ชางหลิงยิ่งกระอักกระอ่วน คำพูดนี้ชัดเจนว่าเป็นการพูดให้ฉินซางฟัง
เมื่อพูดถึงผู้หญิงใจง่าย ทั่วทั้งเมืองหนาน หากฉินซางอยู่อันดับสอง ก็ไม่มีใครกล้าเป็นที่หนึ่ง โมเดลในบริษัทคนไหนที่โดดเด่นมีใครไม่มีเรื่องอื้อฉาวกับเขาบ้าง
หลังจากผ่านเรื่องของไทเลอร์ เมิ่งเคอปล่อยวางเรื่องผู้ชายไปนานแล้ว ฉินซางกับไทเลอร์ดูไปแล้วก็ประเภทเดียวกัน อยากทำให้เธอหวั่นไหว เกรงว่าคงไม่ง่ายนัก
ชางหลิงส่งเสียงหัวเราะฮ่าฮ่ากลบเกลื่อนบรรยากาศระหว่างหลายๆ คนที่เริ่มเย็นยะเยือก
โชคดีที่ในไม่ช้า ต้วนเหิงก็พาภรรยาของเขาเข้ามา เขาอุ้มเด็กผู้หญิงอายุประมาณสามขวบในอ้อมแขน สองดวงตากลมน่ารักน่าชัง
พี่สะใภ้ต้วนค่อนข้างแตกต่างจากที่ชางหลิงจินตนาการไว้ เดิมทีเธอคิดว่าคนที่สามารถพอจะทำให้ผู้ชายที่ดีเยี่ยมแบบต้วนเหิงฝากใจไว้ได้ อย่างไรก็ต้องสวยมากๆ แบบเมิ่งเคอ แต่เมื่อเห็นตัวจริง เธอไม่สูงเช่นเดียวกับชางหลิง รูปร่างค่อนข้างอ้วน เพียงแต่ดวงตาคู่นั้น เหมือนกันกับสาวน้อยในอ้อมแขนของต้วนเหิง สดใสมาก พาให้คนรู้สึกสนิทใจเมื่อได้มอง
“พี่รองต้วน พี่สะใภ้” ชางหลิงรีบเดินเข้าไป
พี่สะใภ้ต้วนค่อนข้างทำตัวไม่ถูก ต้วนเหิงจึงจับมือเธอและแนะนำให้เธออย่างอ่อนโยน “นี่คือคนที่ผมเคยเล่าให้คุณฟังไง ชางหลิง คุณชาง”
“นี่คือภรรยาของผม ลู่ซินเหอ และลูกสาวของผม อันอัน”
“คุณชาง” ลู่ซินเหอเกิดอาการอึดอัดเล็กน้อย ยื่นของขวัญในมือส่งให้ “พบกันครั้งแรก จึงเตรียมของขวัญเล็กน้อย คุณคงไม่รังเกียจนะคะ”
ชางหลิงยิ้มสดใส รับของขวัญจากลู่ซินเหอ “ได้ยินมานานแล้วว่าพี่รองต้วนมีภรรยาที่แสนวิเศษอยู่ที่บ้าน ปกครองเขาเข้มงวด ที่ไหนก็ไม่ให้ไป วันนี้ได้เห็นแล้ว เป็นพี่สะใภ้ที่อ่อนโยนมาก ไหนเลยจะเป็นเหมือนปากพี่รองตัวนที่พูดอย่างร้ายกาจ เห็นได้ชัดว่าเป็นเขาต่างหากที่กังวลหนักจนไม่สามารถปล่อยคุณไปไหนได้”
ลู่ซินเหอถูกชางหลิงพูดใส่แบบนี้ ทั้งใบหน้าจึงแดงด้วยความเขิน เอนพิงตัวต้วนเหิง ต้วนเหิงเองก็ยิ้ม มือหนึ่งอุ้มลูกสาว มือหนึ่งจับกระชับมือของเธอ “คุณอย่าไปล้อเธอ เธอหน้าบางมาก ถ้าทำให้เธอโกรธ ผมจะกลับบ้านไปง้อไม่ได้นะ”
ลู่ซินเหอตีไหล่ต้วนเหิงอย่างตำหนิ ชางหลิงหันมองไปอีกทาง ในใจอิจฉามาก
ได้ยินว่าพวกเขาเติบโตมาด้วยกัน ตลอดชีวิตต่างมีคนรักเพียงคนเดียว อยู่ด้วยกันมานาน จนลูกโตมากแล้ว แต่ก็ยังรักกันเหมือนคู่แต่งงานใหม่
ไม่รู้ว่าเธอกับโหมวยู่จะเป็นเหมือนพวกเขาหรือเปล่า หลายปีหลังจากนี้ จะอุ้มลูกและกลายเป็นครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูกที่หวานซึ้งแบบนี้หรือไม่
“คุณน้าคนสวย…” ชางหลิงออกจากภวังค์ อันอันลูกสาวในอ้อมแขนของต้วนเหิงใช้นิ้วชี้มาที่เธอ ส่วนปากก็พูดออกมา
ชางหลิงดวงตาเป็นประกาย เธอยื่นมือออกไป ทำท่าว่าเธอจะอุ้ม “คุณน้าขออุ้มได้ไหม”
ชางหลิงชอบหยอกเด็กตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะสาวน้อยคนนี้ที่น่ารักราวกับตุ๊กตา ยิ่งไม่สามารถปล่อยวางความชอบได้
ซึ่งอันอันก็ไม่ปฏิเสธ เห็นชางหลิงอ้าแขนให้ จึงทิ้งตัวเข้าหาอ้อมแขนของชางหลิงอย่างไม่เกรงใจ
ชางหลิงอุ้มเด็กน้อยนุ่มนิ่ม มือเล็กอวบอ้วนกับแก้มเล็กสามารถบีบจนป่องได้ น้ำเสียงเล็กๆ ที่เรียกเธออย่างออดอ้อนว่าคุณน้า ทำให้คนอื่นต่างเข้ามาดูอย่างครื้นเครง
การมีตุ๊กตามาเพิ่มทำให้ห้องอาหารที่แต่เดิมแห้งแร้งมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที กระทั่งโหมวยู่เดินนำถงเอินกับฉู่ฉือเข้ามา ที่นี่ก็มีเสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่วแล้ว
“มาแล้วเหรอ” ต้วนเหิงเข้ามาต้อนรับก่อนใคร
สีหน้าของโหมวยู่ไม่ค่อยดี เมื่อครู่เพิ่งแยกกันกับโหมวเจิ้งถิงไปอย่างไม่สบอารมณ์ รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก หลายปีมานี้ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
แต่เมื่อมาถึงที่นี่ เห็นชางหลิงเข้ากันได้ดีกับอันอัน อารมณ์ของเขาจึงได้รับการบรรเทาลงเล็กน้อย
ต้วนเหิงก็มองไปทางนั้นด้วย และพูดกับโหมวยู่ว่า “เธอดูชอบเด็กพอสมควรเลยนะ”
ชางหลิงหัวเราะเพราะท่าทางของอันอัน รอยยิ้มของเธอช่างบริสุทธิ์ หัวใจของโหมวยู่อ่อนยวบ แม้แต่น้ำแข็งหนาก็พลันละลาย
มันนานมากแล้วตั้งแต่ที่เขาไม่ได้เห็นชางหลิงยิ้มแบบนี้ ก่อนหน้าที่เขาจะเข้าใกล้เธอ เขามักจะดูเธอผ่านคลิปวิดีโอที่แอบถ่าย แต่เมื่อคนสองคนได้มาอยู่ด้วยกันจริงๆ เธอกลับสูญเสียความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาไปค่อนข้างมาก
“พวกคุณสองคนก็ถือว่าเปิดตัวแล้ว และใกล้จะแต่งงานกันแล้วด้วย ประมาณปีหน้า คุณก็จะได้เป็นพ่อ” ต้วนเหิงพูดอย่างนั้น “สำหรับผู้ชาย ไม่ว่ายังไงก็ตาม การมีภรรยาและลูกอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าอย่างมีความสุขถึงจะเป็นการใช้ชีวิตที่สุขสบาย แต่ทุกสิ่งภายนอกก็ล้วนเป็นภาพลวงตา”
โหมวยู่ยืนโง่ๆ ไร้การตอบสนอง
ภาพที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำผุดขึ้นมา ฉากที่แม่นอนจมกองเลือด และทารกที่ไม่มีลมหายใจในอ้อมกอดตัวเอง มันกระตุ้นประสาทของเขาอย่างบ้าคลั่ง
“เธอยังเด็ก” โหมวยู่พูดอย่างเย็นชา
เขาไม่อยากให้เธอต้องผ่านความเจ็บปวดนั้น แม้จะเป็นการให้กำเนิดชีวิตใหม่แก่พวกเขาก็ตาม
ทำไมเขาจะไม่เคยต้องการเด็กเพื่อที่จะได้ไม่ต้องโดดเดี่ยวยามแก่เฒ่า แต่ทันทีที่คิดว่าชางหลิงต้องทนแบกรับความเจ็บปวดเหล่านั้น เขาก็รู้สึกว่าที่จริงเป็นแบบตอนนี้ก็ดีมากแล้ว
ผู้หญิงของเขายังเด็ก เขาจะทนปล่อยให้เธอคลอดลูกได้อย่างไร
ต้วนเหิงรู้สึกได้ว่าความรู้สึกของโหมวยู่ค่อนข้างผิดปกติ จึงไม่พูดอะไรมากอีก ตบไหล่เขาแล้วส่วนตัวเองก็เดินไปทางภรรยา
เมื่อท่านประธานมาถึง บริกรจึงเสิร์ฟอาหารบนโต๊ะ ผู้ใหญ่สิบเอ็ดคนและเด็กหนึ่งคนนั่งเต็มโต๊ะ
ชางหลิงถือแก้วไวน์ มองเหล่าผู้คนที่อยู่ตรงหน้า หัวใจพลันพรั่งพรูความรู้สึก รู้จักกันมาเนิ่นนาน นับว่าเป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์ที่สุดครั้งหนึ่ง แถมยังเป็นปีหนึ่งที่คึกคักที่สุดของเธอด้วย
เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลายปีต่อจากนี้ เมื่อทุกอย่างจบลง เหล่าผู้คนที่นั่งอยู่ที่นี่ตอนนี้ ยังคงสามารถนั่งอยู่ด้วยกันต่อไปได้หรือไม่
เมื่อถึงเวลานั้น จะเป็นภาพแบบไหน พวกเขาจะอายุเท่าไรกันแล้วนะ
เมื่อมีการรวมตัวครั้งใหญ่ในร้านอาหาร ตกกลางคืน ดอกไม้ไฟพุ่งขึ้นผ่านหน้าต่างกระจกตรงเวลา สีสันสดใสเบ่งบานสะพรั่งเหนือเมือง ก้อนเมฆทุกก้อนล้วนเกิดสว่างวาบในช่วงเวลาสั้นๆ
ชางหลิงไม่ได้ผ่อนคลายมานานแล้ว ซูเสี่ยวเฉิงกับฉินซางผลัดกันดวลไวน์กับเธอไปเป็นจำนวนมาก เมื่อบริกรนำจานอาหารไปเก็บ เธอก็เมาเล็กน้อยแล้ว
“ยากที่จะมีโอกาสแบบนี้ พวกเรามาเล่นเกมกันเถอะ” เพื่อไม่ให้งานกร่อย ถงเอินจึงยกมือขึ้นเสนอก่อน
“ดีสิๆ มาเล่นtruth or dareกันเถอะ” ซูเสี่ยวเฉิงเห็นด้วย “ทุกคนที่นี่ต่างเป็นคนมีหน้ามีตาในเมืองนี้ เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เล่นเกมกับคนรวยมากมาย แทบรอไม่ไหวแล้วที่จะล่วงรู้ความลับเล็กๆ ของพวกคุณ”
“ชิ ไร้เดียงสา!” ฉินซางไม่เห็นด้วย สมควรแล้วที่เป็นสาวน้อยวัยเพิ่งยี่สิบต้นๆ น่าเบื่อจริงๆ
“ฉันว่าก็ดีนะ” เมิ่งเคอพูดออกมา
ฉินซางเลิกคิ้วเหลือบมองเมิ่งเคอ
คนอื่นไม่คัดค้าน ซูเสี่ยวเฉิงจึงพูดกับฉินซางอย่างหงุดหงิดว่า “คุณไม่มาก็ช่างสิ เราไม่ต้องการคุณอยู่แล้ว”
“ใครบอกว่าผมไม่เล่น” ฉินซางนั่งลงอีกครั้ง หยิบขวดไวน์จากด้านข้างมา “ผมกลัวว่าพวกคุณจะเล่นไม่ได้ต่างหาก”
“ใช้ขวดนี้ ถ้ามันหมุนไปหาใคร ก็เลือกพูดความจริงหรือไม่ก็ดื่มหนึ่งแก้ว” ฉินซางบอกกฎของเกม
ชางหลิงรู้สึกเวียนศีรษะนิดหน่อย แต่ก็ไม่อยากออกจากที่นี่เร็วนัก กำลังคิดหาตำแหน่งที่สะดวกสบาย แต่โหมวยู่กลับขยับเก้าอี้ของตัวเองเข้ามาใกล้เธอ ให้เธอเอนพิงแขนของเขา
ชางหลิงยิ้มมึนๆ เอื้อมมือลงใต้โต๊ะ ไปจับกระชับมือของโหมวยู่
เกมเริ่มขึ้น ขวดไวน์หมุนวนรอบโต๊ะอย่างรวดเร็ว หลังจากค่อยๆ หยุดลงช้าๆ บังเอิญว่าชี้เล็งไปยังตำแหน่งของชางหลิงพอดี
ชางหลิงเลิกคิ้วและพูดยานคางว่า “truth….”
“ดีๆๆ เอาคำถามของฉันก่อน” ถงเอินก็ดื่มไวน์จนเมานิดหน่อย จึงมีความกล้าขึ้นมา
“จูบแรกของคุณคือเมื่อไร”
ทันทีที่คำพูดนี่ออกมา ทั้งห้องก็เงียบลง แม้แต่ชางหลิงยังทึ่มทื่อไป อาการเมาเล็กน้อยค่อยๆ เจือจาง
ถงเอินไม่รู้ว่าเธอเคยมีแฟนมาก่อน แต่พวกหลีซินรู้ ถงเอินยังเต็มไปด้วยความคาดหวังที่จะได้ยินเรื่องน่าสนใจระหว่างชางหลิงและโหมวยู่ ไม่ได้เห็นเลยว่าสีหน้าของโหมวยู่นั้นคล้ำดำมืดไปเรียบร้อยแล้ว