การแข่งขันรอบที่ 5 มันไม่ได้น่าตื่นเต้นเหมือนก่อนหน้านี้แล้วเพราะขาดทวนเปิดเผยและเกาทัณฑ์ลับจากเจสันกับโม่โม่ไป ดังนั้นชางหลิงจึงราบรื่นอย่างมาก
เพียงแค่ เพราะขาดผู้นำกองทัพอย่างเมิ่งเคอกับป๋ายจื๋อดังนั้นนางแบบที่มาใหม่จึงเข้ากับผลงานได้น้อยลง และแม้ว่าชางหลิงจะเข้าสู่รอบที่ 6 ของการแข่งขัน และการจัดอันดับสุดท้ายนี้ก็คงจะตกอยู่ท้ายๆ
และซูเสี่ยวเฉิงก็ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นโจวลี่ลี่จึงกลายเป็นผู้ช่วยของชางหลิงเต็มตัว และแทนที่งานของซูเสี่ยวเฉิง
การแข่งขันสิ้นสุดลง ชางหลิงที่กำลังเก็บของอยู่นั้น กลับพบว่าโจวลี่ลี่มักจะแอบมองเธออยู่ข้างๆ ด้วยท่าทีที่อยากจะพูดแต่กลับไม่พูด
“มองอะไร?” ชางหลิงใส่เครื่องมือลงในกล่องตัวเองและกำลังยุ่งอยู่กับการคุยกับโจวลี่ลี่
ในที่สุดโจวลี่ลี่ก็เข้ามาอยู่ข้างๆ เธอเพราะเมื่อครู่เป็นช่วงเวลาการแข่งขันที่ดุเดือด เธอจึงไม่กล้าคุย อะไร แต่ตอนนี้ที่ชางหลิงถามเธอ เธอก็เริ่มพูดขึ้นมาทันที
“ชางหลิง เรื่องของเธอกับคุณชายรองโหมว…มันเป็นความจริงเหรอ?”
ครั้งแรกที่รู้ข่าวนี้ในกลุ่ม สมองของโจวลี่ลี่แทบระเบิดเพราะเดิมทีเธอแค่คิดว่าผู้อยู่เบื้องหลังชางหลิงคือนายท่านใหญ่โหมว และอย่างมากที่สุดก็เป็นแค่คนรุ่นหลังที่ไม่ได้สนิทอะไรมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่า…
คุณชายรองโหมวก็ยังขอเธอแต่งงานด้วย? ยิ่งกว่านั้น คุณชายฉี่ก็ยังดูเหมือนกำลังทะเลาะกันกับเขาอยู่อย่างงั้นด้วย?
ถ้าทั้งหมดนี้เป็นจริง ชางหลิงจะไม่กลายเป็นบริษัทเซิ่งซื่อทั้งบริษัทเหรอ ไม่สิเป็นผู้หญิงที่ทั้งเมืองหนานต่างก็พากันอิจฉา?
และเธอโจวลี่ลี่ ก็เป็นผู้ช่วยของเธอด้วย!
“เธอคิดว่ายังไงล่ะ?” ชางหลิงไม่ได้มองเธอ
เธอรู้ดีว่าไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ภายในบริษัทถูกปั่นป่วน และผู้คนทั่วทุกที่รวมกลุ่มกันต่างก็พากันพูดถึงเธอกับโหมวยู่ แม้แต่นักออกแบบจากประเทศอื่นๆ ที่เข้าร่วมการแข่งขันนี้ก็อดไม่ได้ที่จะส่งสายตาแปลกๆ มา เมื่อเห็นเธอ
“ฉันไม่กล้าคิดหรอก” โจวลี่ลี่เอาตัวรอดเก่ง
ถ้าเป็นความจริง งั้นก็แสดงว่าเธอก็เป็นเจ้านายในอนาคตของบริษัทเซิ่งซื่อ แต่พอนึกถึงว่าเธอเคยยืนอยู่ในกลุ่มของหลิวจื่อเวยมาก่อน โจวลี่ลี่ก็ตกใจกลัวจนถอดสีหน้า
ชางหลิงจัดวางของเสร็จ และกำลังจะออกไป แต่โจวลี่ลี่กลับก้าวเข้ามาข้างหน้าอย่างกระตือรือร้นและรับกล่องจากมือของเธอไป
“ฉันเป็นผู้ช่วยของคุณ พวกนี้เดี๋ยวฉันทำเอง” โจวลี่ลี่ยิ้มอย่างประจบสอพลอ
เมื่อมองท่าทีที่ประจบสอพลอของโจวลี่ลี่แล้ว ชางหลิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขำ
เมื่อก่อนก็ยังพูดนิว่าเธอน่ะเข้ามาด้วยเส้นสาย? พอตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป เธอกลับเจอจุดเปลี่ยนให้ชีวิตดีขึ้นไปสะงั้น?
ชางหลิงไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่โจวลี่ลี่จะหิ้วก็หิ้วไปเถอะ เพราะไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่ได้มีความรู้สึกดีอะไรอยู่แล้ว และตอนนี้ก็เพราะว่ากำลังคนมันมีจำกัดดังนั้นช่วยกันๆ แหละ
ทั้งสองเดินออกมาจากสนามแข่งขัน แต่ชางหลิงกลับไม่เห็นรถคันที่ส่งพวกเธอมาในตอนเช้า ในขณะที่กำลังมองหาไปรอบๆ อยู่นั้น ประตูรถมายบัคสีดำตรงหน้าก็เปิดออก และโหมวยู่ในชุดสูทก็ลงมาจากรถ แล้วเดินเข้ามายังทิศทางของพวกเธอ
การปรากฏตัวของโหมวยู่ ดึงดูดสายตาของผู้คนไม่น้อยที่ทางเข้าห้องโถงนิทรรศการ โดยเฉพาะพวกผู้หญิง ที่ต่างก็พากันตะโกนด้วยความประหลาดใจเบาๆ
ชางหลิงรู้ว่า ความสูงแบบนี้ของโหมวยู่ แม้ว่ามันจะเป็นอะไรที่ธรรมดามากในตะวันตก แต่ก็ถือว่าเป็นบุคคลผู้โดดเด่นในหมู่คนจีนแล้ว บวกกับร่างกายที่เขามักจะออกกำลังกายมาตลอดทั้งปี และใบหน้าที่มีความภูมิใจในตนเองสูงของเขาที่สามารถมองเห็นได้ชัดนั้น จึงดึงดูดความสนใจผู้คนอย่างแท้จริง
“ชาง…ชางหลิง นั่นคุณชายรองโหมว” โจวลี่ลี่ตื่นเต้นจนพูดตะกุกตะกัก อย่างไรเสียเธอเข้ามาที่บริษัท เซิ่งซื่อก็หลายครั้งแล้ว แต่เธอก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้ชื่นชมรูปร่างหน้าตาที่สง่างามของโหมวยู่ใกล้ขนาดนี้เลย
ชางหลิงกอดอก และยืนรอเขาเข้ามาอยู่กับที่
เมื่อวานนี้เขาออกไปตอนที่เธอหลับโดยไม่บอกลาเธอสักคำ ไม่แม้แต่จะทิ้งข้อความสักอย่างไว้เลยเมื่อเธอกับโหมวฉี่ไปหาเขาหลังทานอาหารเสร็จ กลับพบฉู่ฉือที่ออกมาจากห้องของเขาโดยบังเอิญ และพูดว่าเขาหลับไปก่อนแล้ว
ไอ้ผู้ชายขี้โกหกคนนี้ นอนคนเดียวคงจะสบายมากกว่ามั้ง
“คุณมาทำไม?” ชางหลิงไม่มีความสุภาพกับเขาเลย
ลมพัดผมของเธอจนผมของเธอยุ่งเหยิง ชางหลิงก็ปัดผมตัวเอง กอดอก ด้วยท่าทีที่เย่อหยิ่ง
“มารับคุณเลิกงานไง” โหมวยู่เยือกเย็น และไม่ได้ใส่ใจกับความเย่อหยิ่งของเธอเลย
“คุณชายรองโหมวคะ…” โจวลี่ลี่ยื่นมือออกไปทักทายโหมวยู่
แต่โหมวยู่ไม่ได้มองเธอเลย เขายื่นมือออกไปโอบเอวของชางหลิงไว้แล้วดึงเธอมาข้างๆ ตัวเอง
โจวลี่ลี่ส่งเสียงตกใจ และอดไม่ได้ที่จะอ้าปากกว้าง
ชางหลิงรู้สึกเขินอายกับการกระทำของโหมวยู่ เธอเหลือบมองโจวลี่ลี่ จากนั้นก็เหลือบมองผู้คนที่มุงดูอยู่รอบๆ และอยากจะออกจากอ้อมแขนของโหมวยู่โดยเร็ว
“คุณทำอะไรน่ะ คนเยอะขนาดนี้ อยากจะโดนพาดหัวข่าวอีกหรือไง?”
“ผมไม่สนหรอก” โหมวยู่ไม่ได้สนใจเลยว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเขา เขาโอบเอวเธอไว้แน่น แล้วพาเธอเดินไปที่รถ
“ชางหลิง” โจวลี่ลี่ที่ตระหนักได้ว่าตัวเองถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ก็ส่งเสียงเรียกไปทีหนึ่ง แต่ยังไม่ทันให้ชางหลิงได้ตอบ โหมวยู่กลับหันหน้ามา แล้วชำเลืองมองมาด้วยสายตาที่เฉียบคม
โจวลี่ลี่ปิดปากตัวเองอย่างเชื่อฟัง
นี่คือโหมวยู่นิเธออยากจะขึ้นตามไปด้วย แต่เธอไม่กล้า
“โจวลี่ลี่เป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง จะทิ้งเธอไว้ที่นี่คนเดียวอย่างนี้เลยเหรอ?” ชางหลิงถูกโหมวยู่ผลักให้เข้าไปยังที่นั่งข้างคนขับ จนเธอก็ทนไม่ไหว
“มีรถมารับเธออยู่แล้ว” โหมวยู่คาดเข็มขัดนิรภัย พร้อมกับยื่นมือออกมา เพื่อรัดเข็มขัดนิรภัยของชางหลิงด้วย
ชางหลิงจึงไม่พูดอะไรอีก เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วทิ้งข้างใบหน้าของโหมวยู่ไว้อย่างนั้น
“ต้องจัดการเรื่องนางแบบอยู่ใช่ไหม? อย่าบอกนะว่าเป็นผมกับถงเอินที่ต้องช่วยจัดการให้?” โหมวยู่สตาร์ทรถ
ชางหลิงหัวใจดังกุ๊กไปชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งท่าทางที่โอหังอวดดีจากเมื่อครู่ก็หายไปในทันทีและเธอก็เริ่มหวาดกลัวขึ้นมาทันที
ใช่แล้วนิ ทำไมเธอถึงลืมเรื่องนี้ไปเลย โหมวฉี่ได้จัดเตรียมนางแบบให้กับเธอแล้วนี่นา เพราะเมื่อคืนนี้เธอไม่ได้เห็นหน้าโหมวยู่เลย ต่อมาก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับการติดต่อกับเรื่องนางแบบ โดยไม่รายงานให้โหมวยู่ทราบเลย
“นี่มัน…” ชางหลิงจับเข็มขัดนิรภัยไว้แน่น “เอ๊ะ เดี๋ยวเราจะไปทานอะไรดีนะ? วันเกิดครั้งก่อนของคุณฉันยังไม่ได้ฉลองดีๆ กับคุณเลย งั้นเดี๋ยวฉันจะเลี้ยงข้าวคุณเองเน้อ”
ชางหลิงพยายามเปลี่ยนเรื่อง
โหมวยู่หยุดพูดไป
และแค่ครู่เดียวภายในรถก็เงียบไปทันที ชางหลิงหงุดหงิดไม่สบายใจ เลยแอบเหลือบมองเขา
โหมวยู่นิ่งเงียบ ซึ่งดูเหมือนว่าเขากำลังขับรถอย่างตั้งใจอย่างไงอย่างงั้นเลย
“แล้วแต่คุณ” หลังจากที่เงียบอยู่นาน เขาก็พูดออกมาอย่างเย็นชา
ชางหลิงเบะปากอย่างไม่พอใจ
เริ่มอีกแล้ว มันเริ่มอีกแล้วสินะ! ความดื้อรั้นของไอ้ผู้ชายขี้โกหกขึ้นมาอีกแล้ว
“โหมวยู่ แม้ฉันจะรู้ว่าถ้าพูดแบบนี้ไปคุณอาจจะโกรธ แต่ฉันก็ยังอยากรู้ว่า ระหว่างคุณกับโหมวฉี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมทุกครั้งแค่พบเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับเขาคุณถึงกลายเป็นคนที่ไร้เหตุผลขนาดนี้ล่ะ? หรือเป็นเพราะเรื่องป้าของคุณเมื่อ 10 ปีก่อนเหรอ?”
ชางหลิงไม่อยากทำให้โหมวยู่โกรธ แต่เธอก็รู้ดีว่า ถ้าโหมวยู่ไม่เปิดปมในใจต่อไปเขาอาจจะยิ่งทำให้เรื่องหุนหันพลันแล่นหนักขึ้นเพราะปมนี้
เห็นได้ชัดว่ามือที่จับพวงมาลัยของโหมวยู่หยุดไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้น เขาก็เบรกอย่างกะทันหันไปทีหนึ่ง แล้วตัวชางหลิงก็เอนไปข้างหน้า ส่วนรถก็หยุดที่ข้างถนน