โจวฝูก็ไม่คิดว่าโหมวยู่จะมีการกระทำแบบนี้
ในอดีตที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นยังไง ทุกครั้งที่ต้องเผชิญกับกฎประจำตระกูลโหมวยู่ไม่เคยต่อต้านเลย แต่ตอนนี้ …
“ไอ้ลูกเนรคุณ!” โหมวเจิ้งถิงตะลึงไปไม่กี่วินาทีก็ส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมกับลุกขึ้นยืน
โหมวยู่ยิ้มอย่างเย็นชาและเขาก็ออกแรงฝ่ามือดึงแส้ออกจากมือของโจวฝูและไม่ว่าโจวฝูเองจะมีกำลังมากแค่ไหน เขาก็ยังอายุมากกว่าซึ่งในแง่ของความแข็งแกร่งของร่างกายและทักษะ ซึ่งเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของโหมวยู่เลย
“แกยังจะต่อต้านไม่ยอมหยุดเลยใช่ไหม?” โหมวเจิ้งถิงพูดพร้อมกับชี้ไปที่โหมวยู่อย่างโกรธเคือง
“กบฏงั้นเหรอ?” โหมวยู่รู้สึกขำ “คุณคิดว่าตัวเองเป็นฮ่องเต้แล้วจริงๆ งั้นเหรอ?”
เขามองไปที่แส้ในมือสิ่งนี้ ตั้งแต่เด็กจนโตไม่รู้ว่ากินเลือดเนื้อเขาไปเท่าไหร่แล้ว ซึ่งเขาก็เคยมองว่ามันเป็นเหมือนสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไข และตอนนี้ สิ่งนี้ก็อยู่ในมือของเขาแล้ว เมื่อมองดูแบบนี้แล้ว ก็เป็นแค่ของตายที่ไม่มีชีวิต
“เท่าที่ผมความได้นะ ทั้งผมและโหมวฉี่ แค่มีอะไรที่ไม่ดีตามความตั้งใจของคุณ คุณก็จะใช้กฎประจำตระกูลตลอดผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่า นี่หรือที่เรียกว่ากฎประจำตระกูล หรือว่ามันจะเป็นแค่การระบายอารมณ์ปฏิบัติอย่างโหดร้ายทารุณและเหยียดหยามของคุณเอง?”
“ยิ่งไปกว่านั้น คุณคิดว่านี่คือบ้านของใครกัน?” โหมวยู่มองขึ้นไปที่บ้านหลังนี้ “นายท่านโหมว คุณแก่แล้วเลยเป็นโรคแอมนีเซียเหรอครับ? บ้านหลังนี้ บนแผ่นป้ายนั้นที่เคยเขียนไว้ว่า ตระกูลเซิ่ง!ซึ่งคุณเองก็เป็นแค่คนที่บังคับครอบครองที่อยู่อาศัยของคนอื่น คุณอายที่จะพูดถึงกฎประจำตระกูลโหมว ในสถานที่ที่วิญญาณของตระกูลเซิ่งเกิดมาหลายชั่วอายุคนบ้างไหมล่ะ? “
“นี่แก…” สีหน้าของโหมวเจิ้งถิงไม่เคยดูน่าแย่ขนาดนี้มาก่อนเลยเขาตัวสั่น พร้อมกับยกมือขึ้น เหมือนกับจะใช้กำลังทั้งหมดที่ตัวเองมี ตบหน้าโหมวยู่ไปอย่างรุนแรงทีหนึ่ง
“ไอ้ลูกเนรคุณ! ไอ้ลูกเนรคุณเอ๊ย!” โหมวเจิ้งถิงยืนอย่างไม่มั่นคงเขาถอยห่างออกไปไม่กี่ก้าว แล้วล้มลงบนเก้าอี้อีกฝั่งหนึ่งอย่างหนักหน่วง
โหมวยู่ทนทุกข์ทรมานจากการระเบิดครั้งนี้และคราบเลือดก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา เขายิ้ม พร้อมกับยกมือขึ้น แล้วเช็ดเลือดสีแดงสดด้วยนิ้วหัวแม่มือเบาๆ
“แกเป็นลูกชายของโหมวเจิ้งถิงนะ ซึ่งมันมีเลือดของฉันไหลเวียนอยู่ในตัวแก และแกก็เป็นทายาทของตระกูลโหมว แกมีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนฉัน?” โหมวเจิ้งถิงจ้องเขาอย่างเกลียดชัง
“ผมไม่ได้สอนคุณเลยนะครับ” โหมวยู่มองกลับมาหาเขา ด้วยน้ำเสียงที่หนักขึ้น “ทุกอย่างที่ผมทำ ก็แค่ล้างแค้นให้แม่ของผมเท่านั้น!”
“แม่ของแกน่ะตายไปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วและแม้แต่กระดูกในที่ถูกฝังในนั้นก็กลายเป็นฝุ่นไปหมดแล้ว! เธอแค่อยู่กับแกเพียง 6 ปีเท่านั้น แต่ฉันน่ะสิเลี้ยงดูแกมาทั้งชีวิต ทำไมแกถึงต้องการทรมานคนที่เป็นอยู่เพื่อคนที่ตายไปตั้งนานแล้วด้วย?” โหมวเจิ้งถิงยังคงตะโกนไปว่า “และฉันก็เคยอธิบายให้แกไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ว่าฉันไม่ได้ตั้งใจ เธอเป็นเมียของฉัน และเธอก็ตั้งท้องลูกสาวของฉัน ซึ่งเป็นเลือดเนื้อแท้ๆ ของฉันหรือว่าฉันไม่ต้องการให้พวกเธอทั้งแม่ลูกปลอดภัยและมีสุขภาพดีอย่างงั้นเหรอ? หรือว่าแค่พวกเธอตายฉันก็สามารถเป็นเจ้านายของบริษัทเซิ่งซื่องั้นเหรอ? ฉันต้องทนทุกข์ทรมานกับความรู้สึกผิดมานาน 20 ปีกว่า แกยังอยากให้ฉันทำยังไงอีก?”
“คุณไม่ได้ตั้งใจงั้นเหรอ?” โหมวยู่ส่งเสียงยิ้มอย่างเย็นชา “พูดได้แค่คำเดียวว่า เพราะคำพูดของคุณ ทำให้ต้องสูญเสียชีวิตสองชีวิตไป!”
“เพราะคุณสมรู้ร่วมคิดกับโม่หยวนผิงเพื่อเชือดเฉือนดินแดนของทรัพย์สินที่เดิมทีเป็นของตระกูลเซิ่งเพื่อให้ โม่หยวนผิงไอ้ผู้ช่วยตัวเล็กๆ เป็นมหาเศรษฐีอันดับสองของเมืองหนาน หรือว่าคุณอยากให้ผมคิดว่าเขาเป็นอัจฉริยะทางธุรกิจจริงๆ ที่สามารถทำให้ครอบครัวเกิดร่ำรวยขึ้นเพียงชั่วข้ามคืนเดียวงั้นเหรอ?”
“โม่หยวนผิงเป็นผู้ช่วยของฉัน ในสนามรบของปีนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ฉันคงตายไปตั้งนานแล้ว เขามีพระคุณช่วยชีวิต ต่อฉันและความมั่งคั่งเหล่านี้ ก็เป็นเพราะฉันสัญญาจะให้เขาเอง” โหมวเจิ้งถิงตอบกลับ
“พระคุณที่ช่วยชีวิตคุณ แล้วมีสิทธิ์อะไรมาใช้ชีวิตของแม่ผมชดใช้คืน? นี่เป็นสมบัติของตระกูลเซิ่งมีสิทธิ์อะไรใช้เพื่อรักษาสัญญาของคุณ?” โหมวยู่ถามเขาอย่างดุร้าย “โม่หยวนผิงมันโลภไม่รู้จักพอ หลายปีที่ผ่านมาเขากลืนกินอุตสาหกรรมที่เป็นของตระกูลโหมวในเมืองหนานไปตั้งเท่าไหร่คุณไม่รู้เลยงั้นเหรอ? คุณคิดว่าเขาจะเต็มใจเป็นแค่พี่รองไปตลอดทั้งชีวิตงั้นเหรอ? คุณคิดว่าสิ่งมีอยู่ในมือของคุณตอนนี้เขาจะไม่นึกถึงอยู่ตลอดเวลาเหรอ?”
“คุณทำเพื่อไอ้คนนอกที่มีความทะเยอทะยานโฉดชั่ว แล้วบังคับตระกูลเซิ่งมาถึงจุดจุดนี้ได้ยังไง?”โหมวยู่จ้องมาที่เขา “คุณลองถามตัวเองสิว่า ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลเซิ่งแล้วตระกูลโหมวจะมีฐานะที่เป็นอยู่ในตอนนี้ได้ยังไง? ถ้าไม่ใช่เพราะ แม่ที่แต่งงานกับคุณ ตระกูลเซิ่งในตอนนี้ คุณจะเป็นเจ้านายของบริษัทเซิ่งซื่อได้ยังไง? คุณจะแบ่งครึ่งให้ตระกูลโม่ไปอย่างไม่มีสาเหตุได้ยังไง?
โหมวเจิ้งถิงถูกโหมวยู่ถามจนพูดอะไรไม่ออกเขาลืมตาขึ้น และไม่มองเขาอีก
“เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ฉันก็ไม่อยากไล่ตามแกอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้โม่หยวนผิงก็อยู่ติดคุกไปแล้วและเป้าหมายของแกก็บรรลุผลแล้ว” การแสดงออกของเขาเศร้าเล็กน้อย “ฉันแค่อยากมาเตือนแกสักคำว่า อย่างไรเสียเขาก็เป็นพี่ชายของฉันมาหลายปีเมื่อตอนที่แกยังเด็ก แกก็เรียกเขาว่าคุณลุงโม่ด้วยความเคารพ อย่าทำอะไรที่มันตัดญาติขาดมิตรไปกว่านี้เลย”
โหมวยู่เข้าใจความหมายของโหมวเจิ้งถิง
การเรียกเขามาครั้งนี้ก็เพื่อต้องการจะฆ่าความกล้าหาญฮึกเหิมของเขาอย่างแน่นอน และถือโอกาสบังคับให้เขาปล่อยตัวไปโม่หยวนผิง
“ส่วนเรื่องของโม่โม่นั้นเขาคงยังไม่บอกดีกว่าเพราะเขาก็มีแค่ลูกสาวคนหนึ่งและตอนนี้เขาก็ติดคุกแล้วด้วยซึ่งเขาไม่เหลืออะไรอีกแล้วและเขาก็อายุ 50 กว่าแล้วกว่าจะออกจากคุกคงไม่มีความสามารถที่จะอยู่ต่อแล้วมั้ง หรือแม้แต่คนที่จะดูแลในยามแก่เฒ่าก็ไม่มีแล้ว แม้จะทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงอีกแค่ไหนก็ยังต้องชดใช้”
“ชดใช้งั้นเหรอ?” โหมวยู่ยิ้ม “แม่ของผมที่ตายนั้น หนึ่งร่างกับสองชีวิต เขาจะเอาอะไรมาชดใช้งั้นเหรอ? ถ้าเขาตาย แล้วสามารถคืนพวกเธอกลับมาได้ ผมคงจะฆ่าเขาให้ตายเมื่อ 20 ปีก่อนแล้ว!
”
แล้วคุณล่ะ!” โหมวยู่จ้องเขา “คุณคิดว่าคุณสามารถชดใช้ได้งั้นเหรอ? ผมจะบอกให้นะ ทั้งชาตินี้ผมจะไม่มีวันให้อภัยคุณเลย ไม่ว่าคุณจะน่าสงสารขนาดไหน ผมจะไม่ให้ความเห็นใจคุณเลยแม้แต่น้อย ทั้งแม่ น้องสาว คุณป้า และคุณตาคุณยายของผม สิ่งที่คุณเป็นหนี้พวกเขานั้น คุณไม่สามารถชดใช้ได้หมดหรอก คุณควรจะมีชีวิตอยู่อย่างนี้ ทนทรมานทั้งวันทั้งคืน และทุกคนจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายไปจนตาย!”
“คุณชายรองครับ!” โจวฝูไม่สามารถทนฟังได้อีกต่อไป “ถึงแม้ปกติแล้วนายท่านจะเข้มงวดกับคุณชายไปหน่อย แต่เขาก็เห็นความสำคัญของคุณอยู่เสมอนะครับ เรื่องของภรรยาอาจเป็นเพราะเขาไม่ทำตามหน้าที่ แต่เมื่อครั้งที่นายท่านตระกูลเซิ่งกับคุณนายยังมีชีวิตอยู่นั้น นายท่านปฏิบัติต่อพวกเขาเสมือนพ่อแม่โดยกำเนิด และคุณเยียนหัว เรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้น…”
“โจวฝู!” เมื่อโหมวเจิ้งถิงเห็นโจวฝูพูดถึงเรื่องนี้ก็รีบห้ามเขาไว้ “ใครอนุญาตให้แกพูดมากอย่างนี้!”
“นายท่าน” คำพูดของโจวฝูหยุดลง มีบางอย่างที่เขาเกือบจะพูดออกไปแล้ว แต่เมื่อเห็นสายตาที่เตือนของโหมวเจิ้งถิง เขาก็กลืนมันลงไปอีกครั้ง
“แกไม่จำเป็นต้องหยิ่งขนาดนี้หรอก” โหมวยู่ไม่ได้สนใจในบรรยากาศที่ลึกซึ้งลุ่มลึกของพวกเขาก่อนหน้านี้เลย “คำพูดของคุณน่ะ ผมไม่เชื่อเลยแม้แต่ตัวอักษรเดียว”
โหมวเจิ้งถิงจ้องมาที่เขาซึ่งผ่านดวงตาคู่นั้น เขาก็สามารถเห็นได้ว่ามันก็เป็นแค่ความเกลียดชัง แต่ท้ายที่สุดเขาก็ละสายตาไป
เขาใช้ไม้เท้ายันกับพื้นแล้วประคองตัวเอง จากนั้นก็ค่อยๆ ยืนขึ้นพร้อมกับเดินเข้าไปในห้องโถงชั้นใน แต่หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดอีกครั้งเขาหันหน้ามา “ได้ยินมาว่า แกและนังหนูชางหลิงนั่นจดทะเบียนสมรสกันแล้วงั้นเหรอ?”
สายตาโหมวยู่คมขึ้นมาในทันที เมื่อเกี่ยวถึงชางหลิงเขาก็เป็นเหมือนเม่นตัวหนึ่งที่แผ่หนามทั้งหมดในทันที
แส้ที่เขาถือไว้ในมือ ดูเหมือนว่าแค่โหมวเจิ้งถิงกล้าทำอะไรลงไป เขาก็จะทำอะไรบางอย่างแน่นอน
“ฉันรู้จักนิสัยคุณดี เรื่องไหนที่คุณยอมรับอย่างแน่นอน แม้จะใช้วัวเก้าตัวก็ดึงคุณกลับไม่ได้แต่ที่ผมมีชีวิตอยู่มาหลายปีนี้ ดูเหมือนว่าจะผมแม่นกว่าคุณเยอะ”
“ผู้หญิงคนนั้น มันไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่คุณเห็นหรอก”