ไม่ได้นอนทั้งคืน
ชางหลิงตามซูเสี่ยวเฉิงลงไปทานอาหารเช้าข้างล่างด้วยใต้ตาดำ เอาอาหารมาส่งๆ เลือกที่นั่งริมหน้าต่าง แต่บังเอิญว่าก้นเพิ่งแตะเก้าอี้ เสียงของโม่โม่ก็ดังขึ้นใกล้ตัวเธอ
“นี่ที่นั่งของฉัน”
ชางหลิงเลื่อนสายตาขึ้น โม่โม่ถือจานอยู่ ข้างหลังตามมาด้วยโจวหลินกับมู่ซาน จ้องมาที่เธออย่างยโสโอหัง
ชางหลิงเหลือบมองโต๊ะ เห็นบนโต๊ะมีแก้วนมวางอยู่อย่างที่ว่า เธอลุกขึ้น หยิบจานและกำลังจะเดินไป
“ไม่จำเป็นต้องไป” โม่โม่ยิ้ม ส่งสายตาให้โจวหลินกับมู่ซานที่อยู่ข้างหลัง ทำใจกว้างนั่งลงตรงข้ามชางหลิง
ซูเสี่ยวเฉิงถือจานกำลังจะเดินเข้ามา แต่โจวหลินกับมู่ซานมาขวางเธอทั้งซ้ายขวา ซูเสี่ยวเฉิงไม่มีทางเลือก ได้แต่ไปที่โต๊ะอื่น ทิ้งโต๊ะนั้นให้ชางหลิงกับโม่โม่แค่สองคน
ชางหลิงไม่ได้ปฏิเสธ เธอวางจานลงและนั่งลงอีกครั้ง
“ได้ยินว่าช่วงนี้คุณทะเลาะกับโหมวยู่เหรอ” โม่โม่ไม่ได้ส่งเสียงดังมาก แค่พอให้ชางหลิงได้ยินอย่างชัดเจน
“แหล่งข่าวของคุณมีประสิทธิภาพจังนะ ติดกล้องวงจรปิดไว้ในห้องโหมวยู่หรือไง” ชางหลิงไม่ได้มองเธอ แค่ตักอาหารเข้าปาก
“ฉันไม่ได้น่าเบื่อขนาดนั้น” โม่โม่ยิ้ม คีบบล็อคโคลี่ชิ้นเล็กเข้าปากอย่างสง่างาม “แต่พวกคุณสองคนทะเลาะกัน สำหรับฉันแล้ว มันเป็นเรื่องน่ายินดีมาก ก็ต้องให้ความสนใจเป็นธรรมดา”
ชางหลิงยิ้มเยาะ เธอเอาแต่ทานของของตัวเอง ไม่ได้ใส่ใจคำพูดของโม่โม่
“อ้อ จริงสิ ฉันยังไม่ได้แสดงความยินดีกับคุณที่เข้ารอบสามเลย ยี่สิบดีไซเนอร์แห่งเซิ่งซื่อ ถูกกำจัดไปแล้วห้าคน แม้แต่หลิวจื่อเวยก็ถูกปิดทิ้ง คุณคงจะภูมิใจมากสินะ” โม่โม่สีหน้าอ่อนโยนในขณะที่จ้องเธอด้วย
“ทั้งหมดก็เพื่อเซิ่งซื่อ ไม่ว่าใครจะไปได้ถึงสุดทาง ก็ควรค่าแก่การแสดงความยินดี” ชางหลิงไม่เห็นด้วย
“คุณนี่ช่างเป็นคนโชคดีจริงๆ” โม่โม่พูดขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
ไม่เพียงแค่เธอ แม้แต่คนที่อยู่รอบตัวเธอ ก็ล้วนแล้วแต่ได้รับพรตามเธอไปด้วย
เธอยังไม่กล้าลงมือเปิดเผย ไม่อยากทิ้งหลักฐานมัดตัวเอาไว้
การกำจัดนั้น เดิมทีเตรียมไว้เป็นพิเศษเพื่อซูเสี่ยวเฉิง ตราบใดที่ซูเสี่ยวเฉิงพาเธอเข้าห้องพักไป เธอก็สามารถทำให้ซูเสี่ยวเฉิงหายไปจากโลกนี้ได้โดยสมบูรณ์ แต่มันกลับ….
ในสนามแข่งขันของมิลาน คนทำความสะอาดชาวจีนนั้นดูน่าสงสัย ดังนั้นเธอจึงมองหาชาวต่างชาติโดยเฉพาะสักคน ไหนเลยจะคิด ว่าซูเสี่ยวเฉิงจะโง่ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ ทำให้หลุดมือเธอไป
ชางหลิงไม่สนใจตอบโต้เธอ
“แต่ฉันคิดว่าความโชคดีของคุณ มันใกล้จะถึงจุดจบแล้ว” โม่โม่พูดอย่างมีความหมาย “มีบางครั้ง ไม่ใช่ว่าคุณพยายามอย่างหนักคนเดียวแล้วจะสามารถเปลี่ยนแปลงความจริงได้ ข้างกายคุณยังมีคนอีกมากมาย ถ้าปรากฏว่าไม่ได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับคุณ คุณจะสามารถก่อคลื่นพายุอะไรได้”
ตะเกียบของชางหลิงหยุดลง
คำพูดของโม่โม่ ทำให้เธอนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างโหมวยู่เมื่อคืนนี้ หัวใจจึงเย็นเยียบอีกครั้ง
เธอพูดถูก ถ้าไม่ได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับเธอ เธอพยายามอย่างหนักอยู่คนเดียว มันจะไปมีประโยชน์อะไรล่ะ
ชางหลิงนิ่งเงียบ ให้โม่โม่โซโล่อยู่คนเดียว
โม่โม่วางตะเกียบลง ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นกว่าเดิม
“ชางหลิง คุณไม่รู้เหรอ คุณเป็นแบบนี้ มันน่ารำคาญมากจริงๆ” โม่โม่โน้มตัวเข้าใกล้เธอ “ทำท่าทางแสร้งว่าไม่สนใจอะไรเลย แต่กลับทำให้พวกผู้ชายแต่ละคนแห่กันเข้ามาหาคุณ”
ชางหลิงเลิกคิ้ว
“ถ้าคุณอยู่ใต้อำนาจฉัน ความจริงแล้วสามารถเอามาหลอมให้เป็นมีดคมได้ ทว่าน่าเสียดาย พวกเราสองคนไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้” โม่โม่กระซิบเสียงเบา
“คุณรู้ก็ดี” ชางหลิงตอบเธอ
“จะปีใหม่แล้ว” โม่โม่มองออกไปนอกหน้าต่าง แววตาโหยหา “แต่ไม่รู้ว่า คุณยังมีชีวิตรอดกลับไปหรือเปล่า”
ชางหลิงปลายนิ้วสั่น ในขณะที่เงยหน้าขึ้น ดวงตานั้นเฉียบคมดุจดาบ “งั้นเหรอ”
“คุณให้หลีซินอยู่ใกล้ตัวไว้ดีกว่า ไม่อย่างนั้น ตราบใดที่คุณออกจากระยะการมองเห็นของเขา คุณจะตกอยู่ในมือของฉันแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น ฉันจะทำให้คุณเสียใจภายหลังที่มาอยู่บนโลกใบนี้” รอยยิ้มของโม่โม่มืดมนอย่างถึงที่สุด
ชางหลิงกลืนน้ำลายอึกใหญ่
คำพูดของโม่โม่ว่าไปแล้วสำหรับเธอยังค่อนข้างน่าหวาดหวั่น ก่อนหน้านี้เธอเคยได้ยินแค่ว่าโม่โม่เป็นคนโหดร้าย ทว่าหยูเฉินที่ตายต่อหน้าเธอ เมื่อนึกไปถึงว่าหากเธอก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว ก็จะจบลงแบบนั้น เธอยังรู้สึกกลัวเล็กน้อย
“คุณทำเรื่องเลวร้ายมามากมายขนาดนี้ ตอนกลางคืนสามารถหลับลงได้จริงเหรอ” ชางหลิงถามเธอ
โม่โม่แบมืออย่างสบายๆ “ตอนที่เพิ่งเริ่มต้น ที่จริงมโนสำนึกก็ยังคงมีการสั่นคลอนอยู่บ้าง เพราะถึงยังไงคนทุกคนก็ล้วนแล้วแต่เป็นร่างกายที่ประกอบไปด้วยเลือดเนื้อของแม่ที่ให้กำเนิดและพ่อที่ให้การเลี้ยงดู ในตอนนั้นฉันถึงขนาดร้องไห้ออกมาเลยนะ”
โม่โม่พูดเสียงเบา เหมือนการสนทนาที่ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับชีวิตคน และเป็นเรื่องปกติที่เล็กนิดเดียว
“แต่แล้วฉันก็ค่อยๆ ชิน ถึงขนาดที่ว่ารู้สึกค่อนข้างตื่นเต้นดีด้วย…” โม่โม่หยุดครู่หนึ่ง “ตอนที่ฉันแทงพวกผู้หญิงสวยๆ ด้วยมือของฉันเอง ฉันมองดูพวกเธอร้องขอความเมตตา ร้องไห้คุกเข่าอ้อนวอนแทบเท้าให้ฉันปล่อยพวกเธอไป ความรู้สึกแบบนี้มันเยี่ยมมาก”
“โดยเฉพาะคุณ…” โม่โม่จ้องเธอโดยตาไม่กะพริบ “คุณเป็นคนแรกที่ฉันเจอแล้วเป็นคู่แข่งคนเดียวที่แข็งแกร่ง เหมือนแมลงสาบที่ตีไม่ตาย หนีรอดจากมือฉันไปครั้งแล้วครั้งแล้ว แต่มันไม่สำคัญ ยิ่งคุณแข็งแกร่งขึ้น ฉันก็ยิ่งรู้สึกสนใจ จนกระทั่งถึงวันที่คุณร้องขอความเมตตา ฉันรู้สึกว่ามันต้องเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของฉันแน่นอน”
ชางหลิงส่ายหน้า
ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ เยียวยาไม่ขึ้นแล้วจริงๆ
“ถ้าคุณเป็นคนจิตใจดีและไร้ซึ่งความหวาดระแวง เดิมทีจะสามารถมีชีวิตที่ดีมากแน่” ชางหลิงถอนหายใจ
เธอมีพื้นตระกูลที่ดีเลิศ ในเมืองหนานตระกูลโม่เป็นเพียงตระกูลเดียวที่สามารถเปรียบเทียบกับตระกูลโหมวได้ ตั้งแต่ยังเด็กเธอใช้ชีวิตดั่งเจ้าหญิง ถ้าเธอเลือกเส้นทางอื่น ก็สามารถมีชีวิตอย่างสุขสบาย แต่กลับ…
กลับเป็นเซียนไพ่มือดีที่เล่นไพ่เน่า
“การแต่งงานกับโหมวยู่ เป็นชีวิตที่ดีที่สุดของฉัน” โม่โม่พูด “มันเป็นสิ่งที่ฉันไล่ตามมาทั้งชีวิต ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ตอนนี้เขาก็เป็นของฉันไปแล้ว”
“เลิกฝัน” ชางหลิงแทงเธออย่างไร้ความปราณี “คุณควรทนุถนอมชีวิตอิสระที่เหลืออยู่ช่วงสุดท้ายให้ดีๆ จะดีกว่า”
ชางหลิงเก็บจานและลุกขึ้น
“คุณหมายความว่ายังไง” โม่โม่ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงมีความมั่นใจแบบนี้
ชางหลิงไม่ตอบ ถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่าโหมวยู่ทำอะไรกันแน่ แต่เธอแน่ใจได้ว่าโชคชะตาของตระกูลโม่สิ้นสุดลงแล้ว
“คุณหยุดนะ!” โม่โม่เพิ่มเสียง
ชางหลิงไม่ได้หยุดก้าวเท้า เธอมองซูเสี่ยวเฉิง แล้วทั้งสองคนก็ถือจานออกไป
โม่โม่จ้องด้านหลังพวกเธอพร้อมกับกำมือแน่น
ดูเหมือนว่าเธอต้องรีบลงมือแล้ว
ไม่สามารถให้ชางหลิงเข้าสู่การแข่งขันรอบสุดท้ายได้ และถึงขั้นไม่สามารถให้เธอมีชีวิตรอดกลับไปเมืองจีนได้