ชางหลิงตื่นตระหนกตกใจ
ในดวงตาของโม่โม่เต็มไปด้วยแสงของความลำพองใจพร้อมด้วยท่าทางที่กำลังรอชมการเสแสร้ง
“เดี๋ยวก่อน!” เมื่อเห็นว่าคนข้างนอกกำลังจะเข้ามาลากเธอไป ชางหลิงก็รีบตะโกนออกมา
เธอตัวสั่นไปครู่หนึ่ง และความกลัวที่แท้จริงก็พุ่งเข้ามา แต่หล่อนก็ยังแสดงท่าทีสงบอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร เธอเสียงสั่น “วันนี้ท่านประธาน รับฉันมาเพื่อชมเชยและให้รางวัลแก่ดีไซเนอร์หน้าใหม่ ซึ่งตอนนี้บริษัทเซิ่งซื่อทั้งบริษัทต่างก็เห็นอกเห็นใจและเห็นใจผู้ใต้บังคับบัญชามากหากว่าเกิดอะไรที่นี่กับฉัน ก็เกรงว่าไม่ทันได้ถึงวันเมืองหนานทั้งเมืองจะมีการคาดการณ์ที่ไม่ดีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่”
“ชมเชยและให้รางวัลกับดีไซเนอร์หน้าใหม่เหรองั้น?” โหมวเจิ้งถิงงุนงง
ชางหลิงไม่ส่งเสียง แต่ดูเหมือนว่าโม่โม่จะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ หล่อนหยิบมือถือออกมา และเห็นว่ากลุ่มในบริษัทกำลังพากันวุ่นวาย
ภาพถ่ายที่ชางหลิงถูกโจวฝูรับขึ้นรถกำลังถูกเผยแพร่อย่างดุเดือด และซูเสี่ยวเฉิงก็ได้พูดไปในกลุ่มนานแล้วว่า ชางหลิงในฐานะนักออกแบบคนใหม่ถูกโหมวเจิ้งถิงรับไปแล้ว และเดินทางไปที่มิลานเพื่อเลี้ยงส่งโดยเฉพาะ
“เธอนี่มันไร้ยางอายสิ้นดี!” โม่โม่วางมือถือลงบนโต๊ะ “ใครจะเลี้ยงส่งให้เธองั้นเหรอ?”
ชางหลิงรีบก้มหัวลงทันที “ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ ฉันกับท่านประธานไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกันเลย และไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้นกันด้วยซึ่งฉันก็ไม่รู้จริงๆ ค่ะว่าเขามาหาฉันทำไม ฉันแค่คาดการณ์ไปเรื่อยเท่านั้น และคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องตลกเหล่านี้จะถูกคนคิดว่าเป็นเรื่องจริง”
“เธอมันจงใจ” โหมวเจิ้งถิงพูดประโยคยืนยัน พร้อมกับมองไปที่ชางหลิงอย่างน่าสนใจพร้อมด้วยยกถ้วยน้ำชาขึ้น “แต่แล้วจะยังไงล่ะ? ถ้าฉันฆ่าเธอจริงๆ พวกเธอจะทำยังไงกับฉันล่ะ?”
ชางหลิงยิ้ม เธอเงยหน้าขึ้น พร้อมกับเผชิญหน้าโหมวเจิ้งถิง
“น้ำสามารถพยุงเรือให้ลอยได้ก็สามารถคว่ำเรือให้จมได้ ” ชางหลิงกะพริบตา “ชีวิตน้อยๆ ของหนูมันเทียบกับอะไรไม่ได้หรอกค่ะ ต่อให้หนูต้องตาย มันคงจะกลายเป็นเพียงเรื่องซุกซิบในปากทุกคนเท่านั้น กดขี่ไปแค่ช่วงหนึ่ง มันจะหายไป แต่มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนเอาใจใส่หยิบนำเรื่องเล็กๆ นี้ของหนูไปทำเป็นบทความเมื่อถึงตอนนั้นหากส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของตระกูลโหมวแล้วมันจะแย่เอานะคะ”
เป็นคนล้วนมีจุดอ่อนกันทั้งนั้น ชางหลิงสำรวจโหมวเจิ้งถิงไปรอบหนึ่งซึ่งจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเขา ก็คือหน้าตาและศักดิ์ศรี
ทุกสิ่งอย่างที่เธอทำ ก็แค่พายเรือตามน้ำเพื่อสร้างโฆษณาชวนเชื่อ แต่ก็ไม่ได้อกตัญญูเขา ตราบใดที่ไม่ทำลายหน้าและศักดิ์ศรีของเขา โหมวเจิ้งถิงคงไม่ถึงกับลงมือฆ่าเธอ
“เธอนี่ใช้กลอุบายได้ฉลาดมาก” โหมวเจิ้งถิงจิบชาไปคำหนึ่ง
ชางหลิงก้มหน้าลง และเธอก็ยังคงอ่อนน้อมถ่อมตน “และไม่กล้ารีบร้อนต่อหน้าท่านประธาน”
“พี่เจิ้งถิง อาการบาดเจ็บของโม่โม่…” โม่หยวนผิงเตือนเขา
“ในเมื่อคุณโม่พูดว่าฉันทำร้ายเธอไม่ทราบว่าฉันพอจะช่วยดูแผลให้หน่อยได้ไหมคะ?” ชางหลิงออกปากพูดก่อน
“เธอคู่ควรด้วยเหรอ?” โม่โม่เชอะใส่เธอไปทีหนึ่ง “ใครจะรู้ว่าเธอคิดสกปรกอะไรอยู่?”
“ฉันไม่ยอมรับว่าทำร้ายเธอ แต่คุณโม่กลับพูดตำหนิว่าหนูเป็นคนทำ ในเมื่อเราทุกคนต่างก็ยืนยันแล้วว่าวิธีที่ได้ผลที่สุด ก็คือการตรวจสอบบาดแผล” ชางหลิงตอบเธอ “ก็คือถ้ามีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น ก็จะมีการชันสูตรผ่าศพ ไม่อย่างนั้น การที่คุณตัดสินลงโทษฉันด้วยคำพูดคำเดียวที่ไม่ได้คิดอะไร ยังไม่ใช่ว่าฉันกำลังถูกใส่ความอีกเหรอคะ?”
“ท่านประธานคะ.. ” โม่โม่หวาดผวา “เธอหยุดยุให้รำ ตำให้รั่วฉันที่นั่นนะ”
“ท่านประธานคะ ท่านรู้สึกยังไงบ้างคะ?” ชางหลิงมองไปที่โหมวเจิ้งถิง
สายตาโหมวเจิ้งถิงหยุดอยู่ที่คอโม่โม่ พร้อมกับเบือนหน้าออกไปเบาๆ
“ฮึ” เขาส่งเสียงอย่างเย็นชา “โม่โม่น่ะล้ำค่าสง่าผ่าเผย ฐานะสูงส่ง ส่วนไอ้คนฐานะต่ำต้อยอย่างเธอพูดว่าจะตรวจสอบก็สามารถตรวจสอบได้งั้นเหรอ?”
รอยยิ้มที่มุมปากชางหลิงเยือกเย็น แต่กลับไม่ได้แสดงออกมันมา” ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว หนูก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงแล้วล่ะ
หนูยอมรับผิดเอง การที่หนูข่มขู่คุณโม่เป็นเพราะหนูผิดเอง แต่เรื่องที่ทำร้ายเธอ หนูขอไม่ยอมรับนะ”
“มีคนควบคุมและคอยสังเกตอยู่เบื้องหลัง และเรื่องที่คุณโม่ทำที่นั่น คาดว่าคนที่ควบคุมและคอยสังเกตนั้นได้บันทึกไว้แล้ว หนูว่า ถ้าคุณโม่ มีความมั่นใจจริงๆ การควบคุมและคอยสังเกตที่นั่น มันคงจะไม่โดนทำลายจนเสียหายอย่างเหมาะเจาะและบังเอิญขนาดนั้น ว่าไหมคะ?”
ชางหลิงจงใจซักถามเธอ
“นี่เธอ…” โม่โม่ขาดเหตุผล หล่อนอยากจะพูดว่าการควบคุมและคอยสังเกตที่นั่นเพิ่งจะถูกทำลายลง
“งั้นเหรอ ต่อให้มันโดนทำลายไปก็ไม่เป็นไรหรอก ฉันรู้จักโปรแกรมเมอร์ที่ฝีมือดีมากคนหนึ่ง ทั้งการควบคุมและคอยสังเกตหรือการซ่อมแซมเล็กน้อยนั้นไม่ใช่ปัญหาเลย แต่มันก็ไม่เท่า ที่พวกเราไปดูด้วยกันหรอก?”
“หุบปาก!” โม่โม่ลุกขึ้น “ชางหลิง ปกติที่เธอมักจะพึ่งพาความเย่อหยิ่งของโหมวยู่นั้นมันก็มากพอแล้วนะวันนี้ต่อหน้าคุณลุงโหมวเธอไม่ให้ความสำคัญคุณลุงโหมวบ้างเลยหรือไง?
“พอแล้ว!” โหมวเจิ้งถิงส่งเสียงดุด่าเสียงดัง
โม่โม่ตกใจไปครู่หนึ่ง เธอหันหน้ากลับมา แล้วสบตาเข้ากับสายตาที่กล่าวเตือนของโม่หยวนผิง
เห็นได้ชัดว่า ชางหลิงได้เปรียบแล้ว และยังคงกวนใจต่อไป แต่แค่กลัวว่าจะทำให้สถานการณ์ยิ่งยากเกินกว่าจะจัดการได้
“โม่โม่ เอวพ่อของเธอก็ไม่ดี และเขาก็นั่งอยู่ที่นี่นานมากแล้ว เธอช่วยพยุงเขาไปพักผ่อนหน่อยเถอะ” แม้ว่าโหมวเจิ้งถิงกำลังคุยกับโม่โม่แต่สายตาที่ดุร้ายนั้นยังคงจ้องมองไปที่ชางหลิงตลอด
“คุณลุงโหมวคะ” โม่โม่ไม่ยินยอม
“โม่โม่” โม่หยวนผิงส่งเสียงเรียกหล่อน
โม่โม่อารมณ์เสีย แต่กลับไม่กล้าฝ่าฝืนความหมายของโหมวเจิ้งถิง จึงทำได้แค่ช่วยพยุงโม่หยวนผิงออกจากห้องน้ำชาไป
ครู่เดียวห้องน้ำชาก็เงียบลง และโหมวเจิ้งถิงหยอกเล่นกับเต่าในอ่างน้ำบนโต๊ะ แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่กลับทำให้ชางหลิงรับรู้ถึงความเยือกเย็นบนตัวเขา
“นั่ง” โหมวเจิ้งถิงส่งเสียงเย็นชา
ชางหลิงไม่เคลื่อนไหวใดๆ
“ทุกคนไปกันหมดแล้ว ยังจะเสแสร้งอะไรอีก?” โหมวเจิ้งถิงกวาดตามองเธอไปแวบหนึ่ง
ชางหลิงส่งเสียงหัวเราะ พร้อมกับดึงเก้าอี้ตรงข้ามโหมวเจิ้งถิงออกอย่างไม่เกรงใจจากนั้นก็นั่งลง พร้อมกับรินชาให้ตัวเองแก้วหนึ่ง ต้องพูดว่า เมื่อกี้พูดมากไปหน่อย เลยคอแห้ง
“ทำไมเธอถึงไม่บอกเรื่องที่ฉันขอให้เธอมากับโหมวยู่ล่ะ?” โหมวเจิ้งถิงหยิบอาหารขึ้นมากำมือหนึ่ง แล้วโยนลงในอ่างน้ำ
“บอกไปแล้วไม่ใช่ว่าตอนนี้บริษัทเซิ่งซื่อทั้งบริษัทต่างก็รู้กันหมดแล้วเหรอ?” ชางหลิงไม่เห็นด้วย
“สิ่งที่ฉันพูดคือการบอกให้โหมวยู่โดยเฉพาะ” โหมวเจิ้งถิงหรี่ตาลง
ชางหลิงสบตาเข้ากับสายตาของโหมวเจิ้งถิง และบรรยากาศระหว่างทั้งสองก็ตึงเครียดเล็กน้อย
“ลูกสะใภ้น่าเกลียดก็ต้องเจอพ่อผัวและแม่ผัวนะ” ชางหลิงทำหน้ายิ้มอย่างประจบสอพลอ
“และหนูก็เชื่อด้วยว่า ครั้งนี้ คุณลุงไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อหนูหรอก”
“ทำไมคิดอย่างนี้ล่ะ?” โหมวเจิ้งถิงถามเธอ
“ถ้าอยากจัดการหนู คงต้องทำเหมือนกับครั้งที่แล้ว ให้คนสกัดหนูระหว่างทางไปทำงาน แทนที่จะให้คนใกล้ชิดคุณลุงมารับหนูที่บริษัทเซิ่งซื่อ ยิ่งกว่านั้น สถานที่ที่คุณลุงได้เลือกนัดพบก็ยังเป็นโรงชาของตระกูลโม่อีก เห็นได้ชัดว่า ทำไปเพื่อช่วยตัดสินใจให้กับโม่โม่ แต่หนูกลับไม่ได้ทำอะไรที่เหนือกว่า และไม่รู้สึกละอายใจอะไร” ชางหลิงตอบกลับอย่างไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง
“ฮึ” โหมวเจิ้งถิงส่งเสียงเย็นชา “พูดเก่งดีนิ แต่น่าเสียดาย มีปากแค่ปากเดียว จะไปเปลี่ยนอะไรได้?”
“หนูจะสามารถเปลี่ยนอะไรได้บ้างนั้นหนูไม่ได้รู้หรอกค่ะ แต่หนูรู้ว่า คุณลุงอยากพบหนู และไม่เพียงแค่ต้องการคืนความเป็นธรรมให้โม่โม่เท่านั้น แต่คุณลุงยังเริ่มสงสัยในตัวหนูแล้ว ใช่ไหมคะ?”
โม่โม่เป็นคนนิสัยแบบไหน ชางหลิงเชื่อว่า โหมวเจิ้งถิงรู้ดี ถ้าเขายอมรับว่าเธอทำร้ายโม่โม่คาดว่าคนที่มารับเธอไปนั้น คงต้องเป็นตำรวจแล้ว
เขารู้ว่าโม่โม่ไม่มีหลักฐาน และเขาก็ต้องการหาเหตุผลที่จะพบเธอ ดังนั้นเขาจึงพายเรือตามน้ำ
โหมวเจิ้งถิงยังคงโยนอาหารลงในอ่างน้ำ และเจ้าเต่าก็กินอย่างมีความสุข ชางหลิงลูบแหวนบนมือตัวเอง พร้อมกับยกมือขึ้นมา แล้วริมชาให้โหมวเจิ้งถิงไปแก้วหนึ่ง
“ฉันเฝ้าดูทิศทางการเคลื่อนไหวของเธอมาโดยตลอดจริงๆ” โหมวเจิ้งถิงไม่ได้มองเธอ
ตั้งแต่ที่เธอเข้ามาในบริษัทเซิ่งซื่อ การกระทำทั้งหมดของเธอ ก็ตกอยู่ในสายตาของเขา
“เธอก็ไม่เลวนะ พรสวรรค์เยอะทีเดียว และคนก็เจ้าเล่ห์มากเช่นกัน แต่ท้ายที่สุดเธอก็ยังเด็กเกินไป ไม่รู้จักความหนักเบาเอาสะเลย” น้ำเสียงโหมวเจิ้งถิงเข้มขึ้น “เธอควรรู้จักว่า สิ่งที่ฉันไม่ชอบที่สุด ในชีวิตของฉัน ก็คือเธอเป็นคนที่ไม่ชอบทำสิ่งต่างๆ ตามลักเหตุผลทั่วไป ดังนั้น ต่อให้เธอจะดีแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลโหมวได้”
ชางหลิงยักไหล่ เธอเปลี่ยนมืออีกข้างพร้อมกับยกถ้วยน้ำชาขึ้นและดื่มชาทั้งหมดในอึดเดียวภายใต้เปลือกตาของโหมวเจิ้งถิง
“เธอควรจะรู้ด้วยว่า ด้วยความสามารถของฉันการที่จะทำให้เธอหายสาบสูญไปจากโลกนี้อย่างที่สุด มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร”