของเธอจะลำบากมากขึ้น และฉันก็อยากได้มิตรแท้ที่พร้อมต่อสู้เคียงข้างกับฉัน ทำไมฉันจะเข้าไปยุ่งไม่ได้?” ชางหลิงพูดออกไปอย่างไม่ลังเล เหมือนดั่งปืนกลที่ยิงออกมารัวๆไม่มีช่องไฟ
“ได้” โหมวยู่ข่มอารมณ์โกรธของตัวเองเอาไว้ “เรื่องของเมิ่งเคอพวกเราเอาไว้ก่อน ฉันถามเธอหน่อย เธอไปรู้สึกโหมวฉี่ได้ยังไง?”
โหมวฉี่ทำอะไรไม่เคยมีช่องโหว่ ไม่เคยมีใครจับผิดเขาได้ แต่วันนี้ที่หลังเวที ทั้งที่เขารู้ว่าชางหลิงมีกุศโลบายแต่กลับยังยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเธอ หรือเป็นเพราะแค่อารมณ์ดีงั้นเหรอ?
“ใครนะ? โหมวฉี่งั้นเหรอ?” ชางหลิงตามโหมวยู่ไม่ทัน พวกเขากำลังพูดเรื่องเมิ่งเคอนี่? โหมวยู่โกรธเพราะเธอไปหลอกคนอื่นไม่ใช่เหรอ? เกี่ยวอะไรกับโหมวฉี่กัน?
“ฉันก็พึ่งรู้วันนี้ว่าเขาคือโหมวฉี่” ชางหลิงตอบไปตรงๆ “ก่อนหน้านี้เคยเจอกันสองครั้ง ครั้งแรกที่สนามบาส ฉันช่วยเขาไว้ ต่อมาครั้งที่สองก็เจอที่นิทรรศการแสดงเสื้อผ้า เขาช่วยฉันเอาไว้”
โหมวยู่สีหน้าตึงเครียดขึ้นมาทันที
เธอเคยช่วยเขาเอาไว้ เขายังช่วยเธอเอาไว้อีกด้วย? พวกเขาแอบจัดฉากแบบนี้ภายใต้สายตาเขาสำเร็จได้ และชางหลิงก็ไม่เคยพูดขึ้นกับเขาสักคำ ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้เขาสังเกตเห็นความผิดปกติ ระหว่างพวกเขาถ้าสานสัมพันธ์แบบนี้ต่อไป ไม่นานคงได้มีข่าวลือว่าเป็นคู่รักกันแน่
ชางหลิงไม่รู้เลยว่าโหมวยู่โกรธอะไรอยู่ เธอขมวดคิ้วจ้องมองโหมวยู่ที่ตกอยู่ในความเงียบ ไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้จริงๆ
“นาย……นายเป็นอะไรไปน่ะ?” เธอถามอย่างระมัดระวัง
โหมวยู่ข่มอารมณ์ตัวเองไว้ เขามองชางหลิงและยังคงไม่พูดอะไร
“นายเป็นแบบนี้อีกแล้วนะ” ชางหลิงปัดมือ “นายไม่น่ารักเลย ชอบโกรธและเงียบ เดาใจยากกว่าตอนฉันประจำเดือนมาเสียอีก โตขนาดนี้แล้ว โกรธแล้วยังจะให้ฉันเดาอีกเหรอ”
โหมวยู่สายตาเย็นชา เงียบไม่พูดไม่จา
“ไม่พูดก็ช่าง ฉันหิวแล้ว จะไปทำบะหมี่ นายจะกินอะไรไหม?” ชางหลิงลุกขึ้นและถามเขา
คำตอบที่เธอได้ก็ยังคงมีแต่ความเงียบเหมือนเดิม
ชางหลิงข่มอารมณ์ไว้ไม่ให้ตัวเองโกรธ แต่ในใจกลับมีไฟปะทุที่พร้อมระเบิดออกมาเต็มที
อะไรของเขาเนี่ย? โกรธแล้วก็ไม่ยอมพูด ได้เลย เก็บไว้ในใจเลยนะ ทางที่ดีเก็บให้ร่างตัวเองแตกออกเป็นเสี่ยงๆเลยยิ่งดี
ชางหลิงเดินเข้าไปในห้องครัว เปิดตู้เย็นออก ปกติพวกเขาไม่ได้ทำอาหารที่บ้าน ในตู้เย็นก็มีวัตถุดิบไม่มาก แต่ก็ยังพอทำบะหมี่ใส่ไข่ได้ แน่นอน นอกจากบะหมี่ ชางหลิงก็ทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้ว
เธอทำอยู่นั้น แต่ในใจกลับไม่วางใจโหมวยู่ที่อยู่ด้านนอก ในระหว่างที่ต้มเส้นนั้น ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
——ทำไมผู้ชายถึงชอบงอน?
เธอค้นหาอยู่ในเว็บไซต์นานสองนาน ก็ยังค้นหาอะไรไม่ได้เลย ก็ลบคำนี้ออก และพิมพ์คำถามเข้าไปใหม่
——ผู้ชายราศีมังกรชอบโกรธกันหมดไหม?
“ผู้ชายราศีมังกรน้อยครั้งที่จะแสดงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกมา โดยพื้นฐานแล้วเป็นคนที่โดดเดี่ยว เป็นคนที่มีความละเอียดอ่อนในจิตใจสูง ความรับผิดชอบที่สูงกับความคิดที่เข้มงวด แรงกระตุ้นมักจะมาจากความทะเยอทะยานและความปรารถนาอันแรงกล้าของอำนาจ เป็นพวกบ้าทำงานจนถึงขั้นคลั่งเลยก็ว่าได้”
เฮ้อ พูดถูกเลยล่ะ ชางหลิงนึกถึงการกระทำของโหมวยู่ สมแล้วที่เป็นชาวราศีมังกร
“ชาวราศีมังกรเวลาโกรธขึ้นมาจะน่ากลัวมาก บางครั้งถึงจะขอโทษไปก็เปล่าประโยชน์ ต้องรอเขาคิดได้เองก่อนเรื่องนี้ถึงจะจบ” ชางหลิงอ่านแล้วก็รู้สึกปวดสมองทันที
เธอเป็นชาวราศีธนู เป็นพวกรักอิสรภาพ ให้เขาคิดได้เองก่อนใช่ไหม? ได้สิ เรื่องนี้เธอถนัดที่สุดแล้ว
ชางหลิงฮัมเพลงและทำบะหมี่ใส่ไข่หนึ่งถ้วย ตอนยกไปที่โต๊ะโหมวยู่ยังนั่งอยู่บนโซฟา ถือโทรศัพท์ไม่รู้ว่ากำลังดูอะไร
เธอวางช้อนและตะเกียบลง หันไปหยิบช้อน จากนั้นรอเธอกลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง โหมวยู่ก็นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารแล้ว ยกตะเกียบขึ้นมาและกินบะหมี่ถ้วยนั้น
“นี่ นายทำอะไร? นายไม่ได้บอกว่าจะกินนี่” ชางหลิงพูดอย่างไม่พอใจ
“ฉันก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่กินนี่” โหมวยู่พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ผู้ชายบ้า!
ชางหลิงนั่งลงข้างเขา บะหมี่แค่ถ้วยเดียว เธอทำอยู่ตั้งนาน ยังไม่ได้ชิมรสชาติเลยด้วยซ้ำ