“ผม……” หมัดของโหมวยู่ค่อยๆ กำแน่น “ผมแค่อยากพิสูจน์ให้คุณเห็นว่า ผมจะไม่แพ้ให้กับเขาอีก”
เอ๊ะ? ? ?
ชางหลิงตกตะลึง
ดังนั้นที่เขามาที่นี่ ไม่ใช่เพราะว่าฉินซางไปทำอะไรยั่วยุเขา แต่เพราะเขารู้สึกถึงความอับอายในอดีต?
“ผมชนะแล้ว ” โหมวยู่จับแขนชางหลิง “ต่อจากนี้ไปห้ามพูดเรื่องแบบนั้นอีก”
ชางหลิงหัวเราะออกมาอย่างเสียงดังลั่น
“เพราะแบบนี้ คุณจึงชกเขาจนกลายเป็นแบบนั้น? ฉันยังคิดว่า คุณจะเชื่อคำพูดเขาสะอีก……”
ชางหลิงยังพูดไม่ทันจบ มือของโหมวยู่ก็โอบ ไปที่เอวหล่อนไว้แน่น แล้วดึงหล่อนไปไว้ในอ้อมแขนของเขา
“ตอนแรกที่เพิ่งเห็นก็รู้สึกโกรธอยู่นิดหน่อย แต่พอกลับมาคิดแล้ว ก็รู้สึกว่า…”
“รู้สึกว่าอะไรล่ะ? ” ชางหลิงสงสัย
“คนที่คุ้นเคยกับการกินปลาใหญ่และเนื้อใหญ่ คงจะไม่มองน้ำซุปใสหรอก ” สายตาของโหมวยู่ร้อนแรง
ชางหลิงคิดว่าเขากำลังขับรถอยู่ แต่ว่าคงไม่มีหลักฐาน “คุณพูดว่าอะไรนะ?”
โหมวยู่ยกมือขึ้น และโชว์บาดแผลข้างบนให้เธอดู “มันรู้สึกเจ็บนิดหน่อย กลับถึงบ้านทายาให้ผมหน่อยสิ”
ผู้ชายหนังเหล็กทำตัวขี้อ้อน โดยไม่มีความรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย ชางหลิงจนปัญญา จึงทำได้แค่เดินออกไปพร้อมกับเขา
“คุณชายรองโหมวครับ” มีชายสวมชุดสูทยืนอยู่ที่หน้าประตูสองสามคนและหนึ่งในนั้นก็ถือเครื่องคิดเลขกระดาษและปากกาไว้ เมื่อเห็นพวกโหมวยู่แล้ว เขาก็โค้งคำนับด้วยความเคารพ “ผมเป็นฝ่ายการเงินของบริษัทครับ ผู้จัดการฉินให้ผมมาคิดคำนวณค่าเสียหายครับ คุณดูสิ…”
“เดี๋ยวผมจะโอนเข้าบัญชีของเขา…” โหมวยู่ไม่เห็นด้วย
“เดี๋ยวก่อน!” ชางหลิงรีบหยุดเขา “คุณไม่ใช่คนมอบอาคารนี้ให้เขาเหรอ? สิ่งของในนี้เดิมทีนั้นคุณก็เป็นคนซื้อนิ และเขาก็เป็นคนที่ได้รับผลประโยชน์ แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะมาทวงหนี้จากคุณล่ะ?”
“นี่……” ฝ่ายการเงินอายเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้น แล้วค่ารักษาพยาบาลของผู้จัดการฉินล่ะครับ……”
“เขาเป็นคนหาเรื่องใส่ตัวเอง ก็ให้เขารับผิดชอบเอง” ชางหลิงยืดตัวตรง “ถ้าเขาต้องการเงินน่ะไม่มีหรอก แต่มีแค่ชีวิตเดียวเท่านั้น”
มีหล่อนอยู่ทั้งคน ไม่ว่าใครก็อย่าหวังว่าจะมาเอาเงินจากโหมวยู่ไปได้
“คุณชายรองครับ…” ฝ่ายการเงินมองโหมวยู่อย่างลำบากใจ
“คุณก็ได้ยินแล้วนิ” โหมวยู่เปลี่ยนน้ำเสียง “ไม่มีเงินครับ”
โหมวยู่ไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ชางหลิงกับหลีซินก็รอเขาอยู่ข้างนอกประตู
“เฮ้ย หลีซิน เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิว่า ในปีนั้นที่โหมวยู่แพ้ให้ฉินซาง มันดูไม่สมเหตุสมผลเลย ยิ่งไปกว่านั้นในบรรดาพี่น้องของพวกเธอ เธอมักจะเชื่อฟังและทำตามคำพูดของเขาตลอด และพี่รองต้วนก็เป็นผู้ใหญ่ที่มั่นคงและเชื่อใจได้มากที่สุดด้วยและทำไมฉินซางเหมือนเป็นแค่คนเดียว ที่ชอบหาเรื่องใส่ตัวจนต้องกระโดดอยู่บนขอบความตายทุกครั้งเลย?”
หลีซินลดเสียงต่ำลง และเอนตัวเข้าไปใกล้ไปข้างหูของชางหลิง
“เดี๋ยวผมจะบอกพี่อย่างเงียบๆ นะ” หลี่ซินมีท่าทีที่ลึกลับมาก “พี่อย่ามองแต่รูปร่างใหญ่ที่สูง 188 ซม.ของพี่ใหญ่ในตอนนี้อย่างเดียว เพราะพี่ใหญ่เขาเข้าโรงเรียนเตรียมทหารตอนอายุ 17 เลยนะตอนนั้นเขาสูงแค่ 165 ซม.เท่านั้น และก็เป็นคนที่เตี้ยที่สุดในชั้นเรียนอีกด้วย”
“อะไรนะ?” ราวกับว่าชางหลิงได้ค้นพบโลกใบใหม่
“ฉินซางนั้นเป็นปีศาจกลับชาติมาเกิดที่มีชื่อเสียง ในตอนนั้นเขาหาเรื่องผู้คนไปทั่วโรงเรียนเลย และโหมวยู่ก็เป็นคนที่อารมณ์ร้อนด้วย ทั้งสองเลยปะทะ และชกต่อยกัน ก็อย่างที่คุณรู้นะ พี่ใหญ่แพ้ แต่หลังจากนั้น ในเวลาไม่ถึง 3 ปี พี่ใหญ่ก็ตัวสูงขึ้นมาก และกังฟูของเขาก็เก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย แต่ละครั้งที่ฉินซางหาเรื่องก็จะถูกฟาดจนร่วงทุกครั้ง และพอทั้งสองคนตีกันไปตีกันมา ก็ทำให้เกิดเป็นความผูกพันขึ้นมา และนี่มันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ผมชินแล้วครับ”
ชางหลิงรู้สึกว่ามันตลกดี ที่แท้ อดีตของโหมวยู่ก็น่าสนุกมากเหมือนกันนะ
“พี่ก็บันยะบันยังหน่อยนะครับพี่ใหญ่ไม่ชอบให้คนอื่นพูดถึงอดีตของเขา” หลีซินเตือนเธอ “อย่าบอกพี่ใหญ่เด็ดขาดนะว่าผมเป็นคนบอกเรื่องนี้”
“แน่นอนจ๊ะ” ชางหลิงรับประกัน
เธอจะกล้าไปเปิดโปงจุดอ่อนของเขาได้ยังไงกันเล่า ถ้าหากว่าไม่ลงรอยกันเดี๋ยวคงจะไปชกต่อยกับคนอื่นอีก เงินที่บ้านแค่นั้นจะไปพอให้เขาจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ยังไงกันล่ะ
——
แล้วการเดินทางไปมิลานก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ในครั้งนี้บริษัทเซิ่งซื่อมีลูกทีม 80 คน และทีมผู้บริหารอีก 10 คน รวมทั้งโหมวยู่ โหมวฉี่ โม่โม่และถงเอิน และดีไซเนอร์อีก 20 คน ซึ่งแต่ละคนก็มีผู้ช่วยคนละ 1 คน รวมทั้งหมดเป็น 40 คน และยังมีนางแบบ 20 คน ช่างแต่งหน้าและผู้ช่วยหลังเวที 10 คน รวมทั้งหมด 20 คน นอกจากนี้ยังมีทีมงานที่ค่อยสนับสนุน ซึ่งถือได้ว่าเป็นทีมใหญ่เลยทีเดียว
แน่นอนว่า ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ชางหลิงคนเดียวที่ได้ขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ซึ่งมีดีไซเนอร์เหรียญทองหลายคนยังพานางแบบคนสนิทของพวกเขามาด้วย
หลังจากขึ้นเครื่องบินที่ออกบินเที่ยวบินพิเศษแล้ว ชางหลิงก็นั่งบนที่นั่งของตัวเอง และเห็น ป๋ายจื๋อนั่งอยู่ริมหน้าต่างที่ส่วนท้ายของห้องโดยสาร
เขาสวมเสื้อแจ็กเกตหนา และเสื้อไหมพรมหนาวสีขาวอยู่ข้างใน ซึ่งยังคงมีสีหน้าที่เย็นชาอย่างเช่นเคย พร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาปล่อยให้คนรอบข้างพูดคุยเสียงดัง โดยไม่พูดขัดอะไรเลย ราวกับว่าเขาไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกันกับทุกคน
“เฮ้ย” ซูเสี่ยวเฉิงเข้ามาใกล้ข้างๆ ชางหลิง “พวกเธอสองคนคืนดีกันหรือยัง?”
ชางหลิงเอนหลังพิงเก้าอี้ โดยไม่ได้ตอบกลับ
“ฉันเห็นแล้วนะ นั่นโม่โม่กับโหมวยู่มาด้วยกัน เขาดูเหมือนสามีภรรยากันจริงๆ เลย เธอต้องจับแน่นๆ หน่อยนะอย่าให้ใครมาแย่งไปล่ะ”
“ชู่ว!” ชางหลิงเคาะหัวของซู่เสี่ยวเฉิงไปทีหนึ่งอย่างรวดเร็ว และหันกลับไปมอง โชคดีที่คนที่อยู่ข้างหลังต่างหลับใหลโดยคลุมหัวไว้ “เธอเงียบๆ หน่อยสิ ถ้าหากมีคนได้ยินเข้าต้องแย่แน่ๆ เลย”
“โอ๊ย” ซูเสี่ยวเฉิงเก็บอาการเล็กน้อย “แต่ว่า นี่เป็นในการเข้าร่วมงานแฟชั่นของบริษัทเซิ่งซื่อ ทำไมฉันถึงเห็นหลีซินมากับเขาด้วยล่ะ?”
“หลีซิน?” ชางหลิงมักจะไม่ได้ใส่ใจในเรื่องเหล่านี้ แต่พอมาคิดๆ ดูแล้ว โหมวยู่คงจะเป็นคนเตรียมไว้ให้เธอ และนี่มันขณะที่เธอไปต่างประเทศเลยนะ โม่โม่ก็ยังค่อยเฝ้ามองเธออยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาคงจะไม่สะดวกไปช่วยเธอกู้สถานการณ์ได้
“จริง ดีไม่ดีตลอดการเดินทาง ฉันต้องถูกขี้หนูเพียงก้อนเดียวทำให้เสียอารมณ์” หลังจากซูเสี่ยวเฉิงพูดการคาดการณ์ของเธอต่อหน้าโหมวยู่และหลีซินไปในครั้งที่แล้ว ความบาดหมางของเธอกับหลีซินก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น และในตอนนี้ทั้งสองคนนั้น ต่างคนต่างก็ไม่อยากเห็นหน้าใคร
“พอพูดถึงเรื่องนี้เธอก็สนใจหลีซินอยู่ใช่ไหมล่ะ?” ชางหลิงรู้สึกน่าสนใจ การเดินทางตั้ง 10 กว่าชั่วโมง จะต้องมีการซุบซิบนินทานิดหน่อยเพื่อไม่ให้น่าเบื่ออย่างนี้ไง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มักจะมีคู่รักคู่แค้นจำนวนไม่น้อยเลย ซึ่งก็เป็นเหมือนกับพวกเธอไม่ใช่เหรอ?ฉันมักจะรู้สึกว่าพวกเธอทั้งสองคนชอบหยอกกันเล่นนี่นา”
“ช่างมันเถอะ” ซูเสี่ยวเฉิงมองบน “หลี่ซินคนนั้น อายุเท่าๆ กับโหมวยู่ แต่ความเป็นผู้ใหญ่กลับมีไม่ถึงครึ่งของโหมวยู่เลย ฉันไม่ได้ชอบคนแบบนี้หรอก นอกจากนี้..… ”
ซูเสี่ยวเฉิงหยุดไปสักครู่ และมองไปที่ชางหลิงด้วยความตกใจ
“สายตาของเขา จับจ้องมาที่เธอในทุกที่ที่เธออยู่ ราวกับกำลังจะขังเธอไว้อย่างไงอย่างงั้นเลย หรือว่าเธอจะไม่ได้สังเกตเห็นอะไรเลย?”
“เธอกำลังพูดเรื่องอะไรน่ะ?” ชางหลิงรีบขีดเส้นความสัมพันธ์ของเธอ “ฉันกับเขา เราบริสุทธิ์ใจกัน และเขาก็เห็นฉันเป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น”
“นั่นก็เป็นเพราะความสัมพันธ์ที่มีต่อโหมว… ” ซูเสี่ยวเฉิงมองดูไปอีกรอบอย่างระมัดระวัง “ยู่ เขาเลยจำใจต้องมองเธอเป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงว่าฐานะของโหมวยู่มันบีบบังคับเขาหรอก ก็คงเป็นเพราะความสัมพันธ์อันลึกซึ้งฉันพี่น้องของพวกเธอ เขาจะยังกล้าแสดงถึงความรักที่มีต่อเธอได้อีกเหรอ?เธอคิดลองคิดดูสิ มันคือมิตรภาพที่บริสุทธิ์จริงๆ เหรอ เค้าสามารถยอมแลกชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเธอ? และคอยปกป้องเธอครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่สนใจผลที่ตามมาเลย?”
“เธอลองคิดดูสิ ว่าทำไมเมื่อก่อนทุกคนถึงเข้าใจผิดกันว่าพวกเธอสองคนคบกันล่ะ? และแม้แต่ฉันที่รู้จักเธอดีขนาดนี้เธอจะยังปิดบังฉันได้อีกเหรอ?เพราะว่าที่หลีซินทำดีต่อเธอ และสายตาที่เขามองเธอ ทุกอย่างมันคือความรักของผู้ชายคนหนึ่งที่มีต่อผู้หญิงนะ”