ชางหลิงเผลอหลับไปอย่างสนิท
ซึ่งในระยะนี้ เธอมักจะยุ่งอยู่กับการแข่งขัน ยุ่งอยู่กับการรับมือสถานการณ์กับเจสันและโม่โม่ ดังนั้นเธอจึงอ่อนล้าไปทั้งตัวและจิตใจ และตอนนี้ก็ถือว่าเป็นเวลาพักผ่อนเล็กน้อยของเธอ
อย่างไรก็ตาม หากตามที่ออโรร่าได้พูดไปนั้น คนรอบตัวเธอต่างก็พากันได้รับบาดเจ็บไม่มากก็น้อยทั้งนั้น ซึ่งก็เหลือเพียงเธอคนเดียวที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ มันจึงค่อนข้างรู้สึกลำบากใจ
หลังจากตื่นนอน โหมวยู่ก็ไม่ได้อยู่ข้างๆ เธอแล้ว ชางหลิงยกมือขึ้นขยี้ตา ถึงได้พบว่าที่มือของตัวเองสวมแหวนไว้วงหนึ่ง
“นับว่าคุณยังมีมโนธรรมอยู่บ้าง” ชางหลิงพูดกับตัวเอง
เมื่อเธอเปิดผ้าม่านออก ก็เห็นว่าข้างนอกใกล้จะค่ำแล้วนี่เธอหลับไปตั้งแต่เช้าจรดค่ำเลยเหรอเธอมองดูท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลงไปนั้น ถึงนึกขึ้นได้ว่าเธอยังมีธุระต้องทำ
เธอรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและวิ่งออกไปอย่างรีบร้อนจากนั้นเธอก็วิ่งตรงไปที่ห้องพักของถงเอิน
“ผู้อำนวยการถงคะ” เพราะถงเอินเข้าพักอยู่ในห้องคนเดียว ชางหลิงจึงไม่กลัวว่าจะรบกวนคนอื่น เธอเลยกดกริ่งประตูถี่ๆ
ภายในประตูก็เงียบอยู่นานชางหลิงจึงรู้สึกสงสัยขึ้นมา ณ จุดจุดนี้ เธอควรจะทานอาหารเย็นเสร็จตั้งนานแล้วนะ ถงเอินต้องอยู่สิ
กริ่งประตูดังอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ยังไม่มีการตอบสนองใดๆ ชางหลิงก็หันหลังแล้วเดินจากไปด้วยความโกรธ เธอหยิบมือถือออกมาแล้วเตรียมจะส่งข้อความให้ถงเอิน
และในขณะนั้นเอง ประตูด้านหลังเธอก็เปิดออกอย่างกะทันหัน ซึ่งถงเอินก็กำลังสวมเสื้อคลุมอาบน้ำและยืนอยู่ที่ประตูอย่างผมยุ่ง
“ชางหลิง?” ถงเอินส่งเสียงเรียก
ชางหลิงหันหน้ากลับมาและเมื่อเห็นเธอเธอก็ตาเป็นประกายแล้วผลักถงเอินเข้าไปอย่างไม่สนอะไรทั้งนั้นซึ่งตัวเองก็ตามเธอเข้าประตูห้องไปด้วย
“ฉันมีเรื่องด่วนที่ต้องมาหาผู้อำนวยการค่ะตอนนี้ทั้งเมิ่งเคอและป๋ายจื๋อต่างก็ได้รับบาดเจ็บทั้งคู่ และพรุ่งนี้ก็เป็นการแข่งขันรอบที่ 5 เกี่ยวกับเรื่องของนางแบบแล้ว ผู้อำนวยการต้องช่วยฉันหาวิธี…”
ชางหลิงเป็นห่วงแต่การแข่งขันของตัวเองอยู่ตลอดเวลาและไม่ได้สนใจในการแสดงออกของถงเอินเลย จนเธอเห็นผ้าห่มที่รีบพันเป็นตัวบนเตียงในห้อง เธอก็หยุดลง
สายตาที่มองออกไปของเธอทำให้ฉู่ฉือต้องมองเธออย่างลำบากยากแค้น และด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนกตกใจ
“นี่คุณ…” นิ้วมือชางหลิงชี้ไปที่เขา แล้วชี้ไปที่ถงเอินซึ่งอยู่ตรงหน้าเธอ “พวกคุณ…”
“พวกเราอะไรงั้นเหรอ?” ถงเอินจับปลายนิ้วของเธอแล้วใช้นิ้วเขี่ยตัวเธอ จากนั้นก็ผลักเธอออกจากประตูไป
“ฉันกับฉู่ฉือเป็นสามีภรรยากันแล้ว และไม่ว่าจะทำอะไรมันก็เป็นเรื่องปกติทั้งนั้น” ถงเอินจัดเส้นผมที่ยื่นตรงของตัวเองจากนั้นก็เอนตัวพิงที่วงกบประตูอย่างสงบ
ในที่สุดชางหลิงก็มีปฏิกิริยาตอบกลับมา
ใช่แล้ว เธอเกือบลืมไปเลยว่าถงเอินกับฉู่ฉือแต่งงานกันแล้ว
“ฉัน…” ชางหลิงหันกลับมาอีกครั้ง และกำลังจะพูดซ้ำในสิ่งที่เธอได้พูดไปเมื่อครู่นี้ แต่กลับเห็นว่าถงเอินดึงลูกบิดประตูแล้ว และโผล่แค่หัวออกมานอกประตู “ตอนนี้เรื่องระหว่างเธอกับโหมวยู่ทุกคนต่างก็รู้แล้ว เธอต้องการอะไรก็แค่บอกกับเขาไปตรงๆ ก็พอแล้ว เป็นผัวเมียกันมานานแล้ว ไม่ต้องพูดอ้อมค้อมขนาดนั้นหรอก”
“เอ๊ะ…” ชางหลิงกำลังจะออกเสียง แต่กลับได้ยินแค่เสียง “ปัง” และบานประตูก็ห่างจากจมูกเธอเพียงไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น ดังนั้นจึงบังสายตาของเธอไว้อย่างแน่นหนา
โอเค! นิ้วมือที่ยื่นออกไปของชางหลิงก็ค่อย ๆ หดกลับมาและกำจนกลายเป็นกำปั้น
ได้ เธอทนได้ไอ้คนเห็นผัวดีกว่าเพื่อน
ชางหลิงกำลังจะหันหลังกลับ แต่ทันใดนั้นประตูก็เปิดออกอีกครั้งและใบหน้าของชางหลิงก็เต็มไปด้วยความสุข “ฉันรู้อยู่แล้วว่า เธอจะต้อง…”
“อีก 3 ชั่วโมงข้างหน้านี้เธออย่าเพิ่งมารบกวนฉันนะ ไปหาโหมวยู่ของเธอโน้นไป” ถงเอินแสร้งทำเป็นเตือนเธออย่างดุร้าย พอพูดจบ ก็เสียงดัง “ปัง” และประตูก็ปิดไป
ชางหลิงถูกเจ้าบ้านขับไล่อย่างเอาจริงเอาจัง จากนั้นเธอก็มองบน
“3 ชั่วโมงเหรอ…เชอะ” ชางหลิงกอดอกอย่างไม่มีค่าพอให้ชายตามอง และด้วยท่าทีที่โมโหอย่างมาก“ให้ตายสิ”
ชางหลิงตำหนิด้วยเสียงเบา เธอหันหน้ากลับมา และเดินไปแค่ไม่กี่ก้าว ก็เห็นโหมวฉี่ที่นั่งบนรถเข็น
ดูเหมือนเขาจะหยุดอยู่ตรงนี้สักพักแล้วเขาจ้องมองเธอด้วยสายตาที่นุ่มนวล ราวกับเขารู้ว่าเธอถูกเจ้าบ้านขับไล่
“รอฉันเหรอคะ?”ชางหลิงใช้นิ้วชี้ ชี้มายังทิศทางของตัวเอง
โหมวฉี่ไม่ได้ตอบ แต่แค่ยิ้มให้จากนั้นเซียวฉู่ก็ค่อยๆ ดึงรถเข็นของเขาถอยหลังไปและผลักเขาไปยังทิศทางของลิฟต์
แม้ว่าเธอจะไม่ได้รับคำตอบที่แน่นอนแต่ชางหลิงกลับเข้าใจในความหมายของโหมวฉี่จากนั้นเธอก็เดินตามออกไป และเข้าไปในลิฟต์กับพวกเขา
ในพื้นที่ที่ไม่กว้างขวางมากนั้น ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ และชางหลิงก็มองดูเงาของตัวเองบนผนังตรงหน้าเธอด้วยความงุนงง ซึ่งเธอไม่สามารถเข้าใจถึงท่าทีของโหมวฉี่ได้เลย
“ซูเสี่ยวเฉิงทางนั้นคุณจัดการเรียบร้อยแล้วหรือยังคะ?” ในที่สุด โหมวฉี่ก็เป็นคนส่งเสียงพูดขึ้นก่อน
“อืม” ชางหลิงตอบอย่างน่าเอ็นดู “เธอกำลังพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะและถ้าฉันไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันผู้ยอดเยี่ยมละก็คงจะไม่รอจนกว่าการแข่งขันจะสิ้นสุดลงหรอกค่ะ เพราะเมื่อถึงตอนนั้นฉันคงจะพาพวกเขากลับประเทศไปด้วยกันก่อนแล้ว”
โหมวฉี่พยักหน้าเล็กน้อยและเมื่อลิฟต์ไปถึงที่ชั้นร้านอาหาร เซียวฉู่ก็เข็นเขาออกมา
“ผมยังไม่ได้ทานข้าวเลย ไม่งั้นก็ไปด้วยกันสิ?” โหมวฉี่เสนอ
ชางหลิงสัมผัสหน้าท้องที่หย่อนคล้อยของตัวเอง เมื่อกี้ยังไม่รู้สึก แต่ว่าพอตอนนี้ได้กลิ่นหอม ก็รู้สึกหิวเหมือนกัน
“ในเมื่อมีคนเชิญแล้วไม่กินก็คงจะเสียดาย” ชางหลิงไม่ได้ปฏิเสธ
และทั้งสองก็นั่งลงจากนั้นเซียวฉู่ก็กำชับพนักงานเสิร์ฟไปสองสามคำว่า ให้เว้นที่ว่างสำหรับพวกเขาทั้งคู่
“ผมคิดว่า อย่างน้อยคุณควรจะขอบคุณผมดีๆ อีกครั้ง” โหมวฉี่เอนตัวไปข้างหลังและจ้องไปที่ชางหลิงซึ่งอยู่ตรงหน้า
ชางหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้มอย่างไร้เดียงสาให้เขา “คุณชายฉี่คะคุณพูดไปแล้วนิคะ ว่านั่นเป็นของขวัญที่คุณมอบให้ฉัน
โดยปกติแล้วของขวัญมันก็ไม่ใช่ว่าจะได้รับฟรีๆ นะ แต่ถึงอย่างไรต่างก็ต้องมีการวางแผนทั้งนั้น แล้วจะทำเป็นสุภาพขนาดนี้ไปทำไมคะ?”
โหมวฉี่มองเธออย่างแน่วแน่ไปแวบหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าเขานึกอะไรได้ขึ้นมา อยู่ๆ ก็ส่งเสียงหัวเราะไปทีหนึ่ง แล้วส่ายหัวเล็กน้อย “บางทีผมอาจคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ซับซ้อนเกินไป”
ชางหลิงยักไหล่ และไม่ได้พูดต่อไป
“เมื่อกี้ที่ไปหาถงเอิน เพราะเรื่องของนางแบบสำหรับการแข่งขันในวันพรุ่งนี้เหรอ?”โหมวฉี่ถามเธอ
ชางหลิงพยักหน้า
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” โหมวฉี่นิ่งเงียบ “ส่วนทางเซียวฉู่นั้นก็เตรียมพร้อมแล้วเดี๋ยวรอให้ทานข้าวเสร็จแล้ว ผมจะให้เขาพานางแบบมาพบคุณ”
ในที่สุดชางหลิงก็ประหลาดใจเธอกะพริบตาและพยายามจะดูอะไรบางอย่างจากหน้าของโหมวฉี่
“คุณเตรียมไว้นานแล้วเหรอ?” ก็ว่าล่ะ ทำไมคุณถึงมานั่งแกร่วอยู่ที่ประตูห้องของถงเอิน? “แต่คุณรู้ได้ยังไงว่า ฉันจะใช้”
“อย่างไรเสียเราก็อยู่ต่างประเทศนะและทรัพยากรก็มีจำกัด ต่อให้จะเป็นถงเอิน ยังไงกำลังคนที่ใช้หมุนเวียนต้องผ่านการอนุมัติจากเบื้องบนด้วย ดังนั้นแม้ว่าคุณจะหาได้ ก็คงจะมีได้แค่ฉันกับโหมวยู่พวกเราทั้งสองคนเท่านั้น” โหมวฉี่ยิ้ม “ผมแค่ไม่รู้ว่าคุณจะหาใคร เลยแค่เตรียมไว้ให้คุณก่อนเท่านั้น แต่พอมาคิดดูแล้ว หากคุณต้องมาหาผมล่ะ?”
ชางหลิงไม่รู้ว่าควรจะตอบกับยังไงอยู่ครู่หนึ่ง
หวังดีเช่นนี้ แต่กลับเป็นพี่ชายของสามีตัวเอง ดูเหมือนว่ามันจะเอาใจยากเหมือนกันนะ
“ขอบคุณนะครับ” ไม่ว่ายังไง ผมก็ยังต้องขอบคุณสำหรับความหวังดีของเขา
“ซึ่งต่อไปก็ยังจะมีการแข่งขันเลื่อนชั้นอีกสามรอบ ทั้งเจสันและโม่โม่ก็ไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับคุณอีกต่อไป และคุณก็แค่แสดงความสามารถปกติอย่างสุดฝีมือก็ได้แล้ว” โหมวฉี่กวนใจเธอ
ชางหลิงยังคงพยักหน้าเหมือนกับเด็กที่ฟังการอบรมสั่งสอนของผู้ใหญ่
โหมวฉี่มองดูท่าทีที่เธอจริงจังของเธอแล้ว หัวเราะเบาๆ อีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น? เมื่อคืนคงตกใจมากสินะ? ความหยิ่งยโสที่กำเริบเสิบสานปกติหายไปไหนกันหมดแล้วล่ะ?”
ชางหลิงขมวดคิ้วเธอลืมตาขึ้น และสบตาเข้ากับสายตาของโหมวฉี่
“ฉันแค่อยากถามคำถามสักคำถามหนึ่ง”
“คำถามอะไรล่ะ?” โหมวฉี่สงสัย
“แผนการแก้แค้นที่คุณพูดถึงทั้งหมดนั้น เป็นแผนยังไงกัน” ชางหลิงไม่ไว้หน้าเลยสักนิด “คุณบอกว่าคุณต้องการพันธมิตร ดังนั้น คุณจะต้องทำยังไงกันแน่ถึงจะต้องการให้ฉันเป็นพันธมิตรของคุณได้?”