ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก – บทที่ 232 ตายแค่คนสองคนมันจะนับประสากับอะไรได้

บทที่ 232 ตายแค่คนสองคนมันจะนับประสากับอะไรได้

“ฉันขอโทษนะ” ชางหลิงรู้สึกละอายใจอย่างมาก เธอจับมือโหมวยู่ไว้ พร้อมกับถูไปที่แขนของเขา

เธอแค่คิดไม่ถึงว่าโหมวยู่จะทำเพื่อเธอขนาดนี้บางทีเขาอาจจะยอดเยี่ยมเกินไป และเธอเองก็แสนจะธรรมดาเกินไป ดังนั้น จึงมักจะทำให้เธอรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ

โหมวยู่จนปัญญา เขานั่งลงข้างเตียงของเธอ แล้วจับมือเธอไว้แน่น

“คุณไม่จำเป็นต้องอยู่เคียงข้างผมอย่างต้องคอยระวังขนาดนี้หรอก” เขาพูดกับเธออย่างอ่อนโยน “ผมเคยบอกไปว่าคุณสามารถทำทุกอย่างที่คุณต้องการได้”

“อืม” ชางหลิงพยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง

อาจจะเป็นเพราะเมื่อ 22 ปีก่อนนั้นเธอโชคร้ายมากเกินไป ดังนั้นสวรรค์จึงสงสารเธอและเปลี่ยนความประหลาดใจทั้งหมด ให้กลายเป็นสิ่งที่โหมวยู่มอบให้เธอ

ชางหลิงออกจากโรงพยาบาลแล้ว

และฉู่ฉือก็ได้จัดเตรียมการกลับประเทศให้เรียบร้อยแล้ว แต่การแข่งขันผู้ยอดเยี่ยมยังคงดำเนินต่อไปส่วนโหมวยู่ก็อยู่ที่มิลาน รอฉีจินหมิ่นและกลุ่มของเขากลับไปด้วยกันก่อนแล้วโหมวยู่ก็จะพาชางหลิงและพนักงานบางส่วนของเขาเดินทางกลับด้วย

ชางหลิงจัดระเบียบตัวเองและก่อนที่จะจากไป เธอก็ตัดสินใจไปเยี่ยมโม่โม่

และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอมาที่โรงงานร้างแห่งนี้ก่อนหน้านี้ที่เธอได้ยินซูเสี่ยวเฉิงบรรยายว่า สถานที่นี้เหมือนกับขุมนรกบนดินเลย ทันทีที่เดินเข้ามาก็ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงการกดขี่และการหายใจไม่ออก

“คุณชางครับ” เมื่อคนที่เฝ้าห้องอยู่ข้างนอกเห็นเธอ ก็แสดงความเคารพกับเธออย่างสุภาพชางหลิงพยักหน้าไปทางพวกเขา จากนั้นฉู่ฉือก็เปิดประตูและพาเธอกับป๋ายจื๋อเดินเข้าไป

กลิ่นที่โชยมาเตะจมูกก็เป็นกลิ่นของเนื้อเน่า และความรู้สึกฉุนของเลือดที่แดงสดผสมกับความเปียกชื้น ทำให้ชางหลิงต้องปิดจมูกและภายใต้แสงจางๆ นั้นก็เห็นคนสองคนนอนอยู่บนพื้นห้อง

โม่โม่เต็มไปด้วยคราบเลือดและเสื้อผ้าของเธอเน่าเปื่อยจนไม่เป็นชิ้นเป็นอันแต่ก็ยังสามารถเห็นบาดแผลที่เคยได้รับการรักษาทั่วทุกที่ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังไม่มีทางที่จะบดบังกลิ่นอายที่เน่าเปื่อยนั้นได้

และเจสันที่อยู่ด้านข้างก็ไม่ได้ดีกว่าหน้าอกของเขาถูกพันด้วยผ้าพันแผล แต่บาดแผลเก่าก็ถูกแทนด้วยบาดแผลใหม่ และชายที่เดิมทีร่างสูงใหญ่อย่างเด่นชัดนั้น ตอนนี้กลับขดตัวจนเป็นลูกบอล และผอมลงอย่างมาก

“ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ จะมีคุณหมอมารักษาพวกเขาทุกวัน” ฉู่ฉือพูดอธิบาย

และนี่ก็เป็นสิ่งที่โหมวยู่แนะนำให้ทำรักษาบาดแผลเก่า แล้วก็เพิ่มบาดแผลใหม่ แบบนี้ก็จะสามารถรักษาชีวิตของพวกเขาไว้ได้ซึ่งมันก็ไม่ถึงกับถูกฆ่าให้ตาย

เมื่อได้ยินเสียงของฉู่ฉือ ทั้งโม่โม่และเจสันก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลังกลับ

ซึ่งชางหลิงเองก็สามารถจินตนาการได้ถึงชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ได้เธอค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้า และยืนอยู่ตรงหน้าโม่โม่

ใบหน้าที่บวมไปด้วยน้ำของโม่โม่ ก็มองเห็นชางหลิงด้วยความงุนงง เธอคิดว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตาแต่มันกลับหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ และเมื่อเธอเห็นใบหน้าของเธออย่างชัดเจน ในที่สุดเธอก็เข้าใจได้ว่าตอนนี้ ชางหลิงยืนอยู่ตรงหน้าเธอจริงๆ

“ชางหลิง…” เสียงของโม่โม่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเธอคงกรีดร้องติดต่อมาหลายวันแล้วเสียงของเธอเลยถูกทำลาย เหมือนกับคนแก่ที่มีอายุคนหนึ่ง

สายตาของเธอซับซ้อนและความกลัวกับความแค้นที่รุนแรงก็ปะปนกันขึ้นมา

“ฉันเอง” ชางหลิงสงบอย่างมากเธอย่อตัวลงแล้วมองดูใบหน้าของโม่โม่ ภายใต้แสงไฟ

เมื่อเดือนก่อน เธอยังเป็นผู้อำนวยการโม่ที่กระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา โอหังอวดดี ใช้อำนาจบาตรใหญ่แต่ตอนนี้ กลับจนตรอกจนกลายเป็นแบบนี้

“นี่แก…แกไอ้คนชั้นต่ำ…” มาถึงขั้นนี้แล้วโม่โม่ยังคงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ “แกคิดว่าแกเก่งมากงั้นเหรอ? แต่…ก็แค่ไอ้คนชั้นต่ำที่พึ่งพาตำแหน่งสูงของผู้ชาย…ถ้าไม่มีโหมวยู่… แกคงตายไปตั้งนานแล้ว … ”

“ใช่ ฉันยอมรับ” ชางหลิงก็รู้สึกว่าสิ่งที่เธอพูดมันก็สมเหตุสมผลดี “แต่คุณโม่คะคนที่นอนอยู่ที่นี่และไม่มีความสามารถในการต่อต้านใดๆ เลย ก็คือคุณนะคะ ไม่ใช่ฉัน”

“ความโชคดีไม่ใช่ของคุณเสมอไป ดังนั้น ฉันจึงมักจะรู้สึกว่า การทำอะไรสักอย่างไม่จำเป็นต้องทำอย่างสุดโต่งจนเกินไปเพราะอย่างไรเสีย ก็ไม่มีใครรู้ว่าคนคนหนึ่งจะสามารถได้หน้าได้ตานานแค่ไหน ดังนั้นการเป็นคนไม่ควรโหดเหี้ยมจนเกินไป ควรให้ตัวเองได้มีหนทางถอยหนีบ้าง เธอว่าไหมล่ะ” ชางหลิงถอนหายใจ “แต่ก็เห็นได้ชัดว่า คุณโม่ไม่รู้ความหมายแฝงของคำประโยคนี้ ดังนั้น เมื่อเธอคิดอยากจะฆ่าฉันให้ตาย ก็ควรเตรียมใจไว้ให้ดีเพราะถ้าวันหนึ่งมันต้องตกอยู่ในมือของฉัน ฉันก็จะไม่ยอมปล่อยเธอไปแน่”

“เหอะๆ” โม่โม่เยาะเย้ยและในดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยการเยาะเย้ยตนเอง “ฉันแค่รู้สึกว่าสวรรค์ช่างไม่มีความยุติธรรมเอาสะเลยแกนี่ก็โชคดีเกินไป ทำไมคนที่เกิดมาต่ำต้อยเช่นแก ถึงได้รับความโปรดปรานจากสวรรค์ไม่เพียงแต่ได้หัวใจของโหมวยู่เท่านั้น ยังสามารถหลบหนีจากความตายได้ครั้งแล้วครั้งเล่าอีก”

ชางหลิงจ้องโม่โม่ตรงหน้าและเอาแต่ยิ้มอย่างอดไม่ได้ กับคำพูดของเธอ

“และเธอก็ยังไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด แม้ว่าจะมาถึงจุดจุดนี้แล้วเธอก็ยังคิดว่า สิ่งที่เธอทำมันไม่ผิดอีกงั้นเหรอ?”

“แล้วฉันทำผิดตรงไหนเหรอ?” น้ำเสียงโม่โม่เพิ่มสูงขึ้น “ทุกสิ่งอย่างที่ฉันทำก็เพื่อปกป้องความสุขของตัวเอง ซึ่งโหมวยู่ก็เป็นคู่หมั้นของฉันด้วยและเขาจะต้องแต่งงานกับฉันคนเดียวเท่านั้น! ส่วนแกและอีพวกปีศาจจิ้งจอกพวกนั้น ก็คอยแต่จะจ้องตาเป็นมันกับผู้ชายของฉัน! พวกเธอน่ะสมควรตาย และเธอก็สมควรตายเช่นกัน!”

“พวกเธอมีข้อได้เปรียบอะไรงั้นเหรอ? ไม่มีศักดิ์ที่ดี และไม่เคยได้รับการศึกษาระดับสูง พวกเธอมันไม่คู่ควรกับโหมวยู่เลยสักนิด! ไอ้พวกคนธรรมดา มันมีมากมายในโลกนี้ถ้าจะต้องตายไปสักคนสองคนมันจะนับกับอะไรล่ะ? มีสิทธิ์อะไรที่ต้องกัดฉันไม่ปล่อยแบบนี้ด้วยล่ะ”

คำพูดนี้ของโม่โม่ทำให้ชางหลิงได้เปิดประตูของโลกใบใหม่

“คนธรรมดาอย่างนี้ ก็เหมือนกับเธอไงล้วนเป็นชีวิตที่ถูกพ่อแม่เลี้ยงดูมาเช่นเดียวกับเธอ ที่ล้วนสามารถมีชีวิตเป็นของตัวเองได้เธอคิดว่าเธอเป็นใคร ที่ถึงกับต้องกำหนดชีวิตความเป็นความตายของผู้อื่นได้ตามต้องการ?เพราะแค่พวกเขาเข้าใกล้โหมวยู่เธอก็จะฆ่าพวกเขาทิ้งงั้นเหรอ? โม่โม่ เธอนี่คงจะให้ความสำคัญกับตัวเองเกินไปแล้วมั้ง?”

“ฉันเป็นคุณหนูของตระกูลโม่! เป็นภรรยาที่ถูกกำหนดไว้แล้วของโหมวยู่ทำไมฉันจะไม่มีสิทธิ์ล่ะ?” โม่โม่ยังคงยืนกราน

“เธอน่ะหยุดฝันกลางวันได้แล้ว!” ความโกรธที่เดิมทีชางหลิงคอยระงับไว้นั้นก็ถูกจุดประกายด้วยท่าทางที่ไม่สำนึกผิดของ โม่โม่ “โรคประสาทของเธอน่ะมีมาตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแม่งั้นเหรอ? คุณหนูโม่ของตระกูลโม่นี่โดดเด่นมากงั้นเหรอ? เป็นภรรยาที่เก่งกาจของโหมวยู่งั้นเหรอ?เธอมันมีขามากกว่าขาคนอื่นหรือมีสมองที่ไม่เหมือนคนอื่นงั้นเหรอ?ตระกูลพวกเธอน่ะใช้โภคทรัพย์ที่แย่งมาจากตระกูลเซิ่งเพื่อกดขี่ข่มเหงที่เมืองหนาน ที่ทั้งสบประมาทกฎหมายและแสร้งทำเป็นประจบสอพลอที่หน้าประตูบ้านตระกูลโหมวเธอยังคิดว่ามันน่ารู้สึกเป็นเกียรติอีกเหรอ?”

“ฉันจะบอกให้นะโม่โม่ทางที่ดีเธอควรกลับไปมีชีวิตอยู่ และทางที่ดีเธอควรไปดูมันด้วยตาตัวเอง หากไม่มีตระกูลโม่ เธอยังจะเป็นอะไรอีกได้!”

อารมณ์ความรู้สึกของชางหลิงถูกกระตุ้น และเธอก็ดึงปลอกคอเสื้อของโม่โม่ขึ้นมา จากนั้นก็จ้องเธอด้วยสายตาเฉียบคม “ฉันอยากจะฆ่าเธอมากแต่ฉันก็คิดว่าบางทีสำหรับเธอ การฆ่าเธอมันคงจะไม่คุ้มเพราะเธอทำเรื่องเสียสติไปมากมายขนาดนั้นดังนั้นเธอจึงไม่สมควรได้รับการปลดปล่อย”

“ฉันจะปล่อยให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อปล่อยให้เธออยู่ต่อแล้วถูกคนทั้งโลกทอดทิ้งปล่อยให้ชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ของเธอได้รับความทรมานทุกวิทุกนาทีและสารภาพบาปกับคนบริสุทธิ์เหล่านั้นที่ต้องตายด้วยเงื้อมมือของเธอ ซึ่งตั้งแต่นี้ไปฉันจะปล่อยให้เธอ ถูกวิญญาณเข้าพัวพันไปตลอดชีวิต!”

“หุบปากสะ!” โม่โม่ถูกยั่วประสาทด้วยคำพูดของชางหลิงเธอตะโกนอย่างเสียงดังและอยากจะหลุดจากมือของชางหลิงแต่เธอกลับไม่สามารถใช้กำลังทั้งหมดของเธอได้

“ฉันให้เธอเห็นมันด้วยตาตัวเองว่าคุณหนูโม่ของตระกูลโม่ที่เคยมีหน้ามีตา กลายเป็นนักโทษที่ต้องจำคุกไปทีละขั้นๆ โดยไม่มีที่กำบังของอำนาจเพราะคนเลวทรามเช่นเธอก็เป็นเพียงขยะที่มีกลิ่นเหม็นเน่า!”

“เธอไม่ได้พูดหรอกเหรอว่าเธอเป็นโรคจิต? ไม่ใช่ว่าต้องการให้สิ่งนี้กลายเป็นเครื่องรางของเธอเหรอ? ได้ ในเมื่อเธออยากบ้าขนาดนี้ งั้นก็บ้าไปเถอะ!ฉันจะหาโรงพยาบาลบ้าที่มีเงื่อนไขดีที่สุดให้เธออยู่แน่นอน และให้เธอเสวยสุขวัยชราอย่างราบรื่นในนั้น!”

ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก

ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก

Status: Ongoing

เธอสุขใจมากล้นเตรียมที่จะแต่งงานกับแฟนหนุ่มที่คบกันมาหลายปี แต่คืนก่อนวันแต่งงานกลับรู้ว่าแฟนหนุ่มนอนกับน้องสาวต่างสายเลือดด้วยความโกรธครอบงำชางหลิงใช้เงินซื้อผู้เชาย หลังเมาก็ร้องจะนอนกับเจ้าของคลับ ยังถูกคนหลอกแต่งงานเมื่อตื่นขึ้นมา ไม่คาดว่าถูกคนกลับเรียกเธอว่าพี่สะใภ้ เฮียคือใครกันนะ“ยมบาลแสนเย็นชา”ซึ่งอยู่ทั้งสายขาวสายดำแห่งเมืองหนานที่ทุกคนต่างเกรงกลัว แถมยังเป็นผู้นำที่มีอำนาจทั้งตระกูลโหมวและในบริษัทเซิ่งซื่อกรุ๊ปแต่ข่าวลือว่ากันว่าเขาไม่เข้าใกล้ผู้หญิงไม่ใช่หรอ เขาชอบผู้ชายด้วยกันไม่ใช่หรอแต่ทำไมถึงเป็นเพราะผู้หญิงอ่อนแออย่างเธอถึงกับทุกวันไม่อยากลงจากเตียง จริงอย่างคาดคิด ข่าวลือล้วนแต่หลอกลวงโดยสิ้นเชิง

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท