ดวงตาของชางหลิงเบิกกว้าง เธอคว้ามือของโหมวยู่ด้วยความเร็วราวสายฟ้า และยึดบัตรธนาคารจากมือของเขา เพราะกลัวว่าถ้าช้าไปแค่วินาทีเดียวบัตรธนาคารใบนี้จะไปอยู่ในมือของพ่อค้า “เขาแค่ล้อเล่น ผมจะไปย้ายให้ครับ ผมจะไปย้ายให้ตอนนี้เลย”
การกระทำที่ต่อเนื่องกันของชางหลิงราบรื่นราวกับเมฆที่ลอยอยู่เธอหายวับขึ้นไปนั่งที่เบาะคนขับ และรถก็หายไปจากสายตาของโหมวยู่อย่างรวดเร็ว
10 นาทีต่อมา ข้างในห้องวีไอพี
ชางหลิงตั้งใจเลือกที่นั่งที่ติดริมหน้าต่าง ตรงที่นั่งของพวกเขาทั้งสองนั้น สามารถมองเห็นบรรยากาศของถนนด้านนอกที่คึกคักพอดีเลย แสงนีออนหลากสีที่ส่องประกายเสน่ห์ในยามกลางคืนทางแยกที่การจราจรหนาแน่นและมีผู้คนมากมายที่เดินพลุกพล่านไปมา
โหมวยู่มองไปที่โซฟาที่มีรอยขาดเล็กน้อยนั้น ก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ยังนั่งลง
“เนื้อแกะย่างที่นี่อร่อยมากเลย ฉันสั่งบนอินเทอร์เน็ตยังสั่งไม่ได้เลยนะ “ ชางหลิงมีความสนใจเป็นอย่างยิ่ง และก็ได้เตรียมชามกับตะเกียบให้โหมวยู่อีกด้วย
พนักงานเสิร์ฟเนื้อแกะจานใหญ่ไว้บนโต๊ะ และยังมีอาหารอีกหลายเมนู หลังจากนั้นไม่นาน บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหารหลากหลายอย่าง
“เมื่อก่อนคุณมาที่นี่บ่อยไหม?” โหมวยู่มองดูสิ่งแวดล้อมโดยรอบไปครู่หนึ่ง
ร้านนี้เปิดมาหลายปีแล้ว การตกแต่งก็จะเป็นสไตล์คลาสสิค แต่สภาพแวดล้อมที่เลวร้ายก็ไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเขาเลย พวกเขาก็พัฒนามาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นชั้นหนึ่งหรือบนชั้นสอง ทุกโต๊ะก็เต็มหมดเลย
“ใช่” ชางหลิงพยักหน้า แล้วยื่นน้ำจิ้มไปตรงหน้าโหมวยู่ เธอหยิบตะเกียบและชี้ไปยังสถานที่นอกหน้าต่าง ที่นั่นมีไฟพาร์อยู่อันหนึ่งซึ่งเปรียบเสมือนเสาปักในโลกมนุษย์ที่มีแต่ส่งเสียงดังและอึกทึก “ที่นั่น เป็นห้องสมุดของมหาวิทยาลัยพวกเรา และฉันก็ใช้ชีวิตเป็นเวลาสี่ปีในมหาวิทยาลัย”
โหมวยู่มองตามไปยังสถานที่ซึ่งเธอกำลังชี้อยู่นั้น
เขาใส่ใจเธอทุกอย่างมาหลายปีแล้ว และแน่นอนว่าเขาต้องรู้จักโรงเรียนเก่าของเธอ แต่สำหรับเขาที่นี่ไม่ใช่ อะไรมากไปกว่าวงกลมที่วาดบนแผนที่ หรือเป็นคำนามที่เขาพูดจากปากเมื่อครั้งที่ฉู่ฉือตอบสนองต่อสภาพของเธอ
“สมัยเรียนฉันเป็นคนที่ค่อนข้างเปิดเผย” ชางหลิงยิ้ม แต่รอยยิ้มที่มุมปากของเธอกลับดูขมขื่น “ตอนนั้น คนในกลุ่มของพวกเรามักจะมารวมตัวกันเมื่อถึงวันเกิดใคร ก็มักจะชอบมากินข้าวกันที่นี่ แล้วไปร้องเพลงต่อที่ร้านคาราโอเกะทั้งคืน”
ชางหลิงย้อนนึกถึงช่วงเวลาในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย อยู่ๆ ก็รู้สึกเศร้าขึ้น “คนในสมัยนั้นช่างเรียบง่าย ไม่ต้องถามถึงภูมิหลังของครอบครัว ไม่ต้องถามถึงฐานะ ขอเพียงแค่มีมุมมองเหมือนกันก็สามารถอยู่ด้วยกันได้ เพราะต่างก็เป็นนักศึกษายากจนกันทั้งนั้น ดังนั้นจึงไม่มีเงินใช้จ่ายเงินกับการพักผ่อนหย่อนใจที่หรูหราเกินไป เลยพากันมาที่ถนนซึ่งมีของอร่อยแห่งนี้ และหาร้านอาหารที่อร่อยที่สุดร้านหนึ่ง เงินแค่ 1 หรือ 2 พันหยวน ก็สามารถเลี้ยงคน 10 กว่าคนกินจนอิ่มท้องได้แล้ว”
เมื่อชางหลิงพูดถึงเรื่องนี้ ดูเหมือนเธอจะนึกภาพเหล่านั้นขึ้นมาอีกครั้ง “คุณไม่รู้หรอกว่า ซูเสี่ยวเฉิงคนนั้น ที่มักจะตวาดอย่างเสียงดังและเปิดเผยตรงไปตรงมา อันที่จริงแล้วคออ่อนมาก พอดื่มมากไปหน่อยก็จะชอบเข้าไปกอดจูบคนอื่นไปมั่ว และหยูเฉิน…”
ชื่อของหยูเฉินโพล่งออกมา แต่เหมือนว่าชางหลิงนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เธอจึงพูดถึงแค่ตรงนี้ แล้วก็หยุดไป
ดวงตาของโหมวยู่เข้มเล็กน้อย
“เฮ้อไม่พูดละ” ชางหลิงพูด พร้อมกับหยิบเบียร์สองขวดออกมาจากกล่องด้านข้าง “นี่ คุณก็รู้นิว่า ฉันก็คออ่อน งั้นคืนนี้พวกเราก็ดื่มกันสักหน่อยสิ”
โหมวยู่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขากำลังจะเปิดฝาด้วยที่เปิดขวด แต่กลับได้ยินชางหลิงใช้ฟันเปิดฝาได้สะแล้ว
เธอยื่นขวดเบียร์ที่เปิดได้อย่างง่ายดายวางตรงหน้าโหมวยู่ และเปิดเพิ่มอีกขวดหนึ่งด้วยตัวเอง
การเที่ยวชมสถานที่ที่เธอเคยอยู่ จากที่เดิมทีเธอพูดกับตัวเองว่าอย่าเศร้าเลย แต่เมื่อคิดถึงว่าสิ่งของเหล่านี้ยังอยู่แต่คนไม่อยู่แล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า
ในช่วงเวลานี้ของปีที่แล้ว คนที่ยืนอยู่เคียงข้างเธอ คือหยูเฉิน
เธอก็เคยคิดว่าบางทีเธออาจไม่สามารถเดินไปจนสุดทางกับหยูเฉินได้ ท้ายที่สุดแล้วสังคมในปัจจุบันนี้ คนที่สามารถอยู่ด้วยกันจนวันสุดท้ายนั้นมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย และตอนจบที่เลวร้ายที่สุดคือการที่ต้องแยกทางกันและต่างคนต่างมีชีวิตใหม่ ต่างคนต่างมีความสุขในชีวิตของตัวเอง แต่กลับไม่เคยคิดว่าหยูเฉินจะตาย
ชางหลิงเงยหน้าขึ้นมอง แล้วดื่มเบียร์ไปครึ่งขวดโดยตรง
โหมวยู่จ้องมองเธอตลอด แต่กลับไม่ได้ห้าม
ในระยะนี้เธอทานข้าว และหลับตามปกติ ต่อหน้าผู้คน และเธอก็ยังคงเป็นดวงตะวันดวงน้อยที่ส่องแสงอยู่ แต่เขารู้ว่าเธอเก็บกดมาโดยตลอด
เรื่องของหยูเฉินนั้นกว่าจะผ่านมันไปได้มันไม่ง่ายเลย หญิงสาวผู้โง่เขลาของเขา เธอสลักชายคนนั้นไว้ในใจแล้วจริงๆ แต่สำหรับในจุดยืนของเขา ก็ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะไปทำอะไรได้
เขาไม่สามารถไปต่อสู้แย่งชิงกับคนตายได้ และก็รู้ว่าช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมานั้นเขาไม่สามารถลบมันออกไปได้เลยเขาจึงทำได้แค่เลือกเคารพเรื่องราวในอดีตของเธอ ดีกับเธอให้มากๆและค่อยๆ รักษาเธอไปทีละนิด
“คงเป็นครั้งแรกที่คุณมาในสถานที่แบบนี้สินะ” ชางหลิงวางขวดเบียร์ลง พร้อมกับถามเขา
“ก็ไม่นับว่าเป็นนะ” โหมวยู่ตอบกลับ “เมื่อครั้งที่ผมเป็นทหารที่ยูนนาน มันก็ไม่ได้มีเงื่อนไขแบบนี้นะ”
“คุณก็เล่าเรื่องราวของตัวคุณกับฉันบ้างสิ” ชางหลิงคีบเนื้อแกะชิ้นหนึ่งขึ้นมา แล้วจุ่มลงในน้ำจิ้ม จากนั้นก็ใส่เข้าไปในปาก “สิ่งที่ฉันสามารถได้รู้จากคนภายนอก ล้วนแต่เป็นเรื่องหลังจากที่คุณออกจากเกณฑ์ทหารเท่านั้น ซึ่งฉันก็สงสัยอยู่นิดหนึ่งว่า คนอย่างคุณน่ะ ตอนที่อยู่ในกรมจะเป็นยังไงนะ”
โหมวยู่ รินเบียร์ให้ตัวเองไปแก้วหนึ่ง เบียร์ที่เย็นเฉียบก็ถูกกรอกเข้าไปในปาก จนทำให้รู้สึกชุ่มคอ
“ที่ผมเรียนในสมัยมหาวิทยาลัยคือโรงเรียนเตรียมทหาร” โหมวยู่ตอบอย่างเย็นชา “ในโรงเรียนเตรียมทหาร นอกจากผู้ชายที่มีผลการเรียนดีเป็นพิเศษและมีความกระตือรือร้นในการรับใช้ประเทศชาติแล้ว ยังและมีบางคนที่…เพราะทางบ้านไม่สามารถรับมือได้ จึงถูกบังคับให้เข้ามา
โดยพวกแรกก็คือต้วนเหิงกับหลีซิน และพวกหลัง ก็คือฉินซาง
“ฉินซางเป็นคนหัวดื้อ วันแรกที่เพิ่งเข้ามาในโรงเรียน ผมก็ทะเลาะกับเขาไปสะแล้ว”
“คุณต้องชนะแน่เลย” ชางหลิงไม่ต้องคิดเลย “คนร่างเล็กอย่างฉินซางนั้นน่ะคาดว่าเขาคงต้านหมัดของคุณไม่ได้หรอก”
สีหน้าของโหมวยู่เขินอายเล็กน้อย มือของเขาที่ถือแก้วไว้ก็หยุดชะงักลงและไม่แน่ใจในคำตอบนี้
“ผมกับเขาถ้าไม่ต่อยกันคงไม่ได้รู้จักกัน หลังจากนั้น ต้วนเหิงและหลีซินก็เข้าร่วมค่ายของเราด้วย และพวกเราก็เรียนจบจากโรงเรียนเตรียมทหารด้วยกัน หลังจากผ่านการคัดเลือกต่างๆ ก็ได้รับมอบหมายให้รักษาการชายแดนและเข้าร่วมทีมภาคสนาม”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ? เป็นเพราะคุณต้องสืบทอดทรัพย์สินของครอบครัว จึงถูกบังคับออกจากเกณฑ์ทหารเหรอ? “ชางหลิงสงสัย
โหมวยู่รินเบียร์ให้ตัวเองอีกแก้วแล้วดื่มจนหมดในอึกเดียว
“เมื่อ 4 ปีก่อน เราได้รับคำสั่งให้สกัดกั้นทีมทหารรับจ้างที่บรรทุกของเถื่อนข้ามชายแดน ซึ่งปฏิบัติการครั้งนั้น ก็ได้เกิดอุบัติเหตุเกิดขึ้น” คอของโหมวยู่สั่น และน้ำเสียงของเขาก็เบาลง แต่มันกลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมา “โดยที่ภารกิจประสบความสำเร็จ แต่มีสหายคนหนึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ และผมก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยด้วย หลังจากหายดี ผมก็ยื่นขอลาออกจากกองทหารไปซึ่งพวกเขาทั้งสามคนอาลัยอาวรณ์ผม ดังนั้นพวกเขาจึงตามผมออกจากสนามรบมาถึงห้างสรรพสินค้า”
ชางหลิงฟังจนตกตะลึง จนลืมเคี้ยวอาหารในปากตัวเองไป
เมื่อเทียบกับชีวิตช่วงวัยรุ่นของโหมวยู่แล้ว อดีตที่ผ่านมาของเธอก็ดูเหมือนจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ที่ไม่ควรพูดถึงด้วยซ้ำ
ในขณะที่เธอยังคงดิ้นรนกับความรักอยู่นั้น โหมวยู่กลับได้ปกป้องบ้านเมืองและประเทศชาติ การต่อสู้ที่นองเลือด เมื่อนึกถึงภาพดังกล่าว ในใจชางหลิงก็เกิดความรู้สึกนับถือขึ้นมา
“มา” ชางหลิงยกขวดเบียร์ขึ้นมา “ขอแสดงความเคารพสำหรับคุณ และพี่ๆ ทหารทุกคน ขอบคุณพวกคุณที่ยอมเสียสละเพื่อปกป้องบ้านเมืองและประเทศชาติ
โหมวยู่ยกมุมปากตัวเอง เขายกแก้วเบียร์ขึ้นมา พร้อมกับชนไปที่กับขวดเบียร์ของเธอเบาๆ
ชางหลินดื่มไปอึกใหญ่ๆ จากนั้นก็จ้องไปยังชายที่อยู่ข้างหน้าที่ซึ่งดูเหมือนจะส่องแสงอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าทั้งสองจะสนิทกันมาก แต่มันก็ยังไม่เป็นความจริงสักเท่าไหร่
“ทำไมวันนี้คุณถึงเลือกมาที่นี่?” โหมวยู่เปลี่ยนเรื่อง
เธอถอนหายใจ พร้อมมองไปดูทิวทัศน์นอกหน้าต่าง มีการตั้งแผงขายของที่ชั้นล่างซึ่งโหมวยู่ได้จอดรถไว้นั้น ชายหนุ่มและหญิงสาวโอบล้อมโต๊ะตัวหนึ่งไว้ พร้อมกับดื่มเบียร์กันอย่างคึกคัก และทานอาหารอย่างเงียบๆเป็นเวลาที่เงียบสงบจริงๆและช่างเป็นภาพที่สวยงามเหลือเกิน
“โหมวยู่คุณดูสิ” รอยยิ้มบนใบหน้าจริงใจของชางหลิง “ที่ใดมีผู้คน ที่นั่นแหละถึงเป็นโลกมนุษย์”
“อยู่ที่นี่ จะไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น ทุกคนสามารถกินดื่มกันอย่างไม่ต้องเกรงใจใคร และพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ไม่มีการรักษาความปลอดภัยที่มากมาย แต่ทุกคนก็ปฏิบัติตามข้อกำหนด อาจมีเงินไม่มากนัก แต่ก็หัวเราะกันอย่างมีความสุข”
โหมวยู่มองตามสายตาของเธอไปที่ใบหน้าคนหนุ่มสาวเหล่านั้น ทุกคนจิตใจกระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวา และคอยไปไหนมาไหนด้วยกัน พวกเขาช่างใสสะอาดและบริสุทธิ์
ชางหลินดื่มเบียร์ไปอีกหนึ่งอึก
ทั้งบริษัทเซิ่งซื่อ คลับ Nova หรือวิลล่าหนานวาน ทั้งหมดนี้ต่างมีระดับทั้งนั้น ผู้มากมายนับไม่ถ้วน ให้สิ่งเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของเมืองหนาน กี่คนที่ต่างพากันแย่งกันเข้าบริษัทเซิ่งซื่อ และกี่คนที่ทุ่มเทขนาดไหนก็ไม่สามารถไปทานอาหารสักมื้อที่คลับ Nova ได้และการซื้อวิลล่าที่หนานวาน ยิ่งเป็นเรื่องที่แค่คิดก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะคิด
เหล่านี้ ก็เคยเป็นความฝันเมื่อก่อนของฉัน แต่อยู่มาวันหนึ่ง คุณก็ได้เข้ามาในชีวิตของฉัน ดังนั้นแค่ครู่เดียวสิ่งเหล่านี้ ก็อยู่ใกล้ฉันมากขนาดนั้นแล้ว”
“พวกมันดีมาก แต่ว่า แค่ขาดมิตรภาพของคนบางกลุ่ม
คนในแวดวงนี้ โหดเหี้ยมมากจนไม่ถือชีวิตของคนเป็นเรื่องสำคัญใดๆเมินเฉยจนมองว่าเรื่องการแต่งงานเป็นเพียงธุรกิจเท่านั้น เย็นชาจนไม่เห็นถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม และเพื่อที่จะเอาชนะ พวกเขาสามารถยกคมมีดแทงคนที่ไม่เกี่ยวข้องได้
“ในวันเหล่านี้ ฉันมีชีวิตได้เพราะอยู่ในโลกของคุณ และวันนี้ ฉันก็อยากพาคุณมาเห็นโลกของฉัน” ชางหลิงดื่มเบียร์ไม่เก่งเท่าไหร่ แค่ขวดเดียว เธอก็เริ่มเมาแล้ว เธอยื่นมือออกไป แล้วจับมือของโหมวยู่ไว้
“ฉันก็เป็นเหมือนพวกเขา เป็นแค่คนธรรมดาอย่างนี้และคุณ โหมวยู่ คุณเกิดมาเป็นคนมีฐานะสูงส่ง และเราก็ไม่เคยยืนสูงอยู่ในระดับเดียวกันเลย คุณอยู่กับฉัน คุณยินดีจริงๆ เหรอ?”
โหมวยู่นิ่งเงียบ
เขาจ้องไปที่มือของเธอ และลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วดึงมือของตัวเองออกมา