ใกล้จะกลับประเทศแล้วโหมวยู่ก็ได้อธิบายเรื่องงานบางอย่างให้ฉีจินหมิ่น ซึ่งชางหลิงเองก็ไม่สะดวกที่จะไปรบกวนอะไร ดังนั้นเธอจึงทิ้งที่ว่างไว้ให้พวกเขา และออกจากห้องไป
สวนลอยบาบิโลนในยามราตรีมีความเงียบสงัดที่น่าแปลกใจและงานแฟชั่นก็ใกล้สิ้นสุดลงแล้วผู้คนที่มาร่วมการแข่งขันก็พากันเดินทางกลับเธอถือชานมร้อนแก้วหนึ่งแล้วนั่งลงบนเรือกอนโดลาพร้อมกับมองไปยังท้องฟ้าสีคราม
พรุ่งนี้ก็จะจากที่นี่ไปแล้วพอลองคิดดูนี่ก็ 1 เดือนเต็มแล้วตั้งแต่ที่มามิลานซึ่งในเดือนนี้ก็เหมือนกับฝันไปเท่านั้น ได้ประสบกับชีวิตความเป็นความตาย และก็ได้ยืนบนอยู่เวทีได้รับคำชมและเสียงปรบมือที่มากมาย
หลังจากอุปสรรค์มากมายนี้ถูกคลื่นพัดผ่านไป การนั่งอยู่ที่นี่ในขณะนี้ที่กำลังเพลิดเพลินกับช่วงเวลาแห่งความสงบสุขนี้ ทำให้เธอมีความสุขอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“คราวหน้าถ้ามาที่จีนจะต้องบอกฉันด้วยนะเพื่อฉันจะได้ทำหน้าที่เจ้าบ้านให้ดีที่สุด”
ไม่ได้เห็นหน้า แต่ก็ได้ยินเสียงของเขามาแต่ไกลแล้วชางหลิงถือชานมไว้แล้วได้ยินเสียงของโหมวฉี่ด้วยความงุนงง เธอหันหน้ากลับมา ถึงได้เห็นโหมวฉี่กับออโรร่าเดินมาโดยไม่รู้ว่าพวกเขาเดินมาด้วยกันตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว
ชางหลิงอยากจะหลีกเลี่ยงโดยไม่รู้ตัวแต่เธอยังไม่ทันได้ลุกขึ้น ออโรร่าก็เห็นเงาร่างของเธอก่อนแล้ว
“ชางหลิง?” เธอส่งเสียงตะโกนอย่างไม่มั่นใจ
ชางหลิงยืนขึ้นแล้ววางชานมลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เดินออกมาไม่กี่ก้าว
“เธอมาทำอะไรที่นี่?” ออโรร่ารู้สึกแปลกๆ
“มีคนต้องการคุยเรื่องธุรกิจ แต่กลับถูกไล่ออกมา” ชางหลิงยักไหล่
เธอเหลือบมองโหมวฉี่ไปแวบหนึ่งและเขาก็ยังคงยิ้มเบาๆแต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนท่าทางของเขาเพราะเธอเลย
“ได้ยินมาว่า พรุ่งนี้พวกคุณจะกลับประเทศแล้วเหรอ?” ออโรร่าทิ้งโหมวฉี่ไว้ข้างหลัง และค่อยๆ เดินไปข้างๆ ชางหลิง
“อืม” ชางหลิงพยักหน้า
ออโรร่ากอดอก ด้วยการประชดประชัน “จริงสิ เธอเป็นผู้หญิงที่เจ้าเล่ห์คนหนึ่งนี่นาเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่มีความสามารถที่จะแข่งขันต่อไปได้ เธอจึงเลือกสละสิทธิ์จากจุดสูงสุด เพื่อรักษาหน้าไว้และเพื่อดึงดูดความสนใจ”
“จะคิดยังไงก็ได้” ชางหลิงขี้เกียจที่จะไปอธิบายมากขนาดนั้น
ออโรร่ามองสังเกตเธอจากหัวจรดเท้าไม่เห็นเธอมาตั้ง 10 วันแล้วได้ยินมาว่าเธอป่วยเพราะเรื่องของโม่โม่ แต่ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าคนทั้งคนจะผอมลงมากเลยนะ
ความหน้าเด็กบนใบหน้านี่ก็ลดลงไปด้วย ขอบและมุมระหว่างคิ้วและตามันดูชัดขึ้น และมีความสุขุมมากขึ้น ซึ่งมันก็ยิ่งเหมือนกับผู้หญิงที่เธอเห็นเมื่อตอนที่เธอยังเด็ก
“ตอนที่เพิ่งมามิลานโหมวยู่ก็เคยบอกกับฉัน เขาบอกว่าภายในหนึ่งเดือน ฉันจะรู้ว่า ทำไมเขาถึงเลือกคุณ” ออโรร่านึกเรื่องนี้ได้ขึ้นมาในทันที
ชางหลิงแปลกใจเล็กน้อยในหนึ่งเดือนนี้นอกจากการตกเป็นเป้าหมายของสิ่งต่างๆ แล้วเธอทำอะไรไปบ้างล่ะ?
“ต้องรู้ว่าเจสันสามารถเป็นหัวหน้าดีไซเนอร์ของ L&W ได้เลยนะซึ่งมันจะต้องมีวิธีการที่มากมาย ถึงจะสามารถยืนหยัดภายใต้เงื้อมมือของเขาได้ซึ่งในความประทับใจของฉันนั้นมันก็มีไม่กี่คนหรอก”
ต้องบอกว่า เธอยืนดูกระบวนการทั้งหมดอยู่ข้างๆมองดูชางหลิงจัดการกับปัญหาต่างๆ อย่างใจเย็นและคอยเอาชนะได้ครั้งแล้วครั้งเล่า เลยทำให้เธอเปลี่ยนมุมมองบางอย่างได้จริงๆ
“อย่างไรก็ตาม ฉันก็ยังรู้สึกว่าเธอไม่คู่ควรกับโหมวยู่เขาควรจะคู่ควรกับผู้หญิงที่ดีกว่านี้อย่างเช่นคนแบบฉัน”
ออโรร่าเงยหน้าขึ้นอย่างโอ้อวด
ชางหลิงเงยหน้าขึ้นมองออโรร่าที่รูปร่างสูงและเธอก็ยืนอยู่ตรงหน้าเธอซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าเธอดูตัวเล็กน่ารักอย่างมาก
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ เธอไม่เพียงแต่ไม่โกรธแต่กลับหัวเราะขึ้นมา เธอลืมตาขึ้น พร้อมกับจ้องไปที่ข้างใบหน้าที่ดีสมบูรณ์แบบของออโรร่า
“คุณนี่เป็นคนดีจริงๆ” แม้ว่า เธอจะใช้วิธีมากมายเพื่อเข้าใกล้โหมวยู่ แต่เธอก็ยังหยุดได้ทันเมื่อรู้ว่าโหมวยู่กำลังจะถูกวางยา และเธอก็ยังนำของขวัญที่น่ารังเกียจมาเยี่ยมเพื่อนของเธอที่โรงพยาบาล ด้วยเหตุนี้ชางหลิงจึงคิดว่า เธอเป็นน่ะคนดีคนหนึ่ง
ชางหลิงคิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้วเธอจะมีวันนี้ได้ ซึ่งเป็นวันที่เธอจะส่งการ์ดคนดีให้กับออโรร่า
เธอยิ้มอย่างเฉยชาพร้อมกับยื่นมือออกไปกอดออโรร่าโดยตรง
“นี่เธอ…” ออโรร่าตกใจแล้วผลักชางหลิงออกไป “เธอทำอะไรของเธอน่ะ?”
“พรุ่งนี้ก็จะกลับประเทศกันแล้วและไม่รู้ว่าจะเจอกันอีกเมื่อไหร่ ฉะนั้นไม่ว่าจะดีหรือร้ายยังไงเราก็ได้รู้จักกันแล้ว ก็ถือว่าเธอเป็นของขวัญอำลาฉันก็แล้วกัน” ชางหลิงกะพริบตาอย่างซุกซน
ออโรร่ารู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมากเธอถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วมองชางหลิงด้วยสายตาแปลกๆ
“ใครจะให้ของขวัญอำลาเธอ เธอคิดให้ดีนะ ฉันน่ะเป็นคู่แข่งหัวใจของเธอ จะดีหรือร้ายยังไงเธอก็ควรจะเคารพฉันหน่อยนะ?” ปากออโรร่าพูดอย่างนั้น แต่ในใจกลับเลิกล้มความคิดที่มีต่อโหมวยู่ไปตั้งนานแล้ว
เมื่อมองดูผู้หญิงตรงหน้าซึ่งเป็นหญิงสาวชาวตะวันออกตัวเล็กๆที่มีผมสีดำและผิวสีเหลือง เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ธรรมดาอย่างมาก แต่เมื่อครู่นั้น กลับทำให้รู้สึกเธอก็ยังมีความน่ารักอยู่บ้าง
“คราวหน้าถ้ามาประเทศจีนอย่าลืมทักทายพวกเราด้วยล่ะที่นั่นพวกเรามีผู้ชายที่ยอดเยี่ยมมากมายนะ ตอนนั้นฉันจะแนะนำให้เธอรู้จักแล้วกัน” ชางหลิงยิ้มอย่างไร้เดียงสา
“ประสาทแดก!” ออโรร่ามองบนใส่เธอ แล้วหันหลังเดินออกไป
แต่เมื่อไปถึงที่ที่ชางหลิงไม่สามารถมองเห็นได้ บนใบหน้าของเธอก็ค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มที่สังเกตได้ยากออกมา
ชางหลิงใช้สายตาส่งออโรร่าจากไปเธออยู่กับที่ แต่กลับรู้สึกถึงสายตาทั้งสองคู่จากด้านข้างอย่างชัดเจน
เธอหันหน้าแล้วเห็นเซียวฉู่ที่กำลังเข็นรถเข็นของโหมวฉี่โดยยังคงมองดูเธอจากตำแหน่งเดิม
“คุณชายฉี่คะ” ชางหลิงทักทายเขาอย่างสุภาพ
ไม่รู้ว่าทำไม ตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่โหมวยู่บอกเธอเกี่ยวกับการที่โหมวฉี่ปล่อยให้คนตายต่อหน้าต่อตาอย่างไม่ให้ความช่วยเหลือเมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็กนั้น ภาพของโหมวฉี่ในใจเธอก็ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย
แม้ว่าเธอจะรับปากว่าจะร่วมมือกับเขาไปแล้วจริงๆ แต่ถ้าเขาเป็นคนประเภทที่โหมวยู่พูดจริงๆเธอคงต้องพยายามลดการติดต่อส่วนตัวกับเขา
มือโหมวฉี่ขยับ และเซียวฉู่ก็ผลักเขาเข้ามาช้าๆและหยุดอยู่ในที่ที่พอมีแสงสว่างจากนั้นคนทั้งสามก็มองหน้ากันอย่างเงียบๆและบรรยากาศก็อึดอัดเล็กน้อย
“ร่างกายดีขึ้นบ้างหรือยัง?” ในที่สุด ก็ยังเป็นโหมวฉี่ที่เอ่ยปากพูดเป็นคนแรก “ผมไปโรงพยาบาลมาและก็เห็นโหมวยู่คุ้มกันคุณเป็นอย่างดี ดังนั้นผมจึงไม่มีโอกาสไปเยี่ยมคุณเลย”
“ค่ะมันไม่เป็นไรแล้วค่ะขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงของคุณชายฉี่ด้วยนะคะ”ชางหลิงตอบกลับอย่างสุภาพ
โหมวฉี่จ้องใบหน้าของเธอเหมือนกับว่าเขากำลังสำรวจบางสิ่งจากการแสดงออกของเธอ
“พรุ่งนี้พวกคุณก็จะเดินทางกลับแล้วเดินทางระวังหน่อยนะ แม้ว่าตอนนี้เรื่องระหว่างคุณกับโหมวยู่จะเปิดเผยต่อสาธารณะแล้ว แต่ผมก็เกรงว่านายท่านใหญ่จะรู้สึกแย่”
“ฉันรู้ค่ะ” ชางหลิงตอบรับ “แต่ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเผชิญหน้าอยู่ดี ฉันไม่กลัวเขาหรอกค่ะ”
ชางหลิงมักจะเป็นคนที่ไม่ว่าปัญหาจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้และแม้ว่าจะรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจบ้าง แต่ก็ไม่อาจสูญเสียลักษณะพลังที่ได้แสดงออกมาเลย
โหมวฉี่ยิ้ม เขาจับมือทั้งสองข้างของตัวเองไว้แล้วมองเธอด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายบนใบหน้า “ในเมื่อเป็นแบบนี้งั้นผมก็คงจะไม่กังวลอะไรแล้วเพราะโหมวยู่สามารถดูแลคุณได้เป็นอย่างดีซึ่งผมก็หวังว่าครอบครัวของเราจะมีวันที่เรานั่งทานอาหารในวันส่งท้ายปีเก่าด้วยกัน”
ชางหลิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เธอมองโหมวฉี่ และพยายามมองบางอย่างจากดวงตาที่สงบของเขา แต่เธอกลับล้มเหลว
มันยากที่เธอจะจินตนาการได้ว่าคนคนหนึ่งจะต้องมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวขนาดไหนถึงจะสามารถซ่อนอารมณ์ทั้งหมดไว้ได้เหลือไว้เพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่เรียบเฉยนี้โดยใช้กำลังที่อ่อนโยนเขย่าทุกอย่างจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“มันดึกมากแล้ว คุณชายฉี่คะ งั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ” ชางหลิงกล่าวลากับเขา หลังจากพูดจบ เธอก็หันหลังแล้วกำลังจะเดินจากไป
“ชางหลิง” โหมวฉี่เรียกให้เธอหยุด และฝีเท้าของชางหลิงก็หยุดลง
“ถ้าสงสัยอะไรสามารถถามผมได้โดยตรงเลยขอแค่คุณถามฉันจะตอบคุณอย่างแน่นอน”
ชางหลิงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
หรือว่าเธอแสดงออกจนชัดเจนเกินไปจริงๆ เหรอ? โหมวฉี่สามารถเดาความคิดในใจของเธอได้อย่างง่ายดายขนาดนี้เลยเหรอ?
“ค่ะ” ชางหลิงส่งเสียงตอบรับด้วยรอยยิ้มแต่เธอกลับเดินเร็วขึ้น