“อย่างไรก็ตาม ทรัพย์สมบัติของตระกูลโม่เป็นเหมือนสิ่งที่ทุกคนแย่งชิงหมายปองกัน และผมก็แค่รู้สึกเสียดายงานหมั้นที่ต้องถูกทำลายไปครึ่งทาง” โหมวยู่แสร้งทำเป็นรู้สึกแย่
โหมวยู่ลืมตาขึ้น และความเยือกเย็นในดวงตาคู่นั้นก็ทำให้โม่โม่ขนลุกขนพองขึ้นมาทันที
เธอรู้ว่า นอกจากโหมวยู่จะเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งแล้ว ยังเป็นนักธุรกิจอีกด้วย แน่นอนว่าจะไม่ทำให้ธุรกิจขาดทุน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เธอยกเลิกการหมั้นแล้ว ก็จะไม่มีตระกูลโม่ที่คอยเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังให้เธอแล้ว และเธอก็จะมีชีวิตที่ลำบากกว่าตอนนี้
“คุณคิดว่าไงล่ะ?” โม่โม่มองเขาอย่างระแวดระวัง
โหมวยู่ยิ้ม ไม่แสดงอารมณ์มากเกินไป “อย่ากังวลมากไปเลย อย่างไรเสีย ตอนนี้ผู้รับผิดชอบตระกูลโม่ ก็ยังเป็นคุณลุงโม่ ดังนั้นเรื่องธุรกิจ ฉันจะสื่อสารกับเขาเอง”
“โหมวยู่ ตระกูลโม่ทำเพื่อตระกูลโหมวมาตั้งหลายปี ไม่มีคุณงามความดีหรือการทำงานที่หนักและเหนื่อย และเราก็ไม่เคยแข่งขันกับตระกูลโหมวเลย ทำไมคุณถึงยกตนข่มท่านขนาดนี้” โม่โม่รู้ว่าโหมวยู่จะไม่ให้ปล่อยตระกูลโม่ไปง่ายๆ แน่
“ยกตนข่มท่านงั้นเหรอ?” โหมวยู่มองเธอ และองศามุมปากของเขาก็ชัดยิ่งขึ้น “ถ้าแค่นี้ก็เป็นการยกตนข่มท่านแล้ว งั้นถ้าผมขอให้ออโรร่าเปิดเผยรูปถ่ายในมือถือล่ะ หรือว่าจะเชิญนักข่าวกลุ่มหนึ่งมาสัมภาษณ์คุณดีล่ะ? แบบนี้จะยิ่งทำให้คุณทรมานไม่ใช่เหรอ?”
“โหมวยู่…” โม่โม่รู้สึกกังวล
“ไสหัวออกไปสะ” โหมวยู่ไร้ความปรานี
“ตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่ตระกูลโม่ตกอยู่ในความตึงเครียด คาดว่าก็อาจเป็นช่วงเวลาที่ต้องการกำลังคนด้วยเช่นกัน ผมแนะนำให้นะคุณควรกลับบ้านไปเก็บทรัพย์สมบัติตระกูลตัวเองให้ดีๆ ดีกว่านะ”
“คุณจะไล่ฉันงั้นเหรอ?” โม่โม่ไม่อยากเชื่อ “ฉันเป็นถึงผู้อำนวยการบริษัทเซิ่งซื่อเลยนะ หากฉันต้องออกไปในเวลานี้ คนอื่นจะคิดยังไงล่ะ?”
“นี่เป็นบริษัทเซิ่งซื่อของตระกูลโหมวผม ผมจะต้องยินยอมก่อนคุณถึงจะเป็นผู้อำนวยการได้” โหมวยู่มองไปอย่างล่องลอย “ยิ่งไปกว่านั้น ผมไม่เคยสนใจอยู่แล้วว่าคนอื่นจะคิดยังไง”
โม่โม่แทบสำลักกับคำพูดของโหมวยู่ เธอกัดริมฝีปากตัวเอง และกำมุมกระโปรงไว้แน่น
“ได้” โม่โม่ลุกขึ้น “ฉันจะไปเอง”
เธอเดินไปยังประตู แต่หลังจากไปได้ไม่กี่ก้าว เธอก็หยุดอีกครั้ง เธอหันหน้ากลับมา แล้วจ้องมาที่เขาอย่างเกรงกลัว “เรื่องของคืนนี้… ”
“ถ้าคุณจะจากไป ผมก็จะถือว่ามันไม่ได้เกิดอะไรขึ้นก็แล้วกัน” โหมวยู่พูดจบ ก็เทไวน์จากแก้วลงในปาก
โม่โม่ก้มหน้าลง และเดินไปที่ประตูอย่างช้าๆ เธอแสดงท่าทีถ่อมตัว แต่ในกลับระบายความแค้นออกมาเป็นพันๆ ครั้งแล้ว
คิดว่าเธอจะมีฐานะสูงส่งมาทั้งชีวิต และเธอก็ได้ในสิ่งที่ต้องการทุกอย่าง ซึ่งสิ่งที่เธอทำก่อนหน้านี้ ทั้งราบรื่นและไม่มีใครขัดขวางเลยสักนิด แต่ตอนนี้ เธอก็ยังไม่สามารถกำจัดชางหลิงได้ แต่กลับถูกรบกวนจาก ออโรร่า หรือว่าเบื้องบนอาจจะห้ามมิให้เธออยู่ร่วมกับโหมวยู่ด้วย?
โม่โม่ออกจากประตู แต่นอกเหนือจากสถานการณ์ที่ไม่ประสบความสำเร็จเมื่อครู่แล้ว ความกังวลในใจของเธอก็ได้ลุกลามขึ้นอีกครั้ง
เมื่อฟังความหมายของโหมวยู่แล้ว เหมือนว่าเขาได้ลงมือตระกูลโม่แล้ว?
เพื่อการวางหมากนั้นของซูเสี่ยวเฉิง เธอกลัวว่าจะถูกคนตรวจสอบตำแหน่งได้ จึงปิดมือถือเครื่องเดิมไว้ แต่พอมาลองนึกดูตอนนี้ พ่อของเธอคงติดต่อเธอไม่ได้เลย คงต้องกังวลมากแน่
เมื่อโม่โม่นึกถึงเรื่องนี้ ฝีเท้าของเธอก็รีบเร่งขึ้นมา
หลังจากที่เงาร่างของเธอหายไปจากมุมห้อง โหมวยู่ก็เดินออกมาจากห้อง และพิงที่ประตู จ้องมองไปยังทิศทางของโถงทางเดินอย่างครุ่นคิด
“คุณชายรองครับ” ฉู่ฉือเดินเข้ามาข้างๆ โหมวยู่อย่างรวดเร็ว “เมื่อกี้ผมได้ยินว่าคุณออโรร่าพูดว่า…”
โหมวยู่เอียงตา และฉู่ฉือเองก็มองสายตาของเขาออก ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ
“มีคุณออโรร่าเป็นพยานแล้ว เราสามารถมอบหลักฐานทั้งหมดให้กับทางตำรวจได้ ซึ่งพฤติกรรมของโม่โม่ ถือได้ว่าเป็นการก่ออาชญากรรมไปแล้วนะครับ” และตอนนี้ตระกูลโม่ในประเทศก็กำลังตกอยู่ในความยากลำบากอีกด้วย แน่นอนว่าจะต้องไม่มีเวลาดูแลโม่โม่ที่อยู่ไกลออกไปในอิตาลี และนี่ก็เป็นโอกาสที่ดีในการกวาดเรียบไม่ให้มีเหลือนะครับ
แต่…ทำไมโหมวยู่กลับปล่อยตัวโม่โม่ไป?
“นาย ส่งคนมาจับตามองเธอด้วยนะ รวมถึงคนรอบข้างเธอด้วย” โหมวยู่ออกคำสั่งกับฉู่ฉือ “ส่วนทางชางหลิงนั้น มันจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่
ยิ่งอยู่โหมวยู่ก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีบางอย่างผิดปกติ
——
“หลีซิน!” สุดท้ายก็โทรติดหลีซิน หัวใจที่เอาแต่เป็นกังวลของชางหลิงก็สงบลง “เป็นยังไงบ้าง? หาเสี่ยวเฉิงเจอหรือยัง?”
น้ำเสียงที่ปลายสายค่อนข้างทุ้มต่ำ หลีซินเงียบไปครู่หนึ่งจึงส่งเสียงตอบกลับมา “เสี่ยวหลิง…”
“ผมกลับมาโรงแรมแล้ว และผมก็ตรวจสอบทุกที่ที่มีการควบคุมและคอยสังเกตทั้งหมดแล้วด้วย รู้แค่ว่าเธอขึ้นแท็กซี่คันหนึ่ง แต่…เพราะมันเป็นช่วงกลางคืนแล้ว รถเยอะมาก และลักษณะของรถแท็กซี่ก็ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ด้วย ผมเลย……หาเบาะแสของเธอไม่พบ”
หัวใจของชางหลิงเหมือนแสบร้อนด้วยบางสิ่งอย่างกะทันหัน และเพียงครู่เดียวอารมณ์ของเธอก็ทรุดลง ท่วมกลางริมถนนที่คนพลุ่งพล่านไปๆ มาๆ เธอปิดปากตัวเอง และร้องไห้สะอึกสะเอื้อน
“แล้วจะทำยังไงดี…จะต้องทำยังไงดีล่ะ…” ชางหลิงไม่เคยตื่นตระหนกและลุกลี้ลุกลนขนาดนี้มาก่อนเลย แม้แต่ตอนที่โหมวเจิ้งถิงส่งคนมามัดเธอไว้ในถิ่นทุรกันดาร เธอก็ยังไม่เคยตื่นกลัวแบบนี้มาก่อนเลย
นั่นมันซูเสี่ยวเฉิงเลยนะ ซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่เติบโตมาพร้อมกับเธอ และเป็นคนที่ใกล้ชิดกับเธอมากที่สุดในโลก
“และสิ่งที่จัดการยากที่สุดในตอนนี้คือ เราอยู่ต่างประเทศ และวิธีการติตามหามากมายก็ไม่สามารถใช้ได้เลย แต่คุณไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ ผมจะหาเธอให้ได้เลย” หลีซินปลอบใจเธอ
วิธีการตามหา… เมื่อชางหลิงได้ยินคำเหล่านี้ เธอก็คิดขึ้นได้ในทันใด
ใช่แล้ว เธอลืมมันไปได้ยังไงกัน เธอยังมียอดฝีมือในการตามหาอยู่คนหนึ่งนิ
“หลีซิน ฉันรู้ว่าต้องทำยังไงแล้ว” ชางหลิงพูดไปอย่างเร่งรีบ แล้วยืนขึ้น “คุณอย่าเพิ่งบุ่มบ่ามนะ ฟังฉันก่อน”
เธอวางสายอย่างรีบด่วน และทันทีที่เธอหันหลังไป ก็เห็นโหมวฉี่และเซียวฉู่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากข้างหลังเธอ
“มีอะไรให้ผมช่วยบ้างไหม?” โหมวฉี่ถาม
เมื่อเห็นท่าทางที่เร่งรีบของเธอ ก็สามารถเดาได้ว่าเธอกำลังประสบกับเรื่องที่จัดการได้ยากมากในขณะนี้
ชางหลิงจ้องไปที่เขา ไม่ว่าจะเวลาไหนผู้ชายคนนี้มักจะมีท่าทางสงบอยู่เสมอ จากเมื่อครู่ที่พรากเธอจากการขอแต่งงานจนถึงตอนนี้ ไม่มีความสงสัยหรืออยากรู้อยากเห็นเลยสักนิด
“ส่งฉันกลับโรงแรมหน่อยค่ะ” ชางหลิงไม่เกรงใจเขา
ที่จริงแล้ว ตอนนี้เธอสามารถมัดตัวโม่โม่ได้แล้ว และไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการที่รุนแรงบังคับให้เธอบอกตำแหน่งของซูเสี่ยวเฉิงแต่…
เพราะตอนนี้โม่โม่ก็เป็นโรคประสาทอยู่แล้ว แม้ว่าจะมัดเธอไว้ก็ตาม เธอก็ไม่อาจพูดออกมาหรอก เมื่อถึงตอนนั้น ไม่เพียงแต่เสียเวลาช่วยซูเสี่ยวเฉิงแล้ว ไม่แน่ว่าจะทำให้สุนัขจนตรอกอย่างเธอลงมือซูเสี่ยวเฉิงอย่างเลวร้ายอีก
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ก็ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าโม่โม่จับซูเสี่ยวเฉิง และการที่เธอทำอย่างสะเพร่าเช่นนี้ ก็จะทำได้แค่ประสมประเสทุกอย่างของตัวเองเข้าไป เมื่อถึงตอนนั้นคนที่เดือดร้อน จะไม่ใช่แค่ซูเสี่ยวเฉิงคนเดียว
ดังนั้น เธอจะต้องใช้วิธีการที่ปลอดภัยเพื่อช่วยซูเสี่ยวเฉิงออกมา และคนเดียวที่สามารถทำได้คือ… ป๋ายจื๋อ