“โหมวยู่” ชางหลิงทำเสียงอ่อนโยน
“ไม่ต้องเรียกฉันหรอก” โหมวยู่มองปราดไปอีกด้านหนึ่ง “ในเมื่อคุณไม่ต้องการพึ่งพาผมมากขนาดนี้ งั้นจากนี้ไป คุณก็จัดการปัญหาเองนะ”
รถก็แล่นขึ้นมาอีกครั้ง และชางหลิงเองก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไงดีเธอคิดในใจว่าจะอธิบายอย่างละเอียดให้เขายังไงดี แต่เมื่อมาถึงประตูวิลล่า เธอก็ลงจากรถ แต่โหมวยู่กลับไม่ได้ตามเธอลงมา เขาเหยียบคันเร่งอีกครั้ง แล้วจากไปอย่างสง่าผ่าเผย
ชางหลิงยืนมองดูเงาของรถที่ขับออกไปที่ประตูเดิมทีเธอก็ยังรู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นท่าทีที่เลวร้ายขนาดนี้ของเขา ความขุ่นเคืองก็เพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เขาทำอย่างนี้ทุกครั้ง และไม่เคยฟังคำอธิบายของเธอเลย
เธอยังไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ เพราะเขาทำอะไรก็ไม่เคยบอกเธอเหมือนกัน ก็เหมือนกับวันนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะโหมวยู่พูดขึ้นมา เธอก็ไม่รู้ด้วยเหมือนกันว่าเขาไปลุงฝูเมืองใกล้เคียงแล้ว
“ครั้งนี้ฉันจะไม่ไปง้อคุณหรอก” ชางหลิงอ้าปาก ทั้งๆ ที่เป็นคำที่โมโห แต่เมื่อพูดออกไปกลับรู้สึกน้อยใจจนทนไม่ไหว
เธอเพิ่งถูกโหมวเจิ้งถิงทำให้ตกใจจนเกือบตายแต่โหมวยู่กลับไม่พูดปลอบเธอเลยสักคำ รู้แต่จะตำหนิเธออย่างสุ่มสี่สุ่มห้าเท่านั้นเมื่อนึกถึงโหมวเจิ้งถิงชางหลิงก็นึกถึงสิ่งที่เขาพูดขึ้นอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ โดยเขาบอกว่าตัว โหมวยู่เองก็รู้ข้อเสนอนั้นเช่นกัน ดังนั้น เขาจึงเห็นด้วยกับความคิดของพ่อเขาอย่างเงียบๆ และอยากเสพสุขกับชีวิตคู่ที่ร่ำรวยเหรอ?
ชางหลิงข้ามผ่านทั้งคืนไปด้วยความโกรธ และในคืนนี้โหมวยู่ก็ไม่ได้ส่งข้อความถึงเธอเลย ชางหลิงจ้องไปที่รูปโปรไฟล์ของเขา และลบกล่องโต้ตอบข้อความของเขาอย่างอารมณ์ไม่ดีเพราะไม่อยากให้เขามาขวางทางสายตาของตัวเอง
ณ ตึกเซิ่งซื่อ
ทันทีที่ชางหลิงเข้าประตูไป ก็ได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ทุกคนกำลังพูดถึงเธออย่างคลุมเครือเมื่อทุกคนเห็นเธอต่างก็พากันส่งสายตาอิจฉามาที่เธอชางหลิงไม่ต้องเดาก็รู้เหตุผล อย่างไรเสีย ในบริษัทเซิ่งซื่อ นอกจากคนสามคนที่ยืนอยู่ในที่สูงสุดแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะได้รับเกียรติที่ท่านประธานจะช่วยดำเนินงานให้ด้วยตัวท่านเอง
“ชางหลิง” โจวลี่ลี่เห็นเธอ ท่าทีของเธอก็เปลี่ยนไปทั้งหมดอย่างสิ้นเชิงทันที “มองไม่ออกจริงๆ เลย เธอไปรู้จักกับท่านประธานตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
ชางหลิงเลิกคิ้ว “ฉันไม่ได้รู้จักเขานิ”
“อย่าแกล้งไปเลยน่า” หลิวจื่อเวยกลอกตา “ฉันรู้อยู่แล้วว่า คนอย่างเธอน่ะ ต้องเข้ามาด้วยเส้นสายกระทั่งท่านประธานเกือบจะเป็นปู่ของเธอแล้ว ยังแอบลงมือได้เน้อ”
ชางหลิงไม่พอใจ เพราะความขัดแย้งกับโหมวยู่ในเมื่อคืนนี้ก็ทำให้เธออารมณ์เสียและหงุดหงิดอยู่แล้ว แต่หลิวจื่อเวยดันมาชนปากกระบอกปืนของตัวเองโดยบังเอิญอีก
“ระวังปากหน่อยนะ” ชางหลิงจ้องเธออย่างไม่เกรงใจ
“ทำไม ตัวเองกล้าทำแต่ไม่กล้ายอมรับสะงั้น?และมันก็ไม่ใช่ฉันคนเดียวที่คิดแบบนี้ บริษัทเซิ่งซื่อในตอนนี้มีใครบ้างที่ไม่ลือ? ไปมิลานกันเยอะขนาดนี้ข้างในมีนักออกแบบเหรียญทองกี่คนกันล่ะ? แต่กลับมีแค่ไอ้เด็กฝึกงานอย่างเธอที่มีสิทธิ์เข้าพบกับท่านประธานได้” หลิวจื่อเวยไม่ได้กลัวเธอเลย และเธอก็โต้กลับโดยตรง
เมื่อชางหลิงเห็นท่าทีแบบนี้ของเธอก็ส่งเสียงหัวเราะเยาะ
“ก็ได้ ในเมื่อเธอคิดว่าพวกเธอทุกคนต่างก็คิดว่า ผู้อยู่เบื้องหลังของฉันคือท่านประธานแล้วทำไมฉันไม่โทรหาเขาตอนนี้เลยล่ะ?พอดีว่าฉันเห็นว่าเธอไม่ขัดหูขัดตา และไม่อยากไปมิลานกับเธอแล้ว และก็ไม่อยากอยู่บริษัทเดียวกันกับเธอ พี่จื่อเวยคะ ลาก่อนนะคะ” ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ชางหลิงก็ทำท่าจะหยิบมือถือออกมา
“นี่เธอ!” การแสดงออกของหลิวจื่อเวยเปลี่ยนไปทันที และเปลี่ยนเป็นความกลัว “เธอ เธอจะมากเกินไปแล้วนะ”
“ตอนนี้รู้ถึงความกลัวแล้วเหรอ?” ชางหลิงไม่ได้มีความอดทนอะไรมาก “ถ้าฉันเป็นเธอ ก็จะเรียนรู้ที่จะเป็นฉลาดสักหน่อย และใช้เวลาอยู่กับงานมากขึ้น อย่าเอาแต่วันๆ จ้องมองแต่ตัวฉัน ฉันไม่รู้ว่า เธอได้รับเงินจากใครให้มาแข่งกับฉัน”
หลิวจื่อเวยหรี่ตาลงและค่อยๆ รวบฝ่ามือของเธอ
“จื่อเวย” เมื่อโจวลี่ลี่เห็นว่าบรรยากาศระหว่างคนทั้งสองเริ่มตึงเครียด เธอจึงรีบมาช่วยเคลียร์ไว้ “ที่ทุกคนทำงานร่วมกัน เพราะจะต้องไปมิลานด้วยกัน ดังนั้นอย่าทำร้ายความสงบเลย
เธอเป็นผู้ช่วยของหลิวจื่อเวยถ้าหลิวจื่อเวยไปมิลานด้วยไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเธอเลย
คำพูดของ โจวลี่ลี่นับว่าทำให้หลิวจื่อเวยขึ้นไปอีกขั้นเลย ผ่านไปอยู่พักหนึ่ง เธอก็เผยรอยยิ้มออกมา เธอกลั้นอารมณ์ตัวเองและเดินไปตรงหน้าชางหลิง “ลี่ลี่พูดถูกเมื่อกี้นั้นเป็นเพราะฉันรีบเกินไปเลยพูดไปแบบนั้น เลยล่วงเกินเธอ ให้อภัยหน่อยก็แล้วกันนะ ”
ชางหลิงมองเธออย่างเย็นชาไปแวบหนึ่ง แล้วหยิบมือถือกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกง พร้อมกับเดินตรงไปที่ที่นั่งของตัวเอง
“โอ้” ซูเสี่ยวเฉิงเข้ามาใกล้ “ฉันรู้สึกว่า เธอจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ เป็นเพราะเมื่อคืนไม่ราบรื่นหรือเปล่า?”
“ไม่ได้มีอะไรหรอก” สีหน้าของชางหลิงไม่สบอารมณ์
หลิวจื่อเวยถูกคนอื่นมองว่าเป็นเรื่องตลก ในขณะที่เกิดความไม่ยุติธรรม ทันใดนั้น กลับมีเสียงดังมาจากประตู
“ที่รักทั้งหลาย ฉันกลับมาแล้ว คิดถึงฉันกันบ้างไหมเนี่ย?”ถงเอินถือถุงของขวัญกองหนึ่งไว้ในมือ และเหยียบรองเท้าส้นสูงเดินขึ้นมาที่ห้องทำงานอย่างยักย้ายส่ายสะโพก
“ผู้อำนวยการ ถงคะ” ซูเสี่ยวเฉิงตาเป็นประกาย “ผู้อำนวยการ ถงกลับมาแล้ว”
ทันทีที่ถงเอินเข้าประตูมาก็สังเกตเห็นว่าบรรยากาศที่นี่มันดูแปลกๆเธอกวาดมองไปและเห็นใบหน้าที่ตึงเครียดของชางหลิง
“มาๆ ฉันได้เตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้ทุกคนด้วย มารับด้วยตัวเองนะ” ถงเอินวางของในมือลงบนโต๊ะที่ว่างๆ แล้วทุกคนก็เดินล้อมกันมาอย่างลิงโลด
“ผู้อำนวยการ ถงคะ ผู้อำนวยการลาพักผ่อนไปตั้งหนึ่งเดือน พวกเรานี่อยากจะฆ่าผู้อำนวยการเลยจริงๆ” โจวลี่ลี่ก็ยังคงเป็นสุนัขรับใช้ตัวแรกเสมอ
“ใช่ค่ะผู้อำนวยการได้ยินมาว่าผู้อำนวยการไปพักผ่อนต่างถึงประเทศเหรอคะ? น่าอิจฉาจริงๆ เลยค่ะ”
เรื่องของถงเอินและฉู่ฉือยังไม่ได้เปิดเผยดังนั้นทุกคนจึงไม่รู้ว่าถงเอินไปดำเนินพิธีแต่งงานแบบท่องเที่ยวของตัวเอง
“มันน่าอิจฉาตรงไหนกัน รอให้พวกเรากลับมาจากมิลานก่อน ทุกคนก็จะได้หยุดประจำปีด้วย ได้ยินมาว่าวันหยุดประจำปีนี้หยุดตั้ง 15 วันเลยนะแต่ฉันก็มีงานในมือเยอะมาก ดังนั้นอย่าทำให้กระทบกับตอนที่จะกลับบ้านไปฉลองปีใหม่ล่ะ” ถงเอินยิ้ม เธอไม่ใช่คนแข็งกร้าวหรือเสแสร้ง แม้ว่าเธอมักจะมีข้อกำหนดที่เข้มงวดในการทำงาน แต่ภายใต้ความส่วนตัวนั้นเธอก็ยังเข้ากับกับพนักงานระดับพื้นๆ เหล่านี้
เหล่าเพื่อนร่วมงานแต่ละคนก็หยิบของขวัญของถงเอินไป มีแค่ชางหลิงเท่านั้น ที่ปากกาของเธอกำลังเคลื่อนไหวบนกระดานวาดภาพ และไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ กับของขวัญเหล่านี้เลย
ถงเอินเลือกเบอร์สีลิปสติกที่เหมาะกับเธอจากกล่อง แล้วเดินไปข้างๆ เธอ
“ถ้าทุกคนตั้งใจเหมือนดีไซเนอร์ชางคนนี้พวกเรากลุ่ม 3 คงจะได้เหรียญทองกันทุกคน” ถงเอินวางลิปสติกลงบนโต๊ะของเธอ
“ขอบคุณค่ะ” ชางหลิงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเลย
ถงเอินกระแอมคอพร้อมกับเคาะโต๊ะของเธอ “ฉันดูร่างออกแบบที่เตรียมจะเข้าร่วมการแข่งขันของเธอแล้ว มันมีปัญหานิดหนึ่ง ตามฉันมาสิ”
ร่างออกแบบมีปัญหาเหรอคะ? ชางหลิงตกตะลึงทั้งๆ ที่ร่างออกแบบของเธอมักจะผ่านก่อนทุกครั้งแล้วมันจะมีปัญหาได้ยังไง?
เธอเงยหน้าขึ้นและสบตาเข้ากับสายตาที่มีความหมายลึกซึ้งของถงเอิน
“เฮ้ย” ถงเอินเอนตัวเข้าใกล้ข้างหูของเธอ “พอดีฉันมีของขวัญชิ้นใหญ่จะมอบให้เธอน่ะ”
ชางหลิงขมวดคิ้วและรู้สึกอยู่ตลอดว่าของขวัญชิ้นใหญ่ที่เธอพูดนั้นมันต้องไม่ใช่เรื่องดีอะไร