ถงเอินไม่สนใจสายตาวิปริตของชางหลิงเลยสักนิด เธอลุกขึ้น และถือจานผลไม้พร้อมกับเดินไปตรงหน้าพวกผู้ชายนั้น สายตาของเธอไม่ได้ปิดบังอะไรเลย จากนั้นเธอก็กวาดตาองที่ร่างกายของพวกเขาจากหัวจรดเท้า
“อืม สายตาของฉันดีไม่เลวเลยจริงๆ” ถงเอินยืนยันตัวเอง
“เป็นมันเรื่องปกติ คุณถงคะคุณเป็นลูกค้าประจำของเราแล้ว” ผู้จัดการยิ้มอย่างสดใส “สิ่งที่จะแนะนำให้คุณนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นสินค้าชั้นเยี่ยมอยู่แล้ว”
“เอ๊ะ ทำไมฉันไม่เห็นคนนี้มาก่อนเลย” สายตาของถงเอินตกลงไปที่ผู้ชายในเสื้อเชิ้ตสีขาวที่อยู่ด้านข้าง
ชางหลิงก็มองตามสายตาของเธอไป ซึ่งทุกคนต่างก็ถอดเสื้อผ้ากันออกหมดแล้ว เหลือแต่ผู้ชายคนนี้เท่านั้น เขาแค่ยืนขึ้น แต่สายตากลับเต็มไปด้วบความดื้อรั้น
และในคำถามของเธอเมื่อกี้นี้ ทุกคนต่างก็พากันตอบคำถามแล้ว แต่กลับมีแค่เขาที่ไม่ปริปากพูดสักคำ และเขาก็เอาแต่นิ่งเงียบอยู่ตลอด
“นี่เป็นคนใหม่ที่เพิ่งมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วของเรา จึงยังไม่ค่อยเข้าใจกฎเท่าไหร่” ผู้จัดการจึงรีบเดินไปข้างๆ ผู้ชายคนนั้น “ป๋ายจื๋อ ไปไปให้คุณถงเห็นชัดๆ หน่อย”
ป๋ายจื๋อ
แน่นอนว่ามันก็เป็นชื่อที่เข้ากับรูปลักษณ์ของเขามาก
ป๋ายจื๋อไม่ส่งเสียงใดๆ แต่ฝีเท้าของเขาก็ยังโยกย้าย
“ไม่เอาล่ะ” ถงเอินยกมือขึ้น “และฉันก็ไม่ใช่คนชอบบังคับใครด้วย”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ถงเอินก็กลับไปที่โซฟาอีกครั้ง “เฮ้ย เธอคิดว่าไงบ้างล่ะ?”
ชางหลิงเงยหน้าขึ้น และมักจะรู้สึกอยู่ตลอดว่าสายตาตัวเองตกอยู่กับตัวเธอ
“พอดีว่าฉันดูร่างออกแบบของเธอแล้ว สไตล์ของเธอมักจะเข้าไปทางความชอบของคนเอเชียในนี้ใครเป็นคนที่เธอเลือกไว้ในใจ”
“ร่างออกแบบเหรอ?” ชางหลิงตอบไม่ถูก
“ใช่” ถงเอินมองเธออย่างแปลกใจ “ที่นี่เป็นสถานที่รวบรวมนายแบบชื่อดังของเมืองหนานแล้วนะ และเธอก็เป็นดีไซเนอร์ด้วย ย่อมรู้ดีว่า เรื่องนายแบบแน่นอนว่าไม่สามารถพึ่งพาทรัพย์สินของตัวเองได้ บางครั้งต้องออกไปหาความช่วยเหลือจากต่างประเทศ”
“ดังนั้นเธอมาหาฉัน ก็เพราะขอให้ฉันเลือกนายแบบงั้นเหรอ?”สายตาชางหลิงเกือบจะจ้องมองออกไป
“แล้วไง?” ถงเอินรู้สึกได้ถึงความประหลาดใจบนใบหน้าที่แดงเป็นเลือดฝาดของชางหลิง จากนั้นก็ชี้ไปที่ใบหน้าของเธอ และไม่อยากจะเชื่อ “บ้าเอ๊ย ชางหลิง สมองเธอกำลังคิดอะไรอยู่?”
“นี่คือนายแบบที่บริษัทเซิ่งซื่อเลือกไว้สำหรับไปมิลานเพราะเดิมที มีผู้หญิงเยอะกว่าผู้ชาย ถ้าไปถึงต่างประเทศ เธอจะไปหานายแบบที่เหมาะสมและมีความเป็นมืออาชีพได้จากที่ไหน”
ชางหลิงถอนหายใจยาวๆในที่สุดจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของเธอก็ร่วงหล่นลงมา
นายแบบ…จริงๆ ด้วย ทำไมไม่พูดให้เร็วกว่านี้ล่ะเธอกลัวจนเกือบจะคิดว่า…
ไม่แปลกใจซูเสี่ยวเฉิงเลยที่ทุกครั้งเอาแต่ถ่ายทอดสิ่งที่ไร้สาระให้กับเธอ จนทำให้เธอคิดว่าที่นี่คือ…
“บริษัทเซิ่งซื่อมีกฏขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศด้วยเหรอ?” ชางหลิงกังวลเล็กน้อย
“ไม่ได้บอกว่าจะสามารถเชิญ…” ถงเอินหันตาไปอีกด้าน “แต่ก็ไม่ได้บอกว่าไม่ได้”
“โอ๊ยยังไงเธอก็ใช้อย่างกล้าหาญหน่อยสิ เธอเป็นลูกน้องของฉันนะ เกิดอะไรขึ้นฉันก็ต้องรับผิดชอบแทนเธอสิ” ถงเอินตบหน้าอกตัวเอง “เธอว่า ฉันน่าสนใจมากใช่ไหม ของขวัญชิ้นนี้ เธอชอบไหมล่ะ?”
สายตาของชางหลิงก็หันไปยังผู้ชายไม่กี่คนนั้นอีกครั้ง โดยรู้ว่าพวกเขาเป็นนายแบบ สายตาของเธอต้องบริสุทธิ์กว่านี้สะแล้ว
“งั้น…” ชางหลิงยกนิ้วมือขึ้น และตกไปที่คนสวมเสื้อสีขาว “แค่เขา”
ส่วนอีก 4 คน มีสไตล์ส่วนตัวที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่ก็มีแค่ป๋ายจื๋อคนนี้เท่านั้นที่ร่างกายของเขา ให้ความรู้สึกพิเศษกับเธอ
สะอาด…ก็แค่สะอาด
ชางหลิงชอบนายแบบประเภทนี้มากที่สุดเพราะเขาเป็นเหมือนกระดาษเปล่า เพราะเธอสามารถปั้นเขาให้เป็นบทบาทไหนก็ได้
“เอ๊ะ ได้เลยๆ” ผู้จัดการส่งเสียงยิ้มอย่างประจบสอพลอ ส่วนคนอื่นๆ ต่างคนต่างก็สวมเสื้อผ้าสวมเสื้อผ้าและไม่ได้บ่นใดๆจากนั้นพวกเขาต่อแถวแล้วพากันออกไปอย่างได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
“ป๋ายจื๋อ เธอก็อยู่คุยรายละเอียดการทำงานกับคุณถงและคุณ ชางแล้วกันนะ” ผู้จัดการสั่งป๋ายจื๋อ
“ครับ” ในที่สุดป๋ายจื๋อก็ส่งเสียงออกมา
“มาที่นี่ครั้งแรกเหรอ?” ถงเอินถามชางหลิง “มันไม่มีเหตุผลเอาสะเลย ผู้จัดการของคลับนี้เธอต้องรู้จักสิ ทำไมไม่มีใครบอกกับเธอเลยล่ะ?”
“ฉันรู้จักอยู่ค่ะ?” ชางหลิงรู้สึกประหลาดใจ
“ฉินซางไง” ถงเอินตอบเธอ “ต้นสังกัดของเขาคือคนโดดเด่นในเมืองหนานเลยนะ เชี่ยวชาญด้านการปั้นนายแบบด้วย เธอก็ไม่รู้จักด้วยเหรอ?”
“ต้นสังกัดของเขา ทำไมถึงทำให้มันดูเหมือนคลับขนาดนี้ล่ะ?” ชางหลิงดูถูก ที่แท้ก็เป็นสไตล์ของฉินซางนี่เอง ไม่น่าแปลกที่จะถูกเข้าใจผิด
“เดิมทีที่นี่เป็นคลับอยู่แล้ว” ถงเอินไม่เห็นด้วย “ก่อนหน้านี้เป็นคลับ Nova ของโหมวยู่แต่ก็ได้ยินมาว่าเขาแพ้การพนัน ดังนั้นโหมวยู่จึงชดใช้ด้วยการมอบตึกนี้ให้เขา ฉินซางคนนั้นน่ะ หลังจากชนะตึกหลังนี้ การตกแต่งภายในมันสุดยอดมาก และเพราะฉันอยากประหยัดค่าตกแต่งด้วย เลยเข้ามาพัก”
ชางหลิงน้ำลายติดในลำคอและไม่สามารถออกมาได้
บ่อนใหญ่มากเลยนะ และตึกก็ใหญ่ขนาดนี้ด้วยถ้าบอกว่าแพ้ก็คือแพ้เลยเหรอ ที่แท้ก็แค่ไอ้ลูกไม่เอาไหนนี่เอง
ชางหลิงกังวลอย่างอดไม่ได้โหมวยู่มอบมรดกทั้งหมดให้กับเธอแล้ว แต่เขาก็พ่ายแพ้ในระดับนี้ แค่กลัวว่ากว่าจะถึงมือเธอมันคงจะไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
“ทำธุระก่อนเถอะ” ถงเอินดึงความคิดเธอกลับมา จากนั้นก็มองไปยังป๋ายจื๋อที่ยังคงยืนอยู่แล้วชนไหล่ของเธอ “คนยังรออยู่นะ”
“เอ่อ” ชางหลิงลุกขึ้น และเธอก็ถูกถงเอินลากตัวออกมา แต่เธอยังไม่ทันได้หยิบกระเป๋า และแน่นอนว่ายังไม่ได้หยิบไม้บรรทัดมาด้วย
“ยกมือขึ้น” ชางหลิงตบหลังป๋ายจื๋อ และพับแขนเสื้อตัวเองขึ้น
ป๋ายจื๋อยกแขนทั้งสองขึ้นอย่างเชื่อฟัง และชางหลิงผู้ร่างเล็กก็ยืนอยู่ข้างเขา จากนั้นก็เริ่มวัดขนาดด้วยนิ้วไปทีละเล็กทีละน้อย
สายตาของชางหลิงแม่นยำมาก อะไรทำมากไปเธอสามารถหารูปแบบได้และเธอก็บันทึกข้อมูลลงมือถืออย่างตั้งใจจากนั้น ก็ถ่ายรูปร่างกายทั้งหมดของเขาเก็บไว้
“ฉันชื่อชางหลิง” ชางหลิงกดเปิดคิวอาร์โค้ดขอตัวเองแล้วส่งมือถือไปตรงหน้าป๋ายจื๋อ “ฝากช่องทางติดต่อไว้ด้วยนะ”
ป๋ายจื๋อนิ่งเงียบ จากนั้นก็หยิบมือถือออกจากกระเป๋ากางเกง แล้วเพิ่มเธอเป็นเพื่อน
“ผู้จัดการได้บอกเธอแล้วยังว่า ครั้งนี้เราจะไปกันที่มิลาน?” ชางหลิงถามเขา
ป๋ายจื๋อพยักหน้า
“ฉันจะแก้ไขร่างออกแบบตามขนาดของเธอให้ เธอก็เตรียมพาสปอร์ตให้พร้อม แล้ววันมะรืนนี้ เราจะออกเดินทางด้วยกัน” ชางหลิงยื่นมือให้เขา “ขอความร่วมมือราบรื่น”
ป๋ายจื๋อมองไปยังมือที่ขาวสะอาดนั้น แล้วลังเลอยู่นาน จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมาแล้วเขย่ามือกับเธอเบาๆ
ชางหลิงและถงเอินเดินออกมาจากห้องด้วยกัน
“ทำไมเธอถึงเลือกเขาล่ะ? ไอ้หนุ่มคนนั้น เหมือนจะ…ซื่อๆ หน่อยว่าไหม?” ถงเอินงุนงง “ฉันว่าคนอื่นๆ ก็ไม่เลวนะ ก่อนหน้านี้ก็เคยร่วมงานกับเราด้วยนะ อย่างน้อยก็ยังชำนาญ”
“ฉันไม่ต้องการเหตุผลอื่นๆ ที่จำเป็น แค่เงื่อนไขเดียวก็เพียงพอแล้ว” ชางหลิงกอดอก เห็นได้ชัดว่าเธอพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมาก
“แล้วเงื่อนไขอะไรล่ะ?” ถงเอินซักไซ้ไล่เลียง
“เชื่อฟัง” ชางหลิงยิ้ม
ทั้งสองก็ลงตึกไป ขณะที่กำลังจะออกไปก็มีเสียงที่อยากหาเรื่องดังมาจากหลังชางหลิง
“หลิงหลิง?”
ในโลกนี้ มีเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่จะเรียกเธออย่างนี้ คนหนึ่งคือซูเสี่ยวเฉิงและแน่นอนว่า ท่วงทำนองเสียงของผู้ชายนี้ไม่สามารถออกมาจากปากเธอได้ งั้นก็ต้องเป็น…