ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก – บทที่139 ตีกันแล้ว

บทที่139 ตีกันแล้ว

“ขอ…”

โหมวยู่เหยียบคันเร่งจากนั้นก็มีลมเย็นพัดมาที่ท้ายรถ แล้วเขาก็ขับรถออกไปด้วยท่าทางไม่เกรงกลัวสิ่งใด

“โทษ…” ชางหลิงก็พูดคำพูดสุดท้ายออกมาแต่กลับยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้

มันคงจะไม่มีสถานการณ์ที่เฮงซวยไปกว่าตอนนี้แล้วล่ะ

ชางหลิงรู้สึกยุ่งเหยิงไปในสายลม

หล่อนโกรธผู้ชายทั้งสองคนนี้อย่างมาก ดังนั้นจึงไปหาร้านเนื้อย่างร้านหนึ่ง แม้ว่าเธอจะกินเนื้อจานใหญ่ไปแล้วสองสามจานเพื่อกำจัดความกลัดกลุ้มใจ แต่ทว่าในตอนที่เธออิ่มแล้ว ก็ได้มีสายของหลีซินโทรมา

“พี่สะใภ้ครับ พี่สะใภ้ เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ!”

เสียงของหลีซินทำให้ชางหลิงเป็นกังวลขึ้นมา จากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ชางหลิงถามกลับ

“พี่ใหญ่กับฉินซางกำลังต่อยกันแล้วครับ” น้ำเสียงที่ปลายสายของหลีซินเร่งรีบ และยังคงมีเสียงที่คลุมเครือของสิ่งของที่ถูกทำให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ดังขึ้นมา

ต่อยกันแล้ว? ชางหลิงเลิกคิ้ว

โหมวยู่ไปหาฉินซางเพื่อต่อยกันจริงๆ เหรอ?

“งั้นก็ปล่อยให้พวกเขาต่อยกันไปเถอะ” ชางหลิงปล่อยวางความกังวลใจเดิมทีของตัวเองไป แล้วเช็ดปากตัวเองอย่างชะล่าใจ

ยังไงพวกเขาทั้งคู่ก็ไม่ใช่คนดีอะไร คนหนึ่งชอบไม่สนใจเธอและมักจะชักสีหน้าใส่เธอ ส่วนอีกคนก็ชอบสร้างเรื่องแกล้งเธออีกงั้นก็ให้พวกเขาสั่งสอนกันเองก็แล้วกัน

“นี่…การต่อยกันครั้งนี้ช่างน่าเวทนาเสียจริง” หลีซิน ออกมาจากห้องทำงานของฉินซาง ได้เพียงไม่นาน ก็มีเสียงขวดไวน์ตกลงบนพื้นดังขึ้นมาอีกครั้ง

“ใครได้เปรียบกว่า?” ชางหลิงลุกขึ้น แล้วเดินไปเช็กบิลที่หน้าเคาน์เตอร์

หลี่ซินเปิดประตูเบาๆ และมองเข้าไปข้างใน โหมวยู่กำลังกระโดนถีบไปที่ฉินซาง ส่วนฉินซางก็หลบได้อย่างรวดเร็ว

แต่ทว่า บนโต๊ะทำงานไม้สีแดงกลับได้รับความเสียหาย ขาโต๊ะข้างหนึ่งก็หักลง และสิ่งของที่อยู่บนนั้นก็ตกลงไปกระจัดกระจายอยู่บนพื้น

“เฮ้ยๆ จะไม่คุยกันด้วยเหตุผลเลยหรือไง?” ฉินซางตะโกนไปด้วยหลบไปด้วย “นี่ฉันกำลังเพิ่มอรรถรสให้กับชีวิตผัวเมียของพวกนายอยู่นะ ถ้านายไม่รับน้ำใจก็ช่างมันสิวะ คิดไม่ถึงเลยว่ายังจะมาหาเรื่องฉันอีก?”

โหมวยู่หรี่ตาลง และมือของเขาก็เคลื่อนไหวออกไป

“เฮ้ๆ อย่าๆ อย่าต่อยหน้า…” ฉินซางตะโกน แต่ทว่า เสียงสุดท้ายของเขาถูกขัดจังหวะด้วยกำลังที่แข็งแกร่ง

หมัดอันทรงพลังชกลงไปบนแก้มของฉินซางทีหนึ่ง และเขาก็ถูกกระแทก และล้มลงกับพื้นอย่างแรง

หลีซินปิดประตูอย่างระมัดระวังอีกครั้ง และลดเสียงลงที่ปลายสาย “สำหรับตอนนี้นั้น พี่ใหญ่ได้เปรียบกว่าครับ”

“ส่งที่อยู่มา เดี๋ยวฉันจะไปเก็บศพเอง” ชางหลิงทำท่าทีใจเย็นมาก

เธอกดวางสาย ถ้าดูจากที่อยู่ที่หลีซินส่งมาแล้ว เธอก็คงจะต้องกลับไปที่บริษัทของฉินซางอีกรอบ

ทันทีที่เธอเดินเข้าประตูไป ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายข้างใน

“เป็นไปไม่ได้มั้ง รุนแรงขนาดนี้เลยเหรอ? โกรธแค้นอะไรกันขนาดนั้น ฉันคิดว่าแขนของผู้จัดการฉินคงเคล็ดแล้วนะ”

“ยิ่งไปกว่านั้น หน้าก็บวมเหมือนหัวหมูเลย ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายเป็นคุณชายรองของบริษัทเซิ่งซื่อหรือ? ระหว่างเขากับผู้จัดการฉินมีบุญคุณความแค้นอะไรกันเนี่ย? หรือว่าจะเป็นศึกแย่งชิงผู้หญิง?

“ใครจะไปรู้ล่ะ ทุกคนก็รู้อยู่ไม่ใช่เหรอว่าสองคนนี้ไม่ลงรอยกัน? ผู้จัดการฉินของพวกเรานั้นไม่ใช่คนขี้ขลาด คงไม่เป็นไรหรอก ถูกชกไปแบบนี้เดี๋ยวก็ชินไปเอง

……

ชางหลิงกระแอมเสียงอย่างอดไม่ได้ คนที่อยู่ภายใต้การดูแลของฉินซางนั้นคิดถูกแล้วจริงๆ เหรอ เจ้านายของตัวเองถูกทุบตีขนาดนี้ แต่กลับพูดว่าถูกตีไปเดี๋ยวก็ชินเองแหละ?

เธอเดินเข้าไปในตึก และออกจากลิฟต์ ซึ่งที่อยู่ตรงสุดทางของระเบียงจากระยะไกลเธอก็เห็น หลีซินกำลังยกเก้าอี้ที่ขาหักตัวหนึ่งออกมา เขานั่งลงแล้วเล่นเกม เมื่อเห็นว่าเธอมาแล้ว เขาตาเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย

“พี่สะใภ้ครับ พี่มาแล้วเหรอ? ” หลี่ซินรีบลุกขึ้นยืน

“พี่สะใภ้อะไร ก็บอกไปแล้วไงว่า ให้เรียกฉันว่าเสี่ยวหลิง” ชางหลิงกำชับเขา อย่างไรก็ตามที่นี่ก็เป็นพื้นที่ของฉินซาง ถ้าถูกคนอื่นได้ยินเข้า มันอาจจะโดนพาดหัวข่าวอีก

หลีซินรู้สึกลำบากใจ เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าโหมวยู่ เขาก็จะไม่กล้าเรียกเธอแบบนี้ เพราะเขาไม่กล้าต่อต้านเหมือนกับฉินซาง

“พวกเขาสองคนล่ะ? ” ชางหลิงถาม

หลีซินเบะปากพร้อมกับหันหน้าไปทางประตูที่ปิดอยู่ “นี่ พอพี่บอกว่าจะมาเก็บศพ ผมก็ไม่กล้าทำอะไรอีกเลยครับ”

ชางหลิงปลดล็อกประตู เธอโอ้อวดว่าตัวเองมีจิตที่แข็งแกร่ง แต่เมื่อ เธอได้เห็นสภาพข้างในนั้นแล้ว กลับถึงกับต้องตะลึงกันเลยทีเดียว

ออฟฟิศใหญ่ตอนนี้กลับไม่มีที่ที่จะวางเท้าได้เลย ของประดับตกแต่งด้วยงานฝีมือที่ฉินซางหวงแหนมาตลอด กลับกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย นอกจากนี้ ตู้ โต๊ะทำงาน หรือแม้แต่โซฟา ยังถูกเครื่องจักรหนักทับจนยับเยิน และมันก็ไม่มีของอะไรที่เหมือนเดิมอีกเลย .

ไวน์แดงสดหกเลอะเต็มพื้น ชางหลิงมองดูความยุ่งเหยิง มันยากที่จะเชื่อจริงๆ ว่าโศกนาฏกรรมดังกล่าวเกิดจากคนสองคนด้วยมือเปล่า

เธอเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง และหลังโซฟาที่ด้านหนึ่งสูงด้านหนึ่งต่ำ เธอก็เห็นหลังของผู้ชายทั้งสองคนนั่งอยู่บนพื้นอย่างคลุมเครือ

ชางหลิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก และเดินไปไม่กี่ก้าว เธอก็เห็นว่าคนทั้งสองที่ชกต่อยกันนั้นกำลังนั่งอยู่บนพื้นอย่างว่าง่าย ฉินซางจับไหล่ข้างหนึ่งของเขา ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาบวม และผมก็ยุ่งอย่างกับทรงเล้าไก่ ส่วนโหมวยู่ก็ยังดีหน่อย มือของเขาถลอกเป็นแผล และมุมปากก็ถูกเฉียดด้วย แต่ก็ยังสามารถมองเห็นคราบเลือดอยู่

“ชกต่อยกันจบแล้วเหรอ?” ชางหลิงกอดอก พร้อมกับมองดูทั้งคู่อย่างวางท่า

โหมวยู่เงยหน้าขึ้นมา ไม่รู้ทำไม ชางหลิงกลับรู้สึกว่าในสายตาของเขานั้นกลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ราวกับว่าเขากำลังบอกให้เธอรู้ถึงชัยชนะของเขา

“อืม” เขาตอบอย่างเฉยชา

ชางหลิงเข้าหาเขาและยื่นมือของเธอออกไป

โหมวยู่กำลังจะดึงมือของเธอโดยไม่รู้ตัว แต่ชางหลิงกลับเดินผ่านเขาไปและเช็ดเลือดบนใบหน้าของฉินซาง “เจ็บไหม?”

ฉินซางเวียนหัวจนตาลายและพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “คนที่ลงมือทำเช่นนี้ช่างโหดเหี้ยมจริงๆ”

“หลีซิน” ชางหลิงตะโกนไปยังหลี่ซินที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง “อย่ามัวแต่อ้ำอึ้มเลย ไปเรียกรถพยาบาลมา”

“หลิงหลิงน้อย นี่ผมทำเพื่อคุณนะ คุณจะต้องจดจำความดีของผมไว้ด้วยนะ” ฉินซางทำหน้ามุ่ย

“ฉันจำแล้วค่ะ” ชางหลิงเกือบต่อยเขาก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามันช่างเป็นความคิดที่แย่จริงๆ และมันก็สมควรที่จะถูกทุบตีจนกลายเป็นหัวหมูแบบนี้

หลีซินเข้ามาและหามฉินซางออกไป ภายในห้องที่รก ชั่วพริบตาเดียวก็เหลือเพียงชางหลิงและโหมวยู่สองคนเท่านั้น

มือของโหมวยู่ตกลงไปบนตัวของเขา และเขาก็ลุกขึ้นอย่างช้าๆ เขาก้มหน้าลงโดยไม่มองเธอเลย

“ผมก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกันนะ ทำไมไม่ถามผมว่าเจ็บบ้างไหม? ” เสียงของโหมวยู่ต่ำมาก

“คุณยังรู้จักเจ็บด้วยเหรอ?” ชางหลิงมองบนมองใส่เขา “เวลาชกต่อยคนคุณมันอวดดีมากนี่”

โหมวยู่ลุกขึ้นด้วยตัวเอง โดยไม่พูดอะไรสักคำ

เสื้อผ้าที่เขาสวมนั้นเลอะเทอะไปหมด และมีคราบไวน์ติดอยู่ด้วย เขาปลดกระดุมที่ปกเสื้อลงมาอย่างฉุนเฉียว พร้อมกับหันหน้าไปทางประตู และทำท่ากำลังจะเดินออกประตูไป

“เฮ้ย” ชางหลิงตะโกนเรียกเขา

ฝีเท้าของโหมวยู่หยุดลง

“ฉันขอโทษนะ” ชางหลิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ฉันรู้ว่าฉันมีหลายเรื่องที่ทำไม่ถูก แต่ฉันก็หวังว่าระหว่างเราจะสามารถสื่อสารกันได้ดีขึ้นเหตุผลที่ฉินซางทำเรื่องตลกพวกนี้ จริงๆ แล้วเพียงเพื่อกระตุ้นคุณให้เป็นฝ่ายเข้าหาฉันก่อนเท่านั้น”

โหมวยู่ไม่ตอบ

“ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน ฉันจะต้องฝ่ายหยุดและเป็นฝ่ายเริ่มเข้าหาคุณเพื่อยอมรับผิดก่อนเสมอ แต่ว่า คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลยงั้นเหรอ? บางทีคุณอาจจะเคยชินกับการเก็บทุกอย่างไว้ในใจ แต่ตอนนี้คุณไม่ได้ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้วนะมีเรื่องที่เราไม่สามารถเผชิญไปด้วยกันเหรอ?” ชางหลิงค่อยๆ เดินไปข้างๆ เขา

“ฉันมักจะพูดกับตัวเองว่า ความสัมพันธ์ของเรา เป็นเพราะคุณเป็นฝ่ายเข้าหาก่อนพวกเราจึงมีวันนี้ ดังนั้นแม้ว่าคุณจะโกรธฉัน ฉันก็จะหน้าด้านเกาะติดคุณและง้อคุณทุกๆ ครั้งไป เมื่อคุณก้าวเข้ามาหาฉันแล้วหนึ่งก้าว อีก 99 ก้าวที่เหลืออยู่ ฉันก็จะก้าวต่อไปอย่างกล้าหาญ แต่ฉันก็หวังว่า ฉันที่พยายามเดินตรงไปหาคุณแบบนี้ อย่างน้อยคุณก็จะไม่เดินถอยกลับไป ได้ไหม?”

โหมวยู่ถอนหายใจออกอย่างสงบ

เขาหันกลับมา และก้มมองลงไปยังชางหลิงที่สูงถึงแค่หน้าอกของเขา

“ผมไม่โกรธแล้ว” เขาตอบกลับ

“แล้วคุณจะยังมาชกต่อยกับฉินซางอีกไหมล่ะ?” ชางหลิงงุนงง

แววตาของโหมวยู่มีความหวาดผวาเล็กน้อย เขาหลับตา และสีหน้าของเขาก็ดูยุ่งเหยิง

ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก

ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก

Status: Ongoing

เธอสุขใจมากล้นเตรียมที่จะแต่งงานกับแฟนหนุ่มที่คบกันมาหลายปี แต่คืนก่อนวันแต่งงานกลับรู้ว่าแฟนหนุ่มนอนกับน้องสาวต่างสายเลือดด้วยความโกรธครอบงำชางหลิงใช้เงินซื้อผู้เชาย หลังเมาก็ร้องจะนอนกับเจ้าของคลับ ยังถูกคนหลอกแต่งงานเมื่อตื่นขึ้นมา ไม่คาดว่าถูกคนกลับเรียกเธอว่าพี่สะใภ้ เฮียคือใครกันนะ“ยมบาลแสนเย็นชา”ซึ่งอยู่ทั้งสายขาวสายดำแห่งเมืองหนานที่ทุกคนต่างเกรงกลัว แถมยังเป็นผู้นำที่มีอำนาจทั้งตระกูลโหมวและในบริษัทเซิ่งซื่อกรุ๊ปแต่ข่าวลือว่ากันว่าเขาไม่เข้าใกล้ผู้หญิงไม่ใช่หรอ เขาชอบผู้ชายด้วยกันไม่ใช่หรอแต่ทำไมถึงเป็นเพราะผู้หญิงอ่อนแออย่างเธอถึงกับทุกวันไม่อยากลงจากเตียง จริงอย่างคาดคิด ข่าวลือล้วนแต่หลอกลวงโดยสิ้นเชิง

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท