สายตาของชางหลิงมองไปที่ตัวโหมวฉี่แวบหนึ่ง และนึกถึงสิ่งที่โม่โม่พูดในสายนั้น จิตใจของเธอก็ซับซ้อนเป็นพิเศษ
โหมวยู่ใส่ใจกับอะไรมากที่สุดงั้นเหรอ? ดูเหมือนว่า ทุกครั้งที่โหมวฉี่ปรากฏตัว เขามักจะมีความรู้สึกไวเป็นพิเศษ
“ชื่อเสียงของบริษัทเซิ่งซื่อ มันต้องให้พี่มาสนใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” โหมวยู่ตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ
โหมวฉี่ไม่ได้พูดอะไรมาก เขายักไหล่เล็กน้อย พร้อมกับมองไปที่ชางหลิง
“คุณชางครับ ข้อเสนอก่อนหน้านี้ยังคงรักษาคำพูดอยู่นะครับ ผมยังรอคำตอบของคุณทุกเมื่อนะครับ” โหมวฉี่ยิ้ม
ชางหลิงรู้สึกสับสน เพราะคำพูดนี้ของโหมวฉี่ เห็นได้ชัดว่าตั้งใจพูดให้โหมวยู่ฟัง
เป็นดัง ที่คาดไว้จริงๆ ตัว โหมวยู่หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองชางหลิงอย่างใกล้ชิด
ชางหลิงก้มหน้าลง และคิดเกี่ยวกับรูปถ่ายใบนั้นของซูเสี่ยวเฉิงครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้เพื่อนสนิทที่ดีที่สุดของเธอได้รับบาดเจ็บสาหัสและยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง และเธอก็ไม่สามารถเสียเวลากับสิ่งความยุ่งเหยิงเหล่านี้อีกต่อไปแล้ว
“โหมวยู่” ทันทีที่นึกถึงเรื่องนี้ ชางหลิงก็ได้ตัดสินใจเด็ดขาดไปว่า “ฉันไม่สนหรอก ว่าคุณจริงใจกับฉันหรือแค่เสแสร้ง ฉันแค่คิดว่าเราสองคนมันไม่เหมาะสมกันจริงๆ หากตามเงื่อนไขของคุณแล้ว คุณยังสามารถหาคนที่ดีกว่าฉันได้นะ”
และตอนนี้ เธอแค่ต้องการช่วยชีวิตซูเสี่ยวเฉิงจากมือของโม่โม่เท่านั้น
ชางหลิงพูด พร้อมกับยืนอยู่ข้างๆ โหมวฉี่ “คุณชายฉี่คะ ฉันรับปากค่ะ”
“คุณคิดว่า การที่ใช้เขาเป็นที่พึ่งแล้วจะสามารถไปจากผมได้อย่างราบรื่นงั้นเหรอ?” ไอเหี้ยมโหดบนตัว โหมวยู่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งหนักขึ้น
“ก็ลองสักครั้งดูสิ” โหมวฉี่ไม่มีความเกรงกลัวเลยสักนิด
โหมวยู่ขมวดคิ้ว และจ้องไปที่ชางหลิงต่อ “คุณจะไปกับเขาจริงๆ เหรอ?”
เธอรู้บ้างไหมว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่? วันนี้เธอปฏิเสธเขาและเลือกโหมวฉี่ภายใต้การถูกจ้องมอง และจากนี้ไประหว่างพวกเขา ก็ยากที่จะคืนดีกันอย่างเมื่อก่อนแล้ว
ชางหลิงกลืนน้ำลาย เธอจ้องเขม็งไปที่ชายตรงหน้า และคำพูดที่กำลังจะโพล่งออกมานั้น เธอกลับยังคงออกแรงกลั้นมันไว้
และแหวนเพชรบนพื้นยังคงส่องแสงระยิบระยับอยู่ภายใต้แสงไฟนั้น เธออยากจะก้มลงไปเก็บมันขึ้นมากมาย แล้วบอกกับเขาว่า เธอยอมรับเขา เธอยอมที่จะไปล้างบาปการตายของหยูเฉินด้วยกันกับเขา จะอยู่เคียงข้างเขา และคอยจับมือเดินหน้าต่อไปด้วยกัน
แต่…เธอทำไม่ได้
อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้
ชางหลิงฝืนยิ้ม ตอนนี้ไม่ได้…เพราะด้วยนิสัยของโหมวยู่แล้ว ถ้าตอนนี้เธอทำไม่ได้ ต่อไป ก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว
“ใช่” ชางหลิงส่งเสียงตอบ เธอหันหน้าหนี พร้อมกับยื่นมือออกไป ช่วยรถเข็นรถเข็นของโหมวฉี่
เซียวฉู่ก้าวถอยหลังอย่างมีสติไปก้าวหนึ่ง พร้อมกับเว้นที่ว่างให้ชางหลิง
“อย่าเสียใจทีหลังแล้วกันนะ” โหมวยู่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ชางหลิงไม่ได้ตอบเขา แต่กลับเข็นโหมวฉี่กลับจากทางเดิมที่มีกลีบดอกไม้สีสันสวยสดงดงาม
ฝีเท้าของโหมวยู่ ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างไม่สามารถควบคุมได้ แต่คำพูดรั้งให้อยู่ที่กำลังจะพูดออกไปนั้น สุดท้ายเขากลับเลือกที่จะไม่พูดมันออกมา
ถ้าชางหลิงเกิดความพะวงในใจอยู่ตลอดเวลาต่อเขาเพียงเพราะการตายของหยูเฉิน บางทีเขาอาจใช้ต้องเวลาพิสูจน์ความมุ่งมั่นของเขา แต่ตอนนี้ โหมวฉี่ก็ได้ให้ความร่วมมือแล้วด้วย ดังนั้นเรื่องราวจึงซับซ้อนกว่าก่อนหน้านี้มาก
“คุณหยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เมื่อเห็นว่าชางหลิงกำลังจะจากไปแล้วจริงๆ โหมวยู่ก็กระวนกระวายใจเล็กน้อย
ชางหลิงอดกลั้นอย่างขีดสุด และใช้กำลังทั้งหมดที่มี พยายามกลั้นน้ำตาไว้ที่เบ้าตาตัวเอง
“บางที คุณสามารถปล่อยวางได้” โหมวฉี่รู้สึกถึงความลังเลของเธอ และเตือนเธออย่างเสียงเบาว่า “มันไม่จำเป็นต้องทำจนแข็งทื่อขนาดนั้นก็ได้นะครับ”
“ไม่ต้องการค่ะ” ชางหลิงยกคางขึ้น และฝีเท้าก็ไม่ได้หยุดลงเลย
ฝูงชนที่มุงดูเว้นทางเดินให้พวกเขา เพื่อให้โหมวฉี่และชางหลิงออกไป และเว็บแคมมือถือของพวกเขาก็พากันเล็งไปที่ภาพด้านหลังของพวกเขา
โหมวยู่ยืนอยู่กับที่ พร้อมกับมองไปยังทิศทางที่พวกเขากำลังจากไป แต่ก็ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวใดๆ อยู่นาน
“คุณชายรองครับ” ฉู่ฉือรีบเดินขึ้นไป “คุณชางเธอ…”
เขาตามอยู่เคียงข้างโหมวยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงรู้อย่างดีว่าโหมวยู่ทุ่มเทกับการขอแต่งงานครั้งนี้มากแค่ไหน
และดอกกุหลาบทุกดอกเขาก็ตรวจสอบมันด้วยตัวเอง การตกแต่งทั้งหมดล้วนลงมือตามคำแนะนำของฉินซางด้วยตัวเอง และเขาก็อยากถือโอกาสในวันเกิดนี้เซอร์ไพรส์ชางหลิงอย่างมีความสุข กระทั่งยังเตรียมการประกาศความรู้สึกที่มีต่อเธอต่อหน้าทุกคนอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ความหวังยิ่งสูงเท่าไหร่ ความผิดหวังก็ยิ่งมากเท่านั้น
ภาพฝันการขอแต่งงานเดิมที มันกลับกลายเป็นการโชว์เดี่ยวไปสะงั้น
โหมวยู่กำช่อดอกไม้ในมือไว้แน่น สุดท้าย นิ้วมือของเขาก็คลายลง และช่อดอกไม้ก็ตกลงบนพื้นปูนซีเมนต์
“กลับโรงแรม” โหมวยู่เอ่ยปากพูดอย่างเงียบสงัด แต่ในใจเขากลับมีคลื่นลูกใหญ่นับพันหมุนขึ้นหมุนลง
ฝูงชนก็กระจัดกระจายกันไปแล้ว และดอกไม้ทั่วทุกหัวระแหงต่างก็แย่งกันเบ่งบานด้วยท่าทางที่งดงามที่สุดของตัวเอง และเผยให้เห็นกลิ่นหอมสุดท้ายของบรรยากาศที่ต่างแคว้นแดนไกล อย่างไรก็ตาม ความงดงามแบบนี้ มันก็ไม่ได้มีคนอยู่ชื่นชมตั้งนานแล้ว และเด็กซนก็หยิบดอกไม้ขึ้นมาแล้วจากไหน เหลือไว้เพียงรอยเท้าที่ระเกะระกะ
ชางหลิงนั่งอยู่ในรถของโหมวฉี่ และมองดูรถที่ขับจากไปไกลของโหมวยู่ด้วยสายตาตัวเอง ในที่สุด เชือกก็ไม่สามารถต่อได้อีกต่อไป และน้ำตาเธอก็ร่วงหล่นลงมา
โหมวฉี่มองดูการแสดงออกของเธอจากด้านข้าง และพูดเบาๆ ว่า “ในเมื่อไม่สามารถทนรับได้ ทำไมถึงต้องพูดคำฝืนใจเหล่านั้นด้วยล่ะ? คุณก็รู้ดีนิ ด้วยนิสัยของเขา การทำแบบนี้จะยั่วโมโหเขา”
ชางหลิงปิดปากตัวเอง น้ำตาก็ไหลเปียกนิ้วมือเธอ เธอเช็ดหน้าตัวเองอย่างลวกๆ ไปทีหนึ่ง จากนั้นก็หยิบมือถือออกมา แล้วเปิดประตูรถ
เธอกดโทรเบอร์เมื่อครู่นั้นไป หลังจากที่รอเสียงตอบรับสายอยู่นาน ทางนั้นก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นมา
“ฉันทำตามที่เธอบอกแล้วนะ ตอนนี้คงปล่อยตัวซูเสี่ยวเฉิงได้แล้วนะ” ชางหลิงพูดอย่างร้อนใจ
“เหอะๆ” เสียงหัวเราะของโม่โม่ดูแปลกๆ “ฉันบอกไปว่า รอให้เธอทำให้บรรลุตามแผนที่วางไว้ก่อนค่อยพิจารณาอีกทีว่าจะปล่อยหรือไม่ปล่อย สิ่งที่เธอพูดเมื่อกี้นี้ มีคนบอกฉันแล้ว ฉันรู้สึกว่า…”
โม่โม่หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “คำพูดเหล่านั้นของเธอน่ะ มันไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาเจ็บปวดหรอก”
“เธอต้องการยังไงกันแน่?” ชางหลิงหน้าซีด “เธอจะกลับคำงั้นเหรอ?”
“ในเมื่อเธอทำได้ไม่ดี ฉันก็ไม่จำเป็นต้องทำตามสัญญาเช่นกัน แต่เมื่อเห็นว่าเธอเชื่อฟังมากขนาดนี้ ฉันจะให้ศักดิ์ศรีกับเธอบ้างก็แล้วกัน โดยที่จะให้โอกาสซูเสี่ยวเฉิงกล่าวคำอำลากับเธอ ส่วนเธอจะหาเจอหรือไม่เจอนั้น…ก็คงต้องดูที่ความสามารถของเธอแล้วล่ะ”
“โม่โม่!” ชางหลิงเบิกตากว้าง
เสียงในมือถือก็หยุดอย่างกะทันหันไป เหลือไว้เพียงเสียงตู๊ดๆ ที่เย็นเยือก