งานเลี้ยงรวมตัวเลิกไปอย่างไม่มีความสุข
ชางหลิงกลับไปที่วิลล่าหนานวาน ท่าทางอึมครึมไม่สดใส
ตั้งแต่โตมา นี่เป็นครั้งแรกที่ซูเสี่ยวเฉิงโกรธเธอมากขนาดนี้ เป็นครั้งแรกที่พวกเธอมีปัญหากันหนักขนาดนี้ เธอนอนอยู่บนโซฟา สับสนจนไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับสภาพที่เป็นอยู่
ถึงเวลาสำหรับการพักแล้ว นานมากแล้วที่ที่นี่ไม่มีใครอยู่ ป้าที่ทำอาหารให้ที่บ้านกลับบ้านช่วงปีใหม่ โหมวยู่สวมผ้ากันเปื้อนยืนอยู่ในครัว ในมือถือตะหลิว มองวัตถุดิบที่กองอยู่ตรงหน้าอย่างเริ่มต้นลงมือไม่ถูก
เขาได้แต่กิน…ส่วนทำ นี่เป็นครั้งแรก
ก่อนหน้านี้ชางหลิงยังพูดอย่างกระตือรือร้นเรื่องการทำอาหารด้วยตัวเอง มาวันนี้ เธอหมดอาลัยตายอยากอยู่ตรงนั้น ปัญหานี้จึงมาตกอยู่ในมือของเขา
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ทำการดาวน์โหลดโปรแกรมสูตรอาหาร แล้วเริ่มทำอย่างงุ่มง่าม
ชางหลิงพลิกตัวไปมานอนไม่หลับทั้งคืน เมื่อตื่นขึ้นมาจึงรู้สึกเพลีย ตอนนี้ได้นั่งสักพักความง่วงงุนก็ยิ่งโจมตี แต่ช่วงเวลาที่กำลังงัวเงียก็มีเสียงโครมครามดังขึ้นในครัว ภายใต้ความสงสัย ได้ลุกขึ้นเยื้องย่างอย่างแมวเข้าไปในครัว
โหมวยู่ชายร่างใหญ่สูงร้อยแปดสิบ สวมผ้ากันเปื้อนปิกาจูที่ซื้อมาเป็นพิเศษของเธอเหมือนพ่อที่สวมชุดของลูกสาว ในมือถือมีดปอกเปลือกวางลงบนมันฝรั่งสดที่ยังเปื้อนดิน
“ถอดชุดออก” เขาพูดกับมันฝรั่งอย่างเย็นชา
ชางหลิงแทบหลุดหัวเราะ เธอปิดจมูกปิดปากขำกับพฤติกรรมของโหมวยู่
คิดดูแล้วลูกเศรษฐีอย่างเขาคงไม่เคยเข้าครัวมาก่อน ถึงแม้ว่าจะใช้ชีวิตลำบากในกองทัพ แต่เขาก็แค่เดินทัพและต่อสู้เท่านั้น ชางหลิงแอบหลังประตู ยืนกอดอกอยากดูว่าวันนี้โหมวยู่จะทำอาหารมื้อนี้ออกมาอย่างไร
โหมวยู่หยิบมันฝรั่งขึ้นมาถือในมือ แล้วปอกเปลือกมันลวกๆ ก่อนจะวางมันลงบนเขียน หลังจากนั้นก็ทำการหั่นเจ้ามันฝรั่งที่ว่าเป็นมันฝรั่งทอด
เขาดูสูตรในโทรศัพท์มือถือไปด้วยลงมือทำไปด้วย แต่ถ้อยคำตัวหนังสือนั้นทั้งทั้งที่ดูเหมือนง่ายแต่เมื่อลงมือทำจริงมันกลับไม่ง่ายนัก
ปลาที่ถูกตัดหัวกระเด้งขึ้นกลางอากาศหลังจากตกลงไปในกระทะน้ำมัน น้ำมันกระเด็นไปทั่วพื้น มันฝรั่งทอดขนาดต่างๆ อยู่ในกระทะด้วยสภาพดี แต่ในขณะที่โหมวยู่กำลังคำนวณจำนวนซีอิ๊ว 2 กรัมอย่างระมัดระวัง มันก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นดำเกรียมเสียแล้ว
ชางหลิงแอบอยู่ข้างหลังโหมวยู่ที่รีบทำทุกอย่างด้วยมือเป็นระวิง อารมณ์ที่ได้รับอิทธิพลจากซูเสี่ยวเฉิงจึงได้รับการฟื้นฟูให้ดีขึ้นอีกครั้ง
มองแผ่นหลังของเขา เธอสัมผัสได้จริงๆ ว่าอะไรที่เรียกว่าความสุข ผู้ชายของเธอไม่ชอบพูด มักจะหยิ่งยโส แถมยังชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่ต่อหน้าเธอ สงบเยือกเย็นอึมครึมอยู่ตลอดเวลา เธอไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้เห็นเขาอยู่ในอาการตื่นตระหนก
เป็นไปแบบนี้จนกระทั่งครบชั่วโมง อาหารของโหมวยู่ในที่สุดก็มาอยู่บนโต๊ะ
ชางหลิงนั่งอยู่ที่โต๊ะ มองดูสองอาหารจานใหญ่อยู่ตรงหน้าซึ่งแทบจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นอาหาร กัดตะเกียบโดยไม่กล้าลงมือ
“กินสิ” โหมวยู่ดันจานเข้ามาให้เธอ
ยังดีที่อย่างน้อยข้าวก็หุงสุก
ชางหลิงใช้ตะเกียบเขี่ยปลาตุ๋นที่ดูไม่เป็นรูปเป็นร่าง เนื้อสัมผัสแข็งกระด้าง ถ้าไม่ใช่เพราะชางหลิงได้เห็นว่ามันเคยเป็นปลา เกรงว่าเวลานี้คงไม่สามารถแยกแยะสายพันธุ์ของมันได้ด้วยตาเปล่า
เมื่อเทียบกับท่าทางกระมิดกระเมี้ยนของเธอ โหมวยู่สง่ากว่ามาก ตะเกียบของเขาคีบบนเนื้อปลา หลังจากลอกหนังออก ก็เผยให้เห็นด้านในที่ยังคงแดงสด
ไม่สุก…
ตะเกียบของชางหลิงค่อยๆ เก็บกลับไป
มุมปากของโหมวยู่กระตุก
“ไม่เป็นไร ฉันกิน…มันฝรั่ง” ถ้ามันยังสามารถนับว่าเป็นมันฝรั่งน่ะนะ ชางหลิงรีบคีบตะเกียบลงในชามของตัวเอง ถึงมันจะดำไปหน่อย แต่ก็น่าจะไม่มียาพิษ
แต่ทว่า เพิ่งรวบรวมความกล้าเอาเข้าปาก กลิ่นไหม้ที่มีประสิทธิภาพสูงส่งเทียมฟ้าก็เกือบจะพรากวิญญาณของชางหลิงไปจากโลกที่สวยงามใบนี้
อาหารไหม้เกรียม อาหารโคตรไหม้เกรียมเลย!
โหมวยู่เพ่งมองสีหน้าของชางหลิง หลังจากยืนยันแล้วว่าไม่มีจานไหนที่กินได้ เขาจึงเปิดลิ้นชักโต๊ะอาหารเงียบๆ แล้วหยิบเอาขวดที่อยู่ในนั้นออกมา….
น้ำพริกเผาเหล่ากานมา
ชางหลิงเกือบพ่นข้าว
นี่มันผีบ้าอะไร ท่านประธานเผด็จการผู้ทรงอิทธิพลจะกินน้ำพริกเผาเหล่ากานมาเหรอ มันไม่เข้ากับสไตล์ของเขาเกินไปไหม
“หลังจากทานเสร็จแล้วฉันจะพาเธอไปสถานที่หนึ่ง” โหมวยู่พูดออกมาหนึ่งประโยค “พบคนที่สำคัญมาก”
“อ้อ” เดิมทีชางหลิงอยากถาม แต่เห็นท่าทางเขาที่ฝังศีรษะลงกับอาหาร ก็กลืนคำพูดลงไป หยิบกระปุกน้ำพริกเผาเหล่ากานมาที่อยู่ข้างเขา เอามาตักให้ตัวเองเล็กน้อย
ใครจะไปคิดว่ามีบางคน อาศัยอยู่ในวิลล่าหลังละหลายร้อยล้าน ขับรถหรูรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น แต่กลับกินข้าวคลุกน้ำพริกเผาเหล่ากานมา?
เธอเลือกเสื้อผ้าอย่างพิถีพิถัน ชุดกระโปรงไหมพรมยาวคอตั้งสีดำ ใช้เข็มขัดสีแดงเส้นบางเป็นเครื่องประดับ สวมรองเท้าส้นสูงสีแดง เส้นผมยาวม้วนเป็นเกลียวคลาย และยังแต่งหน้าสวยละเอียดอ่อนเป็นพิเศษอีกด้วย ในเมื่อเป็นคนสำคัญมาก เช่นนั้นก็ควรจะโอ่อ่าหน่อย ตอนนี้เธอเป็นภรรยาของเขา ไม่สามารถถูกเหยียดได้เด็ดขาด
โหมวยู่ที่อยู่ในชุดลำลองรออยู่ข้างล่างอยู่นานมาก ในที่สุดเธอก็โผล่มาอย่างช้าๆ เห็นเธอแต่งตัวแทบจะไปงานเลี้ยงได้ ใบหน้าหล่อเหลาก็เต็มไปด้วยคำถาม
“ทำไม ไม่เหมาะเหรอ” ชางหลิงจงใจหมุนตัวอวดตรงหน้าเขา
ช่วงวันที่อยู่ในมิลานเธอสูญเสียน้ำหนักไปไม่น้อย เพียงพอที่จะยัดตัวเองเข้าไปในเสื้อผ้าไซซ์S โชคดีที่มันพอดีไม่ได้หดตัว ชุดนี้แสดงให้เห็นส่วนโค้งเว้าของเธออย่างสมบูรณ์ ให้เธอเปลี่ยนบรรยากาศเรียบง่ายไร้เดียงสาก่อนหน้านี้ ไปเป็นกลิ่นอายของหญิงสาวที่เป็นผู้ใหญ่
“แล้วแต่เธอ” โหมวยู่ไม่ได้พูดอะไรอีก และพูดประโยคนี้ออกมาบางเบา
ชางหลิงทั้งเครียดทั้งคาดหวัง รอให้ตัวเองฉายแสงต่อหน้าทุกคน แต่รถของโหมวยู่ยิ่งขับไกลออกไปเรื่อยๆ กระทั่งออกจากเมือง รถขับตรงไปยังเนินเขาแห้งแล้ง
รถหยุดลง
ชางหลิงลงจากรถ มองดูเส้นทางเดินภูเขาที่ขรุขระตรงหน้าอย่างโง่ๆ แล้วก็มองดูส้นสูงสิบเซนติเมตรบนเท้าของตัวเอง ในภวังค์นั้นได้ยินเสียงฝูงนกอีกาบินผ่านหัว
โหมวยู่หยิบกระเป๋าเดินทางออกมาจากหลังรถ แล้วมายืนข้างเธอ
“นั่น…ขอถามสักคำ คนที่คุณบอกว่าสำคัญมาก…กำลังฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่เหรอ”
โหมวยู่หันกลับมามองเธอด้วยสายตาแปลกๆ
“นับว่าใช่”
ชางหลิงยิ่งงุนงงหนักขึ้น
โหมวยู่เดินว่องไวไปข้างหน้า รองเท้าผ้าใบของเขาเหยียบบนเส้นทางเดินภูเขาราวกับเป็นพื้นราบ
แต่รองเท้าส้นเข็มสูงปรี๊ดของชางหลิงกลับเดินตกหลุมตกรู หลายครั้งที่ตกรูจนเกือบติดเอาไม่ออก
“อะไรกัน ทั้งที่รู้ว่ามาสถานที่แบบนี้ก็ไม่เตือนฉัน” ชางหลิงเดินไปบ่นไปตลอดทาง
เมื่อหลายวันก่อนยังรู้สึกหวั่นไหวขนาดหนัก รู้สึกว่าชีวิตนี้มีที่พึ่งแล้ว แต่ดูตอนนี้ ผู้ชายตรงทื่อก็ยังตรงทื่อ ไม่เตือนเธอก็ว่าแย่แล้ว เดินเร็วขนาดนั้น เธอเร่งยังไงก็ตามไม่ทัน
เธอเดินกระย่องกระแย่งไปตามเส้นทางสายเล็กๆ แต่หลังจากผ่านเส้นทางมืดๆ ข้างหน้าไป สิ่งที่สะท้อนอยู่ตรงหน้าเธอคือคฤหาสน์ที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าเขา ซุ้มหินตรงทางเข้าออกถูกเถาวัลย์เหี่ยวเฉาปกคลุมขวางกั้น ชางหลิงเห็นคำหนึ่งเลือนรางเป็นคำว่า “เซิ่ง”
ชางหลิงเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง ข้างในเป็นป่าท้อขนาดใหญ่ ขณะนี้เป็นฤดูหนาว ต้นไม่ร่วงโรย ทันทีที่ได้เห็นก็รู้สึกเศร้าโศก
โหมวยู่หยุดยืนบนเนินเขาที่ส่วนท้ายของป่าท้อ ชางหลิงรีบวิ่งเข้าไป เห็นหลุมศพเก่าที่ก่อสร้างขึ้นอยู่ตรงหน้าเขา
“นี่คือ…” ชางหลิงเอ่ยถาม
“คุณแม่ฉัน”
ชางหลิงตกใจ
ถ้าอย่างนั้น ที่โหมวยู่บอกว่าคนสำคัญ ก็คือคุณแม่ของเขาที่เสียไปแล้วอย่างนั้นเหรอ
โดยไม่ต้องคิดอะไรชางหลิงพลันทรุดตัวคุกเข่าลงบนสนามหญ้าทันที ก่อนจะคำนับโขกศีรษะลงอย่างเคร่งขรึม “คุณแม่คะ ลูกสะใภ้มาเยี่ยมคุณค่ะ”
อย่าได้ถือโทษเธอเลย ก่อนหน้านี้เธอยังล้อเลียนว่าท่านฝึกบำเพ็ญเพียร ไม่รู้ว่าวิญญาณคุณแม่สามีบนสวรรค์จะคิดว่าเธอไม่เคารพท่านหรือเปล่า
โหมวยู่เลิกคิ้ว เขาจ้องหญิงสาวที่คุกเข่าบนพื้นอย่างอ่อนใจ
“นี่” เขาย่อตัวลงไปตบไหล่เธอ “คุกเข่าผิดแล้ว นี่คือน้องสาวฉัน คุณแม่ฉันอยู่ข้างๆ นู่น”