พอรุ่งสางชางหลิงและกลุ่มคนของเธอก็ขึ้นรถและออกจากโรงแรมไป
ทั้งโม่โม่และเจสันก็ถูกพาไปที่รถอีกคันและเดินทางกลับตามพวกเขาไป
ชางหลิงเปิดหน้าต่างและมองทิวทัศน์ที่ผ่านไปมาเธอก็ทอนหายใจอย่างอดไม่ได้
“ทำใจไม่ได้เหรอ?” โหมวยู่ที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วมองดูท่าทางแบบนี้ของเธอเขาถามเธอด้วยการเอียงหน้าเล็กน้อย
ชางหลิงถอนหายใจเบาๆพร้อมกับเลิกคิ้ว”ต้องรู้ว่า งานแฟชั่นที่ทุกคนทุกครอบครัวต่างออกมาจากตรอกซอยทั้งหมดเพื่อที่จะมาเฉลิมฉลองหรือต้อนรับเช่นนี้มันไม่ได้มีบ่อยๆ นะครั้งต่อไปที่จะมามิลาน ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ และไม่รู้ว่าทั้งชีวิตนี้ของฉัน จะยังมีโอกาสมามิลานอีกไหม”
ถ้าไม่ใช่โหมวยู่บางทีเธออาจไม่ควรมาปรากฏตัวที่นี่เพราะดีไซเนอร์มือใหม่จะต้องใช้เวลากี่ปีในอาชีพด้านนี้ถึงจะประสบความทุกข์ยากต่างๆ แล้วเข้าสู่วังแห่งความฝันนี้ได้?
“ถ้าคุณชอบที่นี่ เราก็สามารถซื้อบ้านที่นี่ และมาอาศัยอยู่ที่นี่เป็นครั้งคราวได้นิ” โหมวยู่แสดงอารมณ์ออกมามากเกินไป
เมื่อชางหลิงได้ยินดังนั้นเธอก็หันหน้ามาจ้องเขาอย่างเมินเฉย “สิ่งที่เรากำลังพูดถึงนั้นมันไม่เกี่ยวอะไรกับสิ่งของเลยสักนิดนะว่าไหม?”
“คุณนี่ไม่เข้าใจความรู้สึกในจิตใจของคนที่มีอุดมการณ์และความทะเยอทะยานเหมือนเราเลย”
โหมวยู่เหลือบมองเธอเบาๆ “ผมเป็นนักธุรกิจคนหนึ่ง สามารถแก้ปัญหาด้วยเงินได้ ดังนั้นผมจึงมักจะไม่รบกวนความรู้สึกในจิตใจ”
ชางหลิงเบะปากและไม่ได้พูดอะไรจากนั้นรถก็เข้าโค้งและเธอที่นั่งในที่นั่งของเธอ ก็ขึ้นไปมองดูรถด้านหลังจากทางหน้าต่าง ไม่รู้ทำไม ในใจมักจะรู้สึกไม่สบายใจ
และในขณะนี้ โม่โม่ก็กำลังนั่งอยู่ในรถสีดำด้านหลังเช่นกัน
สีหน้าเธอเยือกเย็น แต่ในเวลานี้ เธอกลับแหงนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง จากมุมมองของเธอสามารถเห็นเงาร่างของชางหลิงในรถที่อยู่ตรงหน้าเธอพอดี
ใบหน้านั้นของเธอหัวใจที่เหมือนกับน้ำนิ่งก็กระตุ้นระลอกคลื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอก้มหน้าลง และมองมือของเธอที่ถูกมัดด้วยถุงพลาสติกด้วยรอยยิ้มที่ตัดเยื่อใยในปากของเธอ
เจสันที่นั่งข้างๆ เธอก็บาดเจ็บไปทั้งตัวเหมือนกับเธอเช่นกัน เขากำลังเอนหลังพิงเก้าอี้และหลับตาเพื่อพักสมองราวกับว่าเขาล้มเลิกการต่อต้านและยอมรับความจริงที่ว่าโหมวยู่ต้องการพาเขากลับมาที่ประเทศจีน
โม่โม่เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ด้วยรอยยิ้มที่เยาะเย้ย
ซึ่งรถที่พวกเขาอยู่มีเพียงสามคนเท่านั้นนอกจากพวกเขาแล้ว ก็มีคนขับเพียงคนเดียว อาจเป็นเพราะโหมวยู่มั่นใจในตัวเองมากเกินไปและรู้สึกว่าพวกเขาถูกทำร้ายจนกลายเป็นแบบนี้แล้ว คงไม่มีความสามารถในการต่อต้านได้แล้ว
ทั้งหน้าและหลังล้วนเป็นคนของโหมวยู่หากจะหนีออกไปมันก็คงเป็นไปไม่ค่อยได้
น่าเสียดาย ที่โม่โม่ก็ไม่ได้คิดหนีเลย!
และขบวนรถก็แล่นไปถึงบนสะพานลอยเนื่องจากพวกเขาตื่นเช้า คนขับรถก็ยังรู้สึกง่วงเล็กน้อย เขาตีและหาวนอน ซึ่งขณะนั้นเองโม่โม่ก็รีบลุกจากเบาะหลังแล้วกระโจมเข้าไป แย่งพวงมาลัยจากมือของคนขับรถอย่างบ้าคลั่ง
“คุณโม่ครับ! คุณกำลังจะทำอะไร?” คนขับรถตกใจ แม้แต่จะเหยียบเบรกก็ยังไม่ทัน ในขณะที่กำลังต่อสู้กับเธออยู่นั้นรถก็วิ่งเข้าไปชนรถของพวกโหมวยู่ที่อยู่ตรงหน้าเขา
“ชางหลิงไปตายสะ!” โม่โม่ตะโกนอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ด้วยใบหน้าที่ดุร้าย
ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ชางหลิงมามาเยี่ยมเธอเธอก็มักจะฝันร้ายทุกครั้งที่หลับ และในความฝันนั้น เธอถูกชางหลิงขังไว้ในโรงพยาบาลโรคจิตเหมือนกับขังคนบ้าไปตลอดกาลอย่างนั้น
เธอไม่อยากอยู่อย่างนั้นแทนที่จะท้อแท้ไปอีกครึ่งชีวิตเธอจะลุกขึ้นต่อสู้กับมันในตอนนี้ และตายไปพร้อมกับเธอ
เสียงแตรของรถก็ดังขึ้น และเสียงรถบนสะพานก็ดังขึ้นมาจากทั้งสี่ด้านทันทีเมื่อฉู่ฉื่อเห็นความแปลกของรถคันหลังด้วยสายตาที่เฉียบคม เขาจึงรีบหมุนพวงมาลัย ด้วยความอยากที่จะหันรถไปด้านข้าง
“คุณชายรองครับคุณชางระวัง!” ฉู่ฉื่อส่งเสียงตะโกน
ชางหลิงยังไม่ทันได้หันไปมองด้านหลัง ก็รู้สึกว่าตัวโหมวยู่โผเข้ามาหาเธอแล้วและเขาก็ปกป้องเธอไว้ภายใต้ตัวเขาโดยไม่ลังเลใดๆ
“โม่โม่! เธอบ้าไปแล้วเหรอ?” เจสันตกใจอย่างกระวนกระวายเมื่อเห็นการกระทำที่กำลังแย่งพวงมาลัยของโม่โม่ เธออยากจะฆ่าเธอให้ตายงั้นเหรอ แล้วเขามีสิทธิ์อะไรต้องมารั้งเธอไว้ด้วย?
เมื่อเห็นว่ารถของพวกเขากำลังจะชนท้ายรถด้านหน้าเจสันก็อดทนกับความเจ็บปวดบนตัวเขา แล้วลุกขึ้นรีบดึงมือของโม่โม่กลับมา “ปล่อยฉันนะ! ฉันยังไม่อยากตาย!”
โม่โม่ติดอยู่ในภวังค์ของความบ้าคลั่งแล้ว ซึ่งในสายตาของเธอตอนนี้เหลือเพียงความคิดเดียวนั่นก็คือเธออยากตายไปพร้อมกับชางหลิงเพราะเธอเสียโอกาสมามากแล้วและครั้งนี้ก็เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของเธอแล้ว
“ไปตายสะ! ไปตายสะ!” โม่โม่ไม่สนใจในความเจ็บปวดบนตัวเธอได้อีกต่อไปราวกับว่าเนื้อหนังบนร่างกายเธอมันไม่ใช่ของเธออีกต่อไป แม้ว่าเจสันจะบีบบาดแผลที่แขนของเธอจนเลือดไหลออกมา เธอก็ยังไม่มีทางปล่อยพวงมาลัยเด็ดขาด
คนขับรถยังตกใจจนทำอะไรไม่ถูกกระทั่งเหยียบเบรกไม่ทันเขาต่อสู้กับโม่โม่ที่ยืนกรานและเจสันที่ดึงรถออกไปอีกฝั่งอย่างแรง จนรถกลับทิศทางอย่างรวดเร็ว ซึ่งหลังจากที่ชนท้ายรถคันหน้าแล้วมันก็พุ่งตรงไปยังราวจับของสะพาน
คนขับรถตกใจจนสีหน้าซีดเซียวเขาจึงรีบเหยียบเบรกอย่างหนาแน่นทันที แต่รถก็พุ่งออกจากราวจับไปแล้ว ซึ่งมันก็ติดอยู่ตรงกลาง และขึ้นๆ ลงๆ อยู่อย่างนั้น
ซึ่งสะพานนี้ก็สูงหลายสิบเมตร ถ้าตกจากนี้ลงไปแค่กลัวร่างกายจะแหลกเหลวและตายอย่างน่าเศร้าสลด
เห็นได้ชัดว่าโม่โม่ก็ตกตะลึงถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อครู่ที่เจสันดึงเธอบางทีตอนนี้รถที่พุ่งลงสะพานไปคงเป็นรถของคันนั้นของชางหลิงพวกเขาแต่ตอนนี้…
ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว
คนขับรถรีบปลดเข็มขัดนิรภัยออก และประตูรถก็ยังเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง เขาจึงรีบหนีออกมาจากรถทันที เมื่อเขาเหยียบลงพื้น ตัวเขาก็โซเซ และเกือบจะล้มลงกับพื้น
รถของฉือก็ถูกบังคับให้หยุดเช่นกัน และไฟท้ายรถก็ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง ชางหลิงหลับตาลง เพราะเดิมทีเธอก็คิดว่าเธอคงถึงคราวที่จะหลบหนีแล้ว แต่หลังจากการชนกัน การเคลื่อนไหวทั้งหมดก็หายไปโดยสิ้นเชิง
โหมวยู่เป็นคนแรกที่ตอบสนองกลับมา เขาหันหน้ามาแล้วเห็นรถคันนั้นติดอยู่บนราวจับผ่านหน้าต่างด้านหลัง
และรถก็ค่อยๆ หยุดนิ่งขึ้นมาแต่สถานการณ์อีกครึ่งของรกลอยอยู่ในอากาศมันก็ชวนให้น่ากลัวอย่างยิ่ง แต่เมื่อเห็นว่าคนขับรถออกจากรถแล้ว เจสันก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง เขารีบเปิดประตูรถ ทนกับความเจ็บปวดรวดร้าวบนตัวและคลานไปลงมาจากรถ
ชางหลิงลงมาจากรถและฉากที่อกสั่นขวัญหายเมื่อครู่ก็ทำให้หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้น ซึ่งตำแหน่งของรถที่อยู่ข้างหน้าเธอนั้นก็ทำให้เธอตกใจอีกครั้ง
โม่โม่นี่จะบ้าเกินไปแล้วนะถึงขั้นนี้แล้ว ยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอ
โหมวยู่เดินไปข้างๆ เธอ และมองดูเธอจากหัวจรดเท้า หลังจากที่แน่ใจว่าเธอไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร เขาจึงโอบไหล่เธอไว้“คุณไปกับฉู่ฉื่อก่อน ปล่อยที่นี่ให้ผมจัดการเอง”
ชางหลิงส่ายหัวเธอจับโหมวยู่ไว้แน่น แล้วมองไปที่โม่โม่ที่อยู่ในรถ ด้วยกันกับเขา
ตอนที่คนขับรถลงจากรถเขายังไม่ได้ถอดกุญแจออกและหน้าต่างก็ค่อยๆ ลดต่ำลง ส่วนโม่โม่ก็กลับมานั่งในตำแหน่งของเธอ ด้วยใบหน้าที่ซีดเซียวเหมือนอย่างกระดาษเธอมองไปยังทิศทางของโหมวยู่และชางหลิงด้วยการแสดงออกที่ไม่แยแส
สุดท้าย…สุดท้ายก็ยังคงแพ้
เบื้องบนช่างไม่เคยยืนอยู่ข้างเธอเลย
โม่โม่ยิ้มอย่างเงียบสนิท