ชางหลิงไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ
ถึงตอนนี้แล้ว อธิบายอะไรไปก็มีแต่จะเป็นการเถียงข้างๆ คูๆ หลิวจื่อเวยตัดสินไปแล้วว่าเธอเป็นเหมือนหลินจอ ปีนซากศพของทุกคนขึ้นไปข้างบน ต่อให้เธอจะมีปากเป็นพัน ก็ไม่สามารถพูดความจริงให้ชัดเจนได้
ชางหลิงคับแค้นกลับมา กลับมาถึงประตูห้องชุด ก็ยืนอยู่นาน กว่าจะกดรหัสเข้าห้อง
“กลับมาแล้วเหรอ” โหมวยู่จัดสิ่งของในห้องจนเรียบร้อยแล้ว ทำให้พื้นที่กว้างขึ้น
สีหน้าชางหลิงหม่นหมอง แต่เมื่อเห็นหน้าโหมวยู่ สุดท้ายก็ไม่ได้ระเบิดออกมา
“เป็นอะไร” โหมวยู่รู้สึกว่าเธอมีสีหน้าแปลกไป
“เปล่า” ชางหลิงกลืนคำพูดนับพันที่อยู่ในใจลงไป เธอทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างไร และยื่นมือออกไปหาโหมวยู่
“เมื่อครู่แอวริลมาหาฉัน บอกว่าอยากเป็นนางแบบของฉัน”
โหมวยู่จับมือของเธอ แล้วนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับเธอ “ความโดดเด่นของหล่อนไม่เลว ถ้าพวกเธอร่วมงานกัน ความจริงก็มีโอกาสชนะมากขึ้น”
ชางหลิงจ้องมองโหมวยู่ พยายามค้นหาบางสิ่งจากใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกของเขา
“โหมวยู่ คุณบอกว่าจริงกับฉันหน่อย การแข่งขันนี้สำคัญกับคุณหรือเปล่า”
โหมวยู่เลิกคิ้ว
“ก่อนมามิลาน คุณบอกฉันว่าไม่ต้องสนใจเรื่องแพ้ชนะ แค่มาเปิดหูเปิดตาก็พอ คำพูดนี้จริงหรือเท็จ”
โหมวยู่ยิ้มบาง “ก็ต้องจริงแน่นอน”
“แต่ถ้าฉันแพ้การแข่งขันนี้ล่ะ ถ้าทั้งเซิ่งซื่อ ไม่มีสักคนที่สามารถเลื่อนขั้นขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของการแข่งได้ล่ะ”
โหมวยู่ไม่ได้ตอบในทันที เขามองเธออยู่เป็นเวลานาน ยื่นมือออกไปเปิดผมยุ่งตรงหน้าผากของเธอ
“เซิ่งซื่อจะไม่สนใจเรื่องแพ้ชนะในการแข่งขันนี้” โหมวยู่บอกเธออย่างชัดเจน “จะเลื่อนขั้นหรือไม่ จะได้แชมป์หรือเปล่า มันไม่สำคัญทั้งนั้น”
“ในเมื่อไม่สำคัญ แล้วคุณมาที่นี่ทำไม” ชางหลิงไม่เข้าใจว่าเขาคิดอะไรอยู่
“เพราะเธออยากมา” โหมวยู่ตอบ “สำหรับฉันแล้ว แบรนด์เสื้อผ้าเป็นเพียงหนึ่งในธุรกิจของเซิ่งซื่อ เก่าไปใหม่มา แต่เธอเป็นดีไซเนอร์ การมามิลาน เป็นการวัดระดับพวกเธอที่เป็นดีไซเนอร์ การบรรลุเป้าหมายการแข่งขัน ก็เป็นความปรารถนาของเธอ”
“ถ้าการชนะสามารถทำให้เธอมีความสุขได้ เช่นนั้นสิ่งที่ฉันแคร์ก็มีแค่เธอจะชนะหรือไม่เท่านั้น”
“แต่….” ชางหลิงยังไม่เข้าใจ “เซิ่งซื่อไม่ได้มีเพียงแค่ฉันคนเดียวที่เป็นดีไซเนอร์….การมามิลาน ก็เป็นความฝันของพวกเขาด้วย….”
หากพวกเขารู้ว่าความจริงแล้วบริษัทไม่ได้สนใจเลยว่าพวกเขาจะสามารถสร้างเกียรติภูมิให้บริษัทหรือไม่ ถึงขั้นที่คิดว่าการมีอยู่ของพวกเขานั้นมันไม่จำเป็น จะมีกี่คนกันที่ผิดหวัง
ผู้ที่ล้มเหลวและยังแอบอยู่ที่นี่ถูกบีบให้ไร้ค่า พวกเขาอาศัยการทุ่มเทอุทิศตนลงไปในผลงาน ไม่ใช่เพราะคิดว่าต่อให้ไม่สามารถอยู่บนเวทีได้ ก็อยากให้บริษัทได้เห็นความพยายามของพวกเขาหรอกเหรอ
“เธออยากพูดอะไรกันแน่” โหมวยู่มองเธออย่างพิจารณาครู่หนึ่ง
ชางหลิงถอนหายใจยาว ชักมือกลับมาจากมือของโหมวยู่ “ฉันแค่คิดว่า ไม่ว่าจะเป็นใคร ทุกคนควรถูกให้ความสำคัญ”
“ถ้าไม่มีคุณ ฉันก็แค่คนธรรมดาทั่วไปท่ามกลางฝูงชน แต่ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นคนธรรมดา ฉันก็ยังปรารถนาจะได้รับการยอมรับ อยากชนะอย่างภาคภูมิเพื่อนำเกียรติยศกลับไป มีความฝันที่อยากถูกทุกคนเคารพนับถือ”
“ตอนนี้เธอมีฉันแล้ว” โหมวยู่ฟังบางอย่างจากคำพูดของเธอออกได้ลางๆ “ไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไปแล้ว”
ชางหลิงขมวดคิ้ว เธอมองโหมวยู่ ไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพูดของเขา “โหมวยู่ ฉันคิดว่าคุณควรเคารพความคิดฉันสักหน่อย”
“เป็นเธอต่างหากที่ควรคุ้นเคยวิธีของฉัน” โหมวยู่เน้นคำว่า “เธอ”
ชางหลิงชะงักไป เธอกะพริบตาปริบ สำลักกับคำพูดของโหมวยู่จนไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร
“บนโลกใบนี้มันไม่มีความยุติธรรม กฎ มักอยู่ในมือของคนจำนวนน้อยที่อยู่ด้านบนของสังคมเสมอ ไม่อย่างนั้น ทำไมถึงมีคนจำนวนมากพยายามคิดหาวิธีที่จะปีนขึ้นไปล่ะ”
“แต่….” ชางหลิงยังอยากอธิบาย
“สิ่งที่เธอควรทำตอนนี้ คือการทำความคุ้นเคยกับกฎ รอจนกระทั่งวันหนึ่ง เธอแข็งแกร่งพอจะทำลายมันได้แล้ว ก็ไปสร้างโลกในแบบที่ตัวเองต้องการเอาใหม่” โหมวยู่น้ำเสียงราบเรียบ ครั้งนี้ เขาไม่มีความอดทนต่อเธอโดยไม่มีเงื่อนไขอีกแล้ว แถมยังอยู่ในสถานะอื่น ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเธอ
ชางหลิงปิดปากเงียบ
จู่ๆ เธอก็รู้สึกค่อนข้างคับข้องใจ เธอจ้องมองโหมวยู่อยู่นาน จนในที่สุดก็ยิ้มกับตัวเองดวงตาแดงเรื่อ
ใช่ เขาพูดถูก โลกใบนี้มันไม่ยุติธรรมโดยเนื้อแท้
เธอพยายามอย่างมากที่จะกลายเป็นดีไซเนอร์ที่โดดเด่น อยากยืนอยู่บนเวทีที่สูงที่สุดได้รับดอกไม้และเสียงปรบมือจากทุกคน เธอสามารถอุทิศเวลาหลายปีหลายสิบปีหรือแม้แต่ตลอดชีวิตเพื่อความฝันนี้ แต่ทว่าบางคนกลับสามารถทำมันได้อย่างง่ายดาย
ความมั่งคั่งที่คนธรรมดาแสวงหามาตลอดชีวิต แต่โหมวยู่มีมาตั้งแต่เกิด
ส่วนเธอกลายเป็นภรรยาของเขา และตั้งแต่นั้นมา สิ่งที่คนอื่นสามารถมองเห็นได้ ไม่ใช่ความพยายามและพรสวรรค์ของเธออีกต่อไป แต่เป็นเพียงสถานะของเธอ
“ฉันเข้าใจแล้ว” ชางหลิงไม่ได้โต้แย้งอีก
เธอหันไปอีกทาง ถอนหายใจแผ่วเบา ความมืดภายนอกหน้าต่างเริ่มคืบคลานเข้ามาแล้ว แสงไฟนีออนพากันสว่างขึ้นทีละดวง นำสีสันมาสู่ทั่วบริเวณ
ชุดที่แปดของชางหลิง ร่างสุดท้ายคือชุดสไตล์ซิ่วเหอสีแดง เป็นชุดแต่งงานของหญิงยุคโบราณเมื่อออกเรือน
สิ่งสำคัญที่สุดของชุดจีนคืองานปัก แม่แท้ๆ เป็นคนเมืองเป่ยหยวน เมืองเป่ยหยวนตั้งอยู่ในเจียงหนาน ผู้หญิงที่นั่นแต่ละคนล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทอผ้าและเย็บปักถักร้อย ซึ่งแม่ก็ไม่มีข้อยกเว้น
เมื่อก่อนที่บ้านมีผ้าและงานปักที่แม่ทิ้งไว้เยอะมาก แต่หลายปีก่อนถูกชางฉิงกับจ้าวหลันจือทำลายไปไม่น้อย ที่ชางหลิงเก็บมาได้ มีเพียงผ้าแพรอัดลายกุหลาบกับดอกไม้บางส่วน
ผ้าผืนนั้นเธอเคยใช้ในงานแสดงนิทรรศการของเซิ่งซื่อมาก่อน จนเอาชนะชางฉิงได้ ส่วนแบบที่เหลือชางหลิงพกติดตัวไว้ตลอดเวลา เมื่อว่างก็จะเอามันออกมาจำลองแบบ
ชางหลิงหยิบกล่องไม้ออกจากกล่อง กล่องไม้เก่าแล้ว ลวดลายบนมันเลือนลางไปหมด เธอค่อยๆ เปิดมัน เผยสมบัติที่เธอหวงแหนมานานด้านใน
นิ้วของเธอลูบไล้ไปบนเส้นใยละเอียดอ่อน สัมผัสพวกมัน เหมือนย้อนเวลากลับไปเมื่อก่อนนานแสนนาน แม่นั่งอยู่หน้างานผ้าปัก
ด้ายปัก ผ้าไหม สะดึงไม้ เข็มเล็กร้อยไหมละเอียด แม่สามารถนั่งใต้ต้นดอกไห่ถังได้ตลอดทั้งบ่าย เมื่อตอนเด็กชางหลิงไม่เข้าใจความสุขของแม่ ชอบเล่นกับงานปักของแม่เสมอ แม่พูดกับเธออย่างอ่อนโยน
เธอพูดว่า ผู้หญิงจากบ้านเกิดของเธอ เย็บปักถักร้อยเป็นตั้งแต่อ่านออกเขียนได้ พวกเธอใช้เวลานานมากกับการปักชุดแต่งงานให้ตัวเอง ไว้สวมใส่ตอนแต่งงานออกเรือน เพื่อจะสามารถอยู่กินกับสามีไปได้จนแก่เฒ่า ความรักยืนยาวตราบนานเท่านาน
เสี่ยวหลิงถามแม่อย่างไร้เดียงสาว่า เธอแต่งงานกับพ่อแล้ว ทำไมยังต้องปักชุดแต่งงานอีก
เข็มในมือของแม่หยุดนิ่งเป็นเวลานาน เธอยิ้ม แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยน้ำตา และบอกว่าเธอใช้มันไม่ได้แล้ว ชุดแต่งงานนี้มอบให้ชางหลิง ให้เธอได้เจอสามีที่ดี
ชางหลิงปลายนิ้วสั่นเล็กน้อย เธอมองดูเหล่าสมบัติล้ำค่าของเธอ แล้วถอนหายใจยาวเหยียด
ทำไมต้องเป็นดีไซเนอร์ หากจะย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น มันคงเริ่มด้วยชุดแต่งงานชุดนี้ เพียงแต่หลังจากนั้นได้เจอหยูเฉิน จึงมีความฝันร่วมกัน ความคิดเบื้องต้นพวกนั้น จึงค่อยๆ ถูกกลบล้างด้วยสิ่งอื่น
“คุณแม่คะ” ชางหลิงพูดกับตัวเอง “ฉันรู้ว่าการแข่งขันนี้ไม่ยุติธรรม ต่อให้ฉันชนะจริงๆ ก็จะไม่มีใครยอมรับพลังของฉัน”
“แต่ว่านะคะ….” ดวงตาของชางหลิงถูกน้ำตาบดบังจนพร่าเบลอ “ต่อให้ไม่มีใครยอมรับแล้วยังไง ตราบใดที่ตัวฉันรู้ดีว่าฉันเก่งจริงก็เพียงพอแล้ว จริงไหมคะ”
“ดังนั้นครั้งนี้ เราไปสนามรบด้วยกันนะคะ” น้ำตาหยดลงบนกล่อง ถูกดูดซึมลงไปจนหมด “22 ปี ลูกสาวคนนี้…ในที่สุดก็ได้เชิดหน้าชูตาให้คุณ”