“ขอ…”
โหมวยู่เหยียบคันเร่งจากนั้นก็มีลมเย็นพัดมาที่ท้ายรถ แล้วเขาก็ขับรถออกไปด้วยท่าทางไม่เกรงกลัวสิ่งใด
“โทษ…” ชางหลิงก็พูดคำพูดสุดท้ายออกมาแต่กลับยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้
มันคงจะไม่มีสถานการณ์ที่เฮงซวยไปกว่าตอนนี้แล้วล่ะ
ชางหลิงรู้สึกยุ่งเหยิงไปในสายลม
หล่อนโกรธผู้ชายทั้งสองคนนี้อย่างมาก ดังนั้นจึงไปหาร้านเนื้อย่างร้านหนึ่ง แม้ว่าเธอจะกินเนื้อจานใหญ่ไปแล้วสองสามจานเพื่อกำจัดความกลัดกลุ้มใจ แต่ทว่าในตอนที่เธออิ่มแล้ว ก็ได้มีสายของหลีซินโทรมา
“พี่สะใภ้ครับ พี่สะใภ้ เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ!”
เสียงของหลีซินทำให้ชางหลิงเป็นกังวลขึ้นมา จากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ชางหลิงถามกลับ
“พี่ใหญ่กับฉินซางกำลังต่อยกันแล้วครับ” น้ำเสียงที่ปลายสายของหลีซินเร่งรีบ และยังคงมีเสียงที่คลุมเครือของสิ่งของที่ถูกทำให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ดังขึ้นมา
ต่อยกันแล้ว? ชางหลิงเลิกคิ้ว
โหมวยู่ไปหาฉินซางเพื่อต่อยกันจริงๆ เหรอ?
“งั้นก็ปล่อยให้พวกเขาต่อยกันไปเถอะ” ชางหลิงปล่อยวางความกังวลใจเดิมทีของตัวเองไป แล้วเช็ดปากตัวเองอย่างชะล่าใจ
ยังไงพวกเขาทั้งคู่ก็ไม่ใช่คนดีอะไร คนหนึ่งชอบไม่สนใจเธอและมักจะชักสีหน้าใส่เธอ ส่วนอีกคนก็ชอบสร้างเรื่องแกล้งเธออีกงั้นก็ให้พวกเขาสั่งสอนกันเองก็แล้วกัน
“นี่…การต่อยกันครั้งนี้ช่างน่าเวทนาเสียจริง” หลีซิน ออกมาจากห้องทำงานของฉินซาง ได้เพียงไม่นาน ก็มีเสียงขวดไวน์ตกลงบนพื้นดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ใครได้เปรียบกว่า?” ชางหลิงลุกขึ้น แล้วเดินไปเช็กบิลที่หน้าเคาน์เตอร์
หลี่ซินเปิดประตูเบาๆ และมองเข้าไปข้างใน โหมวยู่กำลังกระโดนถีบไปที่ฉินซาง ส่วนฉินซางก็หลบได้อย่างรวดเร็ว
แต่ทว่า บนโต๊ะทำงานไม้สีแดงกลับได้รับความเสียหาย ขาโต๊ะข้างหนึ่งก็หักลง และสิ่งของที่อยู่บนนั้นก็ตกลงไปกระจัดกระจายอยู่บนพื้น
“เฮ้ยๆ จะไม่คุยกันด้วยเหตุผลเลยหรือไง?” ฉินซางตะโกนไปด้วยหลบไปด้วย “นี่ฉันกำลังเพิ่มอรรถรสให้กับชีวิตผัวเมียของพวกนายอยู่นะ ถ้านายไม่รับน้ำใจก็ช่างมันสิวะ คิดไม่ถึงเลยว่ายังจะมาหาเรื่องฉันอีก?”
โหมวยู่หรี่ตาลง และมือของเขาก็เคลื่อนไหวออกไป
“เฮ้ๆ อย่าๆ อย่าต่อยหน้า…” ฉินซางตะโกน แต่ทว่า เสียงสุดท้ายของเขาถูกขัดจังหวะด้วยกำลังที่แข็งแกร่ง
หมัดอันทรงพลังชกลงไปบนแก้มของฉินซางทีหนึ่ง และเขาก็ถูกกระแทก และล้มลงกับพื้นอย่างแรง
หลีซินปิดประตูอย่างระมัดระวังอีกครั้ง และลดเสียงลงที่ปลายสาย “สำหรับตอนนี้นั้น พี่ใหญ่ได้เปรียบกว่าครับ”
“ส่งที่อยู่มา เดี๋ยวฉันจะไปเก็บศพเอง” ชางหลิงทำท่าทีใจเย็นมาก
เธอกดวางสาย ถ้าดูจากที่อยู่ที่หลีซินส่งมาแล้ว เธอก็คงจะต้องกลับไปที่บริษัทของฉินซางอีกรอบ
ทันทีที่เธอเดินเข้าประตูไป ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายข้างใน
“เป็นไปไม่ได้มั้ง รุนแรงขนาดนี้เลยเหรอ? โกรธแค้นอะไรกันขนาดนั้น ฉันคิดว่าแขนของผู้จัดการฉินคงเคล็ดแล้วนะ”
“ยิ่งไปกว่านั้น หน้าก็บวมเหมือนหัวหมูเลย ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายเป็นคุณชายรองของบริษัทเซิ่งซื่อหรือ? ระหว่างเขากับผู้จัดการฉินมีบุญคุณความแค้นอะไรกันเนี่ย? หรือว่าจะเป็นศึกแย่งชิงผู้หญิง?
“ใครจะไปรู้ล่ะ ทุกคนก็รู้อยู่ไม่ใช่เหรอว่าสองคนนี้ไม่ลงรอยกัน? ผู้จัดการฉินของพวกเรานั้นไม่ใช่คนขี้ขลาด คงไม่เป็นไรหรอก ถูกชกไปแบบนี้เดี๋ยวก็ชินไปเอง
……
ชางหลิงกระแอมเสียงอย่างอดไม่ได้ คนที่อยู่ภายใต้การดูแลของฉินซางนั้นคิดถูกแล้วจริงๆ เหรอ เจ้านายของตัวเองถูกทุบตีขนาดนี้ แต่กลับพูดว่าถูกตีไปเดี๋ยวก็ชินเองแหละ?
เธอเดินเข้าไปในตึก และออกจากลิฟต์ ซึ่งที่อยู่ตรงสุดทางของระเบียงจากระยะไกลเธอก็เห็น หลีซินกำลังยกเก้าอี้ที่ขาหักตัวหนึ่งออกมา เขานั่งลงแล้วเล่นเกม เมื่อเห็นว่าเธอมาแล้ว เขาตาเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย
“พี่สะใภ้ครับ พี่มาแล้วเหรอ? ” หลี่ซินรีบลุกขึ้นยืน
“พี่สะใภ้อะไร ก็บอกไปแล้วไงว่า ให้เรียกฉันว่าเสี่ยวหลิง” ชางหลิงกำชับเขา อย่างไรก็ตามที่นี่ก็เป็นพื้นที่ของฉินซาง ถ้าถูกคนอื่นได้ยินเข้า มันอาจจะโดนพาดหัวข่าวอีก
หลีซินรู้สึกลำบากใจ เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าโหมวยู่ เขาก็จะไม่กล้าเรียกเธอแบบนี้ เพราะเขาไม่กล้าต่อต้านเหมือนกับฉินซาง
“พวกเขาสองคนล่ะ? ” ชางหลิงถาม
หลีซินเบะปากพร้อมกับหันหน้าไปทางประตูที่ปิดอยู่ “นี่ พอพี่บอกว่าจะมาเก็บศพ ผมก็ไม่กล้าทำอะไรอีกเลยครับ”
ชางหลิงปลดล็อกประตู เธอโอ้อวดว่าตัวเองมีจิตที่แข็งแกร่ง แต่เมื่อ เธอได้เห็นสภาพข้างในนั้นแล้ว กลับถึงกับต้องตะลึงกันเลยทีเดียว
ออฟฟิศใหญ่ตอนนี้กลับไม่มีที่ที่จะวางเท้าได้เลย ของประดับตกแต่งด้วยงานฝีมือที่ฉินซางหวงแหนมาตลอด กลับกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย นอกจากนี้ ตู้ โต๊ะทำงาน หรือแม้แต่โซฟา ยังถูกเครื่องจักรหนักทับจนยับเยิน และมันก็ไม่มีของอะไรที่เหมือนเดิมอีกเลย .
ไวน์แดงสดหกเลอะเต็มพื้น ชางหลิงมองดูความยุ่งเหยิง มันยากที่จะเชื่อจริงๆ ว่าโศกนาฏกรรมดังกล่าวเกิดจากคนสองคนด้วยมือเปล่า
เธอเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง และหลังโซฟาที่ด้านหนึ่งสูงด้านหนึ่งต่ำ เธอก็เห็นหลังของผู้ชายทั้งสองคนนั่งอยู่บนพื้นอย่างคลุมเครือ
ชางหลิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก และเดินไปไม่กี่ก้าว เธอก็เห็นว่าคนทั้งสองที่ชกต่อยกันนั้นกำลังนั่งอยู่บนพื้นอย่างว่าง่าย ฉินซางจับไหล่ข้างหนึ่งของเขา ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาบวม และผมก็ยุ่งอย่างกับทรงเล้าไก่ ส่วนโหมวยู่ก็ยังดีหน่อย มือของเขาถลอกเป็นแผล และมุมปากก็ถูกเฉียดด้วย แต่ก็ยังสามารถมองเห็นคราบเลือดอยู่
“ชกต่อยกันจบแล้วเหรอ?” ชางหลิงกอดอก พร้อมกับมองดูทั้งคู่อย่างวางท่า
โหมวยู่เงยหน้าขึ้นมา ไม่รู้ทำไม ชางหลิงกลับรู้สึกว่าในสายตาของเขานั้นกลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ราวกับว่าเขากำลังบอกให้เธอรู้ถึงชัยชนะของเขา
“อืม” เขาตอบอย่างเฉยชา
ชางหลิงเข้าหาเขาและยื่นมือของเธอออกไป
โหมวยู่กำลังจะดึงมือของเธอโดยไม่รู้ตัว แต่ชางหลิงกลับเดินผ่านเขาไปและเช็ดเลือดบนใบหน้าของฉินซาง “เจ็บไหม?”
ฉินซางเวียนหัวจนตาลายและพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “คนที่ลงมือทำเช่นนี้ช่างโหดเหี้ยมจริงๆ”
“หลีซิน” ชางหลิงตะโกนไปยังหลี่ซินที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง “อย่ามัวแต่อ้ำอึ้มเลย ไปเรียกรถพยาบาลมา”
“หลิงหลิงน้อย นี่ผมทำเพื่อคุณนะ คุณจะต้องจดจำความดีของผมไว้ด้วยนะ” ฉินซางทำหน้ามุ่ย
“ฉันจำแล้วค่ะ” ชางหลิงเกือบต่อยเขาก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามันช่างเป็นความคิดที่แย่จริงๆ และมันก็สมควรที่จะถูกทุบตีจนกลายเป็นหัวหมูแบบนี้
หลีซินเข้ามาและหามฉินซางออกไป ภายในห้องที่รก ชั่วพริบตาเดียวก็เหลือเพียงชางหลิงและโหมวยู่สองคนเท่านั้น
มือของโหมวยู่ตกลงไปบนตัวของเขา และเขาก็ลุกขึ้นอย่างช้าๆ เขาก้มหน้าลงโดยไม่มองเธอเลย
“ผมก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกันนะ ทำไมไม่ถามผมว่าเจ็บบ้างไหม? ” เสียงของโหมวยู่ต่ำมาก
“คุณยังรู้จักเจ็บด้วยเหรอ?” ชางหลิงมองบนมองใส่เขา “เวลาชกต่อยคนคุณมันอวดดีมากนี่”
โหมวยู่ลุกขึ้นด้วยตัวเอง โดยไม่พูดอะไรสักคำ
เสื้อผ้าที่เขาสวมนั้นเลอะเทอะไปหมด และมีคราบไวน์ติดอยู่ด้วย เขาปลดกระดุมที่ปกเสื้อลงมาอย่างฉุนเฉียว พร้อมกับหันหน้าไปทางประตู และทำท่ากำลังจะเดินออกประตูไป
“เฮ้ย” ชางหลิงตะโกนเรียกเขา
ฝีเท้าของโหมวยู่หยุดลง
“ฉันขอโทษนะ” ชางหลิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ฉันรู้ว่าฉันมีหลายเรื่องที่ทำไม่ถูก แต่ฉันก็หวังว่าระหว่างเราจะสามารถสื่อสารกันได้ดีขึ้นเหตุผลที่ฉินซางทำเรื่องตลกพวกนี้ จริงๆ แล้วเพียงเพื่อกระตุ้นคุณให้เป็นฝ่ายเข้าหาฉันก่อนเท่านั้น”
โหมวยู่ไม่ตอบ
“ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน ฉันจะต้องฝ่ายหยุดและเป็นฝ่ายเริ่มเข้าหาคุณเพื่อยอมรับผิดก่อนเสมอ แต่ว่า คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลยงั้นเหรอ? บางทีคุณอาจจะเคยชินกับการเก็บทุกอย่างไว้ในใจ แต่ตอนนี้คุณไม่ได้ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้วนะมีเรื่องที่เราไม่สามารถเผชิญไปด้วยกันเหรอ?” ชางหลิงค่อยๆ เดินไปข้างๆ เขา
“ฉันมักจะพูดกับตัวเองว่า ความสัมพันธ์ของเรา เป็นเพราะคุณเป็นฝ่ายเข้าหาก่อนพวกเราจึงมีวันนี้ ดังนั้นแม้ว่าคุณจะโกรธฉัน ฉันก็จะหน้าด้านเกาะติดคุณและง้อคุณทุกๆ ครั้งไป เมื่อคุณก้าวเข้ามาหาฉันแล้วหนึ่งก้าว อีก 99 ก้าวที่เหลืออยู่ ฉันก็จะก้าวต่อไปอย่างกล้าหาญ แต่ฉันก็หวังว่า ฉันที่พยายามเดินตรงไปหาคุณแบบนี้ อย่างน้อยคุณก็จะไม่เดินถอยกลับไป ได้ไหม?”
โหมวยู่ถอนหายใจออกอย่างสงบ
เขาหันกลับมา และก้มมองลงไปยังชางหลิงที่สูงถึงแค่หน้าอกของเขา
“ผมไม่โกรธแล้ว” เขาตอบกลับ
“แล้วคุณจะยังมาชกต่อยกับฉินซางอีกไหมล่ะ?” ชางหลิงงุนงง
แววตาของโหมวยู่มีความหวาดผวาเล็กน้อย เขาหลับตา และสีหน้าของเขาก็ดูยุ่งเหยิง