ชางหลิงก้มหน้าแล้วเดินออกจากห้องเยี่ยมผู้ต้องขัง
โหมวยู่ที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนเก้าอี้ก็เงยหน้าขึ้นมา แล้ววางหนังสือพิมพ์ในมือลง
“เจรจาเสร็จแล้วเหรอ?” เขาลุกขึ้นพร้อมกับเดินไปข้างๆ ชางหลิง
ชางหลิงไม่ได้พูดอะไร เธอยังคงตกอยู่ในภวังค์และออกจากสิ่งที่ชางฉิงพูดไม่ได้
เธอเกลียดชางฉิงและนี่ก็เป็นความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตลอดหลายปีแล้ว อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนี้ เมื่อชางฉิงพ่ายแพ้และต้องถูกคุมขัง เธอกลับไม่มีความรู้สึกอันเป็นสุขในการแก้แค้นเลยสักนิด
อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่เห็นด้วย เธอไม่เห็นด้วยกับการพูดของชางฉิงและรู้สึกว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการแก้แค้นระหว่างพวกเธอ ทั้งๆ ที่เห็นได้ชัดว่าพวกเธอมีวิธีที่จะสามารถเข้ากันได้ดีขึ้น แต่พวกเธอต่างฝ่ายต่างกลับไม่ได้ให้โอกาสนั้นแก่กันและกันเลย
“กลับบ้านเถอะ” ชางหลิงถอนหายใจ แล้วพูดเบาๆ
โหมวยู่รู้สึกถึงความตกต่ำของอารมณ์ความรู้สึกเธอเขาก้าวไปข้างหน้า แล้วจูงมือเธอไว้แน่นจากนั้นก็พาเธอออกไปข้างนอก
ชางหลิงมองไปที่โหมวยู่ที่ซึ่งกำลังจับมือเธอ ก็รู้สึกถึงความอบอุ่นจากมือของเขา จากนั้นเธอก็ยิ้ม
อาจจะมั้งชีวิตของเธอวุ่นวาย แต่อย่างน้อยโหมวยู่ก็ยังอยู่เคียงข้างเธอ
กำลังจะเดินไปที่ประตูของศูนย์กักกันแต่กลับเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยจากตำแหน่งที่ประตู
ไม่เจอกันนานเลยนะ จ้าวหลันจือไม่มีสีสันที่แวววาวอย่างก่อนหน้านี้อีกต่อไป แก้มยุบเป็นหลุม ผมก็เริ่มขาวเป็นดอกเลา และเครื่องประดับที่เธอโปรดปรานในอดีตก็ถูกถอดออกจนหมด และในขณะนี้เธอกำลังอ้อนวอนผู้คุมขังที่ประตูซึ่งก็ไม่รู้ว่ากำลังจะพูดอะไรอยู่. .
“เธอมาอีกแล้ว” ผู้คุมขังที่อยู่ข้างๆ ส่ายหัว
“พวกคุณรู้จักเธอหรือเปล่า?” ชางหลิงสงสัย
“แม่เฒ่าคนนี้ ตั้งแต่ที่ลูกสาวของเธอถูกส่งมาที่นี่ เธอจะเฝ้าดูอยู่ที่ประตูศูนย์กักกันทุกวันเลย ไล่ออกไปกี่ครั้งก็ไม่สำเร็จเลย เธอยังเช่าบ้านใกล้ๆ ที่นี่อีก โดยบอกว่าจะติดคุกเป็นเพื่อนกับลูกสาวตัวเอง คุณว่านี่ไม่ใช่การก่อกรรมทำเข็ญหรอกเหรอ?” ผู้คุมขังส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
ชางหลิงสะเทือนใจเล็กน้อย แม้ว่าจ้าวหลันจือจะไม่ได้มีสีหน้าที่ดีกับเธอ แต่ชางฉิงก็เป็นลูกสาวแท้ๆ ของเธอ และตอนนี้ชางฉิงก็เข้าคุกอีกด้วยซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับชางหวยซูนั้นก็ก่อเรื่องวุ่นวายจนแข็งกระด้างไปแล้ว คาดว่าจิตใจเธอพังทลายไปนานแล้ว
“เราไปจากประตูหลังดีกว่า” โหมวยู่ไม่ต้องการให้จ้าวหลันจือมายั่วยุความกระวนกระวายใจของชางหลิงอีก แต่ชางหลิงกลับส่ายหัวและยิ้มให้เขา
เธอปล่อยมือของโหมวยู่ แล้วเดินไปที่ประตู
เมื่อจ้าวหลันจือผู้ซึ่งกำลังกวนใจเจ้าหน้าที่คุมตัวนักโทษเห็นเงาร่างของชางหลิงก็ประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง โดยปฏิกิริยาแรกคือการก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“ทำไมแกถึงอยู่ที่นี่?” จ้าวหลันจือจ้องมาที่เธอ และมองไปที่ข้างหลังชางหลิง พร้อมกับเห็นเงาร่างของโหมวยู่อย่างไม่แปลกใจ “พวกแกมาทำร้ายฉิงฉิงของฉันใช่ไหม?เธอถูกขังแล้ว พวกแกยังต้องการอะไรอีก?”
ชางหลิงเดินออกไปและยืนอยู่ตรงหน้าจ้าวหลันจือ ด้วยสายตาที่มืดมน
“คุณป้าจ้าวคะ” ชางหลิงจำไม่ได้ว่าเธอไม่ได้เรียกชื่อนี้มานานแค่ไหนแล้ว “เรื่องก็มาถึงจุดนี้แล้ว คุณจะใช้ชีวิตอย่างมีสติหน่อยไม่ได้เหรอคะ?”
จ้าวหลันจือไม่เข้าใจความหมายของชางหลิง เพียงแค่มองเธออย่างระแวดระวัง
“เมื่อกี้ฉันเพิ่งได้พบกับชางฉิงแล้ว” น้ำเสียงชางหลิงเรียบเฉย
จ้าวหลันจือตาเป็นประกาย “เธอเป็นยังไงบ้าง? เธอผอมไหม? ข้างในมีคนรังแกเธอไหม? อาหารการกินดีหรือเปล่า? เพราะร่างกายเธอยังไม่หายดีเลย ชีวิตข้างในเธอรับได้ไหม?”
เธอถามคำถามกับชางหลิงต่อเนื่องกันคำถามแล้วคำถามเล่า และชางหลิงเองก็รู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงอย่างมากของจ้าวหลันจือ
“พวกเขาไม่ให้ฉันเข้าไป พวกเขายืนกรานว่าสามารถเข้าไปเยี่ยมนักโทษในเวลากำหนดเป็นพิเศษเท่านั้น และยังต้องปฏิบัติตามขั้นตอนอะไรเหล่านั้นด้วย แต่…ฉันรอไม่ไหว ฉันมีแค่ลูกสาวคนเดียว และเธอก็ได้รับความทุกข์ยากลำบากอยู่ข้างในแล้วฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง”
มีน้ำตาในดวงตาของจ้าวหลันจือแต่เธอกลับหันกลับไปโดยไม่อยากให้ชางหลิงเห็นมัน
ชางหลิงหันหน้ากลับมามองโหมวยู่ไปแวบหนึ่ง เขาไม่แสดงท่าทีใดๆ แต่กลับหยิบกระเป๋าเงินตัวเองออกมา แล้วยื่นบัตรธนาคารให้ชางหลิงไปใบหนึ่ง
ชางหลิงตะลึง โหมวยู่เหลือบมองจ้าวหลันจือแต่ไม่ได้ปริปากพูดอะไรสักอย่าง
ชางหลิงรับบัตรธนาคารของเขาและไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเข้าใจความคิดของตัวเธออย่างทะลุปรุโปร่ง
“ในบัตร นี้มีเงินอยู่ 5 แสนและไม่มีรหัสผ่าน” โหมวยู่เดินไปข้างๆ ชางหลิงพร้อมกับกดเสียงลงต่ำอย่างมาก “อยากจัดการยังไงคุณก็ตัดสินใจเอาเองนะ”
ชางหลิงจ้องไปที่บัตรในมือแล้วมองไปที่จ้าวหลันจือ
เธอเช็ดน้ำตาและดวงตาเธอก็แดงและบวมเมื่อมองไปมันช่างดูน่าสงสารจริงๆ
“ชางฉิงต้องการให้คุณออกไปจากเมืองหนาน” ชางหลิงพูดออกไป
จ้าวหลันจือประหลาดใจ
“แกพูดเรื่องอะไร?” จ้าวหลันจือมองเธอด้วยอาการไม่อยากจะเชื่อ “ฉันก็มีแค่ลูกสาวคนเดียว ถ้าไปจากเมืองหนานแล้ว ฉันจะไปที่ไหนได้ล่ะ”
ชางหลิงก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง และยัดบัตรธนาคารไว้ในมือเธอ “นี่เป็นสิ่งที่ชางฉิงมอบให้คุณ”
“แม้ว่าเงินเหล่านี้จะไม่สามารถทำให้คุณกลับไปใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยอย่างเมื่อก่อนได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถรับประกันความมั่นคงของครึ่งค่อนชีวิตคุณต่อจากนี้” การแสดงออกของชางหลิงเย็นชา และมองไม่เห็นอารมณ์ความรู้สึก “ไปจากที่นี่ บางทีคุณอาจสามารถกลับไปเปิดร้านค้าที่บ้านเกิดคุณได้ ต่อไปถ้าแก่แล้วก็ยังมีที่พึ่งนะคะ”
“เธอแลกเปลี่ยนเงื่อนไขอะไรกับแก?” จ้าวหลันจือไม่ใช่คนโง่และเธอก็รู้ดีว่าชางฉิงจะไม่ทิ้งเงินไว้ให้เธอได้ ซึ่งเงินนี้ ก็เป็นของชางหลิงด้วย
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับแก” ชางหลิงลืมตาขึ้นมา
“ฮ่าๆ” จ้าวหลันจือหัวเราะ ด้วยเสียงแหบแห้งที่แหลมและเศร้ารันทด เธอจ้องไปที่บัตรธนาคารในมืออย่างแน่นหนาจากนั้นน้ำตาก็ไหลลงมาอย่างรวดเร็ว
“ชางหลิงแกนี่ก็ยังรู้จักเป็นคนดีจริงๆ” จ้าวหลันจือมองเธอด้วยสายตาที่ขุ่นหม่อง “ตอนที่ฉันขอทุกคนยืมเงินเพื่อช่วยฉิงฉิงเตรียมตัวไกล่เกลี่ยความสัมพันธ์ แกก็สังหารราบเรียบ และไม่ให้พวกเราได้มีทางออกเลยสักนิดและในตอนนี้ ทุกอย่างก็ได้เป็นข้อสรุปแล้ว ฉิงฉิงถูกขังอยู่ข้างในไปตลอดชีวิต แล้วตอนนี้แกจะมารู้สึกผิดอะไร?”
ชางหลิงถอยหลังก้าวหนึ่ง และโหมวยู่ก็อุ้มเธอไว้ โดยให้เธอยืนเคียงข้างเขาและเผชิญหน้า กับ จ้าวหลันจือ
เมื่อมองไปยังสายตาที่ดุเดือดรุนแรงของโหมวยู่จ้าวหลันจือก็ยังคงหวาดกลัว และหยุดฝีเท้าที่เข้าใกล้
“ฉันจะไม่ไปจากเมืองหนาน” จ้าวหลันจือขว้างบัตรธนาคารลงที่เท้าของชางหลิงอย่างดุร้าย “ฉันรู้ว่า แกต้องการให้ฉันนำเงินนี้ไป เพื่อให้หัวใจของแกรู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่ฉันจะบอกให้แกนะ ไม่มีทางหรอก!”
จ้าวหลันจือยิ้มอย่างบ้าคลั่ง และเสียงแบบนี้ ทำให้ชางหลิงทนโกรธจนขีดสุด
“แกทำร้ายฉิงฉิงของฉัน นั่นมันชีวิตของฉันเลยนะ แกคิดว่าเงินเล็กน้อยแค่นี้จะสามารถไล่ฉันออกไปได้งั้นเหรอ? ไม่มีทางหรอก” จ้าวหลันจือร้องไห้ไปด้วยหัวเราะไปด้วย “ฉันจะอยู่เฝ้าเคียงข้างลูกสาวของฉันทุกวัน แม้ว่าฉันจะมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบากก็ตาม ฉันก็จะปกป้องเธอ!และฉันก็จะสาปแช่งแกวันแล้ววันเล่า โดยขอสาปแช่งให้แกไม่ตายดีไปทั้งชาตินี้เลย ให้แกโดดเดี่ยวไปชั่วชีวิต ให้ไม่ต้องมีคนจริงใจเคียงข้าง ให้แกเป็นเหมือนกับแม่ที่โฉดชั่วของแกไปชั่วนิรันดร์ หรือแม้แต่ตายก็ตายไปอย่างไร้ฐานะที่มีเกียรติ!”
“หุบปาก!” โหมวยู่ส่งเสียงดุด่าอย่างเสียงดัง
เท้าของชางหลิงอ่อนแรง เธอกลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบาก ไม่รู้ว่าด้วยเหตุอะไร ฉากที่แม่เธอนอนอยู่ในกองเลือดก็ผุดขึ้นมา
“หลิงเอ๋อร์” โหมวยู่รีบพยุงร่างกายของเธอไว้
“ฮ่าๆ” จ้าวหลันจือยิ้มอย่างมีความสุขยิ่งขึ้น เธอจ้องไปที่ชางหลิงด้วยสายตาที่อาฆาตแค้น เหมือนกับคนบ้าอย่างไงอย่างงั้น “แล้วเสิ่นวั่นชิงล่ะจะเป็นไง? แกนี่มันก็แค่ไอ้คนต่ำต้อย! ลูกสาวที่เกิดมาก็หน้าด้านเหมือนเธอเลย !”
“เราไปกันเถอะ ” โหมวยู่ก้มหน้าเก็บบัตรธนาคารขึ้นมา ไม่อยากให้ชางหลิงฟังคำหยาบคายอย่างต่อไป
“ชางหลิง! แกก็รอไปก่อนเถอะ รอให้คำพูดที่ฉันเคยพูดไปเกิดผล พวกเราแม่ลูกลำบาก ไอ้คนต่ำต้อยอย่างแกก็อย่าคิดจะมีชีวิตที่ดีเลย!”