หลีซินไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับความรู้สึกเลย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะอืดอาดแค่ไหนเขาก็สามารถรู้สึกได้ว่าซูเสี่ยวเฉิงไม่มีความสุขอะไรเลยเขาจึงไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ครู่หนึ่ง และไม่รู้ตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า
“เสี่ยว… ชางหลิงมาแล้วหรือยัง?”เดิมทีหลีซินอยากเรียกว่าเสี่ยวหลิงแต่เขาก็กลัวว่าซูเสี่ยวเฉิงรู้สึกว่ามันแปลกๆ
“อืม” หน้าซูสี่ยวเฉิงพังทลายลงอย่างที่สุด เธอยกเท้าขึ้น และกลับไปที่เตียงอีกครั้ง แล้วมองไปที่เพดานอย่างใจลอย
หลีซินจึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรอยู่ครู่หนึ่งเขานั่งอยู่บนเตียง แล้วเอามือลูบหัวตัวเอง จนลูบโดนผ้าพันแผลที่ติดอยู่บนหัว
ระหว่างการต่อสู้ที่โรงงาน หัวของเขาชนเข้ากับตะบอง และใช้กำลังสุดท้าย ต่อสู้กับ10 คนด้วยตัวคนเดียว ซึ่งในขณะนั้น เขาก็รู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังจะตายอยู่ที่นั่น
และสิ่งเดียวที่เขาคิดคือกังวลเรื่องความปลอดภัยของซูเสี่ยวเฉิงแต่ทันทีที่เขาถูกปราบให้แพ้แล้ว คนพวกนั้นจะต้องไปหาเรื่องเธอแน่
ตาหลีซินแอบมองข้างใบหน้าของซูเสี่ยวเฉิงบนเตียงข้างๆ ไปแวบหนึ่ง จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นลูบจมูกตัวเอง หน้าเขาก็แดงขึ้น
ในห้องเล็กๆ ที่โรงงานนั่น แม้ว่าแสงจะไม่สว่างมาก แต่เขากลับได้เห็นทุกสิ่งที่ควรจะเห็น
ก็คือเขาโตมาขนาดนี้แล้ว แต่นี่ก็ยังเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นร่างกายของผู้หญิงได้อย่างชัดเจนขนาดนี้…
“หลีซิน คุณชอบชางหลิง ใช่ไหม?” อยู่ๆ ซูเสี่ยวเฉิงก็พูดขึ้นมาทันที
“เอ๊ะ?” หลีซินได้สติกลับทันที
นี่มันคำถามอะไรน่ะ? ทำไม จู่ๆ ถึงไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ชอบชางหลิงล่ะ?
“ชอบครับ” หลีซินตอบเธออย่างใจกว้าง โดยไม่ปิดบังใดๆ
แม้ว่าจะรู้จักกับชางหลิงได้เพียงไม่กี่เดือน แต่วันเวลาที่ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันก็ไม่น้อยเลย แม้ว่าเธอจะมีนิสัยตรงไปตรงมาแต่กลับฉลาด และจริงใจมาก ซึ่งเธอก็ไม่เคยดูถูกเขาเลย ทั้งยังปฏิบัติกับเขาเหมือนดั่งพี่ชายและไว้วางใจเขาอย่างมากด้วย
ผู้หญิงที่สวยวิจิตรตระการตาราวกับแสงอาทิตย์นั้น มันคงยากที่เขาจะไม่ชอบเธอ
“ฉันเดาไม่ผิดจริงๆ ด้วย…” น้ำเสียงของซูเสี่ยวเฉิงลดลงเล็กน้อย เหมือนกับกำลังพูดกับตัวเอง
“คุณพูดว่าอะไรนะ?” หลีซินได้ยินไม่ชัด
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” ซูเสี่ยวเฉิงหันกลับมาแล้วหันหลังให้เขา “ฉันพูดว่า ในเมื่อคุณฟื้นแล้ว ก็ให้คุณหมอช่วยจัดห้องพักผู้ป่วยห้องอื่นให้คุณเถอะ”
เพราะไม่ว่ายังไงก็ตามมันก็เป็นแค่บุรุษสตรีโสดเท่านั้นการที่เราอยู่ในห้องเดียวกันมันจะดูไม่น่ามองเท่าไหร่
นอกจากนี้ ซูเสี่ยวเฉิงยังรู้สึกว่าเหมือนตัวเธอจะมีความสนิทสนมที่แปลกๆ กับหลีซินเธอกลัวว่าหากยังต้องไปมาหาสู่กันแบบนี้ต่อไปอีก วันข้างหน้าเธอจะยิ่งแย่ไปกว่านี้
เพราะเธอไม่อยากให้เรื่องราวมันต้องไปถึงจุดที่มันจัดการได้ยากซึ่งการตกหลุมรักคนที่ในหัวใจของเขามีใครอีกคนอยู่แล้วนั้นมันจะเป็นการทำลายตัวเธอเองสะเปล่า
“เอ่อครับ” หลีซินส่งเสียงตอบรับ แต่กลับไม่ได้พูดอะไรอีก
คุณโกรธเหรอ? โกรธเพราะเรื่องของเมื่อคืนนี้หรือเปล่า?
อย่างไรเสียเธอก็เป็นแค่เด็กผู้หญิง เมื่อต้องประสบเจอกับเรื่องแบบนั้นแน่นอนว่ามันจะต้องทิ้งเงามืดขนาดใหญ่ไว้ บวกกับการที่ตอนนั้นเขาก็อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย ดังนั้นเมื่อเห็นเขา เธอจะต้องนึกถึงสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นขึ้นอีกอย่างแน่นอน
เขาลงจากเตียงแล้วลุกขึ้นออกไป
“คุณจะไปไหนเหรอ?” เมื่อซูเสี่ยวเฉิงเห็นว่าเขากำลังจะไป ก็รู้สึกร้อนใจ
“ไปหาคุณหมอเพื่อเปลี่ยนห้อง” หลีซินตอบเธอ
ซูเสี่ยวเฉิงเบิกตาโพลง
เขาเป็นอะไรกัน พอเธอบอกว่าจะให้เขาไปเขาก็ไปจริงๆ อย่างนี้เลยเหรอ?
ซูเสี่ยวเฉิงทั้งโกรธทั้งรู้สึกแย่ จากนั้นเธอจึงคลุมผ้าห่มอย่างตรงไปตรงมา และหยุดพูดกับเขา
หลีซินถอนหายใจเบาๆและดูเหมือนว่า ปมหัวใจของซูเสี่ยวเฉิงจะใหญ่มาก ดังนั้นจากนี้ไป เขาควรพยายามปรากฏต่อหน้าเธอให้น้อยที่สุด
——
ณ แสงสว่างที่แข็งแกร่งนอกหน้าต่างนั้น โหมวยู่กำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง โดยไอร้อนของแก้วน้ำโต๊ะ ข้างๆ ตัวเองนั้นยังคงลอยออกมาอย่างเชื่องช้า และในมือของเขาก็ถือขวดยาไว้ขวดหนึ่งจากนั้นเขาก็เทยาเม็ดขนาดเล็กจากข้างในออกมาสองสามเม็ดเงยหน้าขึ้นแล้วกลืนมันเข้าไป จากนั้นก็ยกแก้วน้ำเข้าปากตาม
ในขณะที่เขากลืนเข้าไปนั้น คำพูดของคุณหมอก็ก้องอยู่ในหูของเขาอีกครั้ง
“คุณผู้ชายครับ พื้นที่จุดดำในสมองของคุณกำลังเพิ่มขึ้น ทางเราจึงอยากจะขอแนะนำ ให้คุณรีบดำเนินการผ่าตัดโดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นต่อไปในภายภาคหน้าอาการปวดหัวจะหยิ่งอยู่หยิ่งชัดขึ้นนะครับ หากไปกดทับเส้นประสาทสมองส่วนอื่น ผลที่ตามมามันจะอันตรายอย่างมากนะครับ”
พอตื่นมาในตอนบ่ายเขาก็รู้สึกปวดหัวอย่างหนักขึ้นมาอีกแล้ว แต่มองชางหลิงที่ยังหลับอย่างสบายบนเตียงแล้วเขาจึงไม่ได้ส่งเสียงอะไร จากนั้นก็ไปตรวจที่โรงพยาบาลด้วยตัวเองและเอาผลการตรวจ ส่งให้กับคุณหมอที่มักจะรักษาเขาที่ประเทศ
ในอุบัติเหตุเมื่อ 4 ปีที่แล้วนั้น โหมวยู่คิดว่าเขาลืมมันไปนานแล้ว แต่กลับมีหลายสิ่งอย่างที่ยังคอยเตือนเขาว่า เขาไม่สามารถข้ามผ่านเรื่องนี้ไปได้
แม้ว่าอาการบาดเจ็บภายนอกจะหายดีแล้ว แต่รอยเว้าที่ทิ้งไว้นั้น ก็ดั่งเช่นโรคที่ยังตกค้างแทรกซ้อนของสมอง ซึ่งมันก็กำเริบอีกเป็นครั้งคราว
โหมวยู่หยิบไฟแช็กที่ถูกเสียดสีจนสีจางไปแล้วนั้นจากกระเป๋าของเขาเจ็บปวดรวดร้าวก็พุ่งเข้ามาทันที
“โหมวยู่ เธอต้องมีชีวิตอยู่นะ! แค่เธอมีชีวิตอยู่ คนมากมายถึงจะได้รับการช่วยชีวิต และภารกิจของเรา ถึงจะถือได้ว่าประสบความสำเร็จ” หัวหน้าหน่วยเก่าพูดกับเขาก่อนที่เขาจะตาย ซึ่งทุกค่ำคืนที่ฝันย้อนกลับไปก็ยังคงได้ยินอย่างชัดเจน และมันก็กลายเป็นฝันร้ายที่ยังคงค้างคาและไม่เคยหายไปของเขา
และไฟแช็กอันนี้ก็เป็นสิ่งเดียวที่หัวหน้าหน่วยเก่าเหลือไว้ให้เขา เช่นเดียวกับสร้อยคอบนตัวของหลีซินและแม้ว่าจะผ่านมาตั้งหลายปีแล้วแต่สิ่งนี้ก็ติดตัวเขา ซึ่งเขาก็มองว่ามันเป็นของล้ำค่ามากอย่างหนึ่ง
โหมวยู่ที่กำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น เขาได้สติกลับมา แล้วลุกขึ้น พร้อมกับเก็บขวดยา แล้วเดินไปเปิดประตู
“คุณชายรองครับ” ฉู่ฉือทำสีหน้าลำบากใจ เมื่อเขาเห็นโหมวยู่แล้ว ก็มองเข้าไปข้างในอีกครั้ง
เมื่อกี้ชางหลิงถูกถงเอินไล่และในตอนนี้ เธอควรมาหาโหมวยู่
“เธอไม่อยู่นะ” โหมวยู่รู้ว่าเขากำลังมองหาใคร เขาเปิดประตูแล้วเดินไปที่โซฟา จากนั้นก็นั่งลงด้วยท่าทางที่สบาย
“คุณชางไม่ได้มาหาคุณชายเหรอครับ? การแข่งขันของพรุ่งนี้ เรื่องนางแบบของเธอ…”
“นี่นายไปยุ่งกับเรื่องแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” โหมวยู่พูดแบบลอยๆ
ฉู่ฉื่อไม่ด้ส่งเสียงใดๆ เขาจะกล้าบอกโหมวยู่ที่ไหนกันล่ะ? เพราะว่าเมื่อกี้นี้ชางหลิงไปหาถงเอิน แต่กลับถูกถงเอินทำเป็นไม่แสแยสะงั้น?
โหมวยู่ยกมือขึ้น ตอนนี้มันตั้ง 2 ทุ่มแล้วนะ ชางหลิงก็ควรมาหาเขาถึงที่แล้วนี่มันตั้งกี่โมงกี่ยามแล้ว และนอกจากเขาแล้ว เขาจะมีคนที่เหมาะสมสำหรับการขอความช่วยเหลืออีกเหรอ?
“คุณชายรองครับ ผมเพิ่งไปโรงพยาบาลมา” สีหน้าฉู่ฉือดูมืดครึ้มลงเล็กน้อย เขาพูด พร้อมกับยื่นรายงานการตรวจฉบับหนึ่งให้ “นี่คือผลการตรวจของคุณโม่โม่ครับ สถานการณ์มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย”
โหมวยู่เลิกคิ้วและไม่ได้มีความสนใจต่อผลการรายงานฉบับนี้เลย
“สถานการณ์ของเธอจะดีหรือไม่ดีนั้นมันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”
มือที่ยื่นออกมาของฉู่ฉือก็ขดกลับมาอีกครั้ง เขาเปิดผลการรายงาน พร้อมกับดูตัวอักษรในนั้น แล้วเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “เธอถูกตรวจพบว่าเป็นโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรงซึ่งหลังจากทำการวินิจฉัยแล้ว ก็พบว่ามันอยู่ในขั้นรุนแรง”
โรคซึมเศร้า…โหมวยู่มองไปแวบหนึ่ง แล้วมองไปที่กระดาษในมือของฉู่ฉืออย่างเอ้อระเหย
“ผมกังวลว่า หากผลลัพธ์ฉบับนี้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะอาจจะส่งผลกระทบต่อการพิจารณาตัดสินคดีขั้นสุดท้ายได้”
อย่างไรก็ตาม หากนายท่านใหญ่โหมวตั้งใจที่จะปกป้องตระกูลโม่ไว้และไม่ต้องการให้โหมวยู่ฆ่าพวกเขาให้หมด บางที โม่โม่อาจหนีจากคุกได้
ถ้าชางหลิงรู้เรื่องนี้ก็เกรงว่าเธอจะต้องทำเรื่องอะไรที่รุนแรงออกมา
สายตาโหมวยู่มืดมนลงทันทีเขาเงียบอยู่นานและในที่สุดเขาก็ยกมุมปากขึ้นมาอย่างช้าๆ
“รายงานฉบับนี้เป็นของปลอม”
ฉู่ฉือไม่เข้าใจ “คุณชายรองครับ ผมเห็นรายงานฉบับนี้ด้วยตาตัวเองเลยนะครับ…”
“ฉันบอกว่ามันของปลอม มันก็ต้องเป็นของปลอม” น้ำเสียงโหมวยู่เย็นชา