พวกเขาเก็บของเตรียมกลับโรงแรม บังเอิญเจสันก็ออกมาจากห้องเขาพอดี ทั้งสองเจอกันบนทางเดินอีกครั้ง
เขายังคงเย็นชา ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเดินไป แต่ชางหลิงกลับยื่นมือและเท้าออกไปขวางทางเขาเอาไว้
เจสันมองกลับมาด้วยสายตาที่โหดเหี้ยม เขามองค้อนเธออย่างแรม เห็นได้ชัดว่าเป็นการเตือนเธอ
ผู้ชายร่างสูงโปร่งที่มองมาด้วยแรงอาฆาต บอกว่าไม่กลัวคงไม่จริง ชางหลิงทำใจนิ่ง เงยหน้าขึ้นสบตากับเขา “คุณเจสัน คุณคงไม่คิดว่า ฉันเป็นคนโต้กลับไม่เป็นหรอกนะ”
“เธอมีความสามารถนั้นเหรอ?” เจสันจ้องเธอกลับอย่างไม่พอใจ
“ถ้าฉันไม่มีความสามารถนั้น โม่โม่คงฆ่าฉันได้แล้วใช่ไหม?” ชางหลิงเชิดหน้าขึ้น “เธอพูดเรื่องฉันกับคุณแล้วใช่ไหม คงเกลียดฉันเข้ากระดูกดำแล้วน่ะสิ? พอดีเลย ฉันก็เหมือนกัน”
ชางหลิงแสยะยิ้มเย็นชา “คุณเป็นดีไซเนอร์ชื่อดัง ฉันรู้ดี ถึงแม้วันนี้ฉันจะเปิดโปงคุณไม่ได้ และคงไม่มีใครยืนข้างฉัน แต่ว่า ฉันบอกกับคุณได้เลยว่า วิธีสกปรกที่คุณใช้กับฉันในการแข่งขัน รอลงจากเวทีแล้ว ฉันจะคืนให้กับโม่โม่ทั้งหมด”
สายตาเธอเต็มไปด้วยแรงอาฆาตแค้น เจสันจ้องมองดวงตาคู่นั้นแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะใจสั่น
ทั้งที่เป็นผู้หญิงตัวเล็กดูแล้วไม่น่าจะมีแรงอะไร ทำไมถึงมีสายตาเหี้ยมโหดแบบนี้ได้?
“แหะๆ” วินาทีต่อมาชางหลิงก็เปลี่ยนสีหน้า “แค่ล้อเล่นเอง จริงจังไปทำไมกัน?”
ชางหลิงตบแขนเจสันไปเบาๆ “ครั้งหน้ามาประเทศจีน มาหาฉันเล่นด้วยนะ ฉันจะพาคุณไปหาเพื่อนดีๆที่มองโลกในแง่ดีกว่านี้ ผู้ชายหล่อดีอย่างคุณ อย่าคิดว่า ผู้หญิงชาวจีน จะเหมือนโม่โม่หมดเลยนะ”
เจสันหลบไปข้างๆอย่างรังเกียจ เขาหึในลำคออย่างแรง จากนั้นก็ก้าวข้ามขาเธอออกไป
ชางหลิงมองดูแผ่นหลังของเขา และยืนอยู่กับที่อยู่นาน
“จะให้เท้าความจริง ปัญหาก็มาจากตัวโม่โม่ทั้งนั้น” เมิ่งเคอลบเครื่องสำอางเสร็จ ก็มายืนข้างเธอ “ถ้าหล่อนอยากทำร้ายเธอ ทุกคนก็ล้วนเป็นศัตรูของเธอทั้งนั้น”
“อืม” ชางหลิงตอบกลับ
“การแข่งขันต่อไป ฉันกับเสี่ยวเฉิงจะระวังให้มากกว่านี้ เธอหาเวลาว่างไปเตรียมผลงานชิ้นใหม่ ไม่ว่าจะมีรอบที่แปดไหม ก็ต้องเตรียมไว้ก่อน” เมิ่งเคอเตือนเธอ
ชางหลิงพยักหน้า
ตอนเช้ามีฝนตกลงมาเล็กน้อย ตอนนี้พอเดินออกไป ท้องฟ้าก็มีหิมะตกลงมา
หิมะสีขาวดั่งขนห่านลอยละล่องลงมาจากฟากฟ้าที่มืดมิด ไม่นานบนพื้นก็เต็มไปด้วยหิมะขาว
ชางหลิงลงจากรถ เห็นโหมวยู่ยืนอยู่หน้าประตูแต่ไกล เขาสวมเสื้อโค้ทสีดำยาว บนตัวก็มีความโหดน้อยลงและมีความเป็นมิตรเพิ่มขึ้น
ชางหลิงมองขวางเขา และพาคนอื่นๆเดินเข้าไปในล็อบบี้ ไม่เหลือเวลาให้เขาสักวินาทีเดียว
โหมวยู่ถอนหายใจ
เขาก็พึ่งได้ยินว่าผลงานของชางหลิงถูกทำลาย ก็ถึงรู้ว่าตอนเช้าเธอโทรหาเขาทำไม น่าจะขอความช่วยเหลือจากเขา แต่เขากลับโกรธเธอ ตั้งใจพูดอย่างนั้นให้เธอโกรธ
กลุ่มของหลิวจื่อเวยกลับมาที่โรงแรมพอดี คนกลุ่มหนึ่งรออยู่หน้าลิฟต์ โจวลี่ลี่มองดูใบหน้าของชางหลิงที่ไม่รู้ว่าโกรธหรือดีใจอยู่ ก็จึงขยับเข้าไปใกล้ๆเธอ
“ชางหลิง เรื่องของวันนี้ฉันได้ยินมาแล้วนะ เธอเก่งจริงๆที่ยังใจเย็นได้ ยังเข้ารอบสองได้อีกด้วย” โจวลี่ลี่ไม่ทิ้งโอกาสพูดประจบเลยสักครั้ง
ตอนนี้ความเป็นความตายของเธออยู่ในมือชางหลิงแล้ว ก็ต้องประจบประแจงเข้าไว้
ชางหลิงเชิดหน้าขึ้น ไม่ได้พูดตอบ
“เหอะ” หลิวจื่อเวยพูดอย่างเย็นชา “คนบางคน ถ้าถูกคนทำร้ายแค่คนเดียวอาจจะเป็นเพราะนิสัยไม่เข้ากัน แต่คนมากมายพยายามจะทำร้าย คืออะไรกัน? มีข้อบกพร่องทางนิสัยเหรอ?”
“เธอพูดอะไรของเธอ?” ซูเสี่ยวเฉิงมองค้อนอย่างแรง “หลิวจื่อเวย คืนนี้เธอยังไม่เข็ดใช่ไหม?”
หลิวจื่อเวยมองขวางเธอ “ก็แค่สุนัขรับใช้คนอื่น มาเห่าอะไรตรงนี้?”
“เธอ!” ซูเสี่ยวเฉิงโมโหจนควันแทบออกหู
เสียงประตูลิฟต์เปิดออกติ๊ง จากนั้นก็เปิดออกช้าๆ บังเอิญโม่โม่ยืนอยู่ในลิฟต์พอดี และข้างๆก็มีโจวหลิน พอเห็นชางหลิงก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย
ความแค้นและความตกใจทุกอย่างที่เก็บกดมาจากสนามแข่งวันนี้ก็ระเบิดออกมาทันที ชางหลิงกระตุกยิ้ม ยกมือขึ้น ตบไปที่หน้าของหลิวจื่อเวยอย่างแรง
เสียงดังชัดเจน ทำเอาทั้งโลกเงียบสงบลง
โหมวยู่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลยังต้องตะลึง
“ชางหลิง เธอ เธอกล้าตบฉันงั้นเหรอ?” หลิวจื่อเวยกุมใบหน้าที่แสบร้อนเอาไว้ มองชางหลิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ปากเธอไม่สะอาด ฉันเลยต้องสั่งสอนสักหน่อย” ชางหลิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ซูเสี่ยวเฉิงเป็นเพื่อนของฉัน ฉันไม่อนุญาตให้คนมาดูถูกเธอได้ ส่วนเธอ……”
ชางหลิงเหลือบมองโม่โม่เล็กน้อย สุดท้ายก็มองย้อนมาที่ตัวหลิวจื่อเวย “ว่ากันว่าตีหมายังต้องดูเจ้านาย ฉันจะดูสิ ฉันตีเธอแล้ว เจ้านายเธอจะกล้าออกมาทวงคืนความยุติธรรมให้เธอไหม”