ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก – บทที่ 242 ไม่พร้อมแต่งงาน

บทที่ 242 ไม่พร้อมแต่งงาน

มือหลีซินกำเมนูอาหารในมือแน่น แต่สุดท้ายมันก็หล่นลง

“นายทำอะไรอยู่” ทันใดนั้นเสียงของฉินซางก็ดังขึ้น เขาสวมชุดลำลอง ทำให้รูปลักษณ์ยิ่งดูน่าดึงดูด มายืนอยู่ข้างหลีซิน

หลีซินเหลือบมองเขาโดยไม่ได้พูดอะไร ฉินซางมองตามสายตาของเขา จนบังเอิญเห็นร่างของชางหลิงเข้าพอดี

ฉินซางกลอกตาและตบไหล่หลีซินเบาๆ “ฉันบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้ระวังความรู้สึกหน่อยน่ะเด็กน้อย”

“ฉันต้องระวังความรู้สึกอะไร” หลีซินรู้สึกสับสนไม่เข้าใจ

“ดวงตาของนายแทบจะยึดติดกับคนคนนั้นอยู่แล้ว กลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่านายสนใจเธอหรือไง สมองนายไม่ตื่นเหรอ เธอเป็นใครนายสำนึกไม่ได้เลยเหรอ นายอยากตายหรือไง”

ฉินซางเกินพอแล้วกับการต่อยตีของโหมวยู่ ครั้งก่อนที่พวกเขาสู้กันในสนามก็ปวดกระดูกไปเป็นร้อยวัน ตอนนี้ร่างกายเขายังไม่หายดีเลย

หลีซินติดตามโหมวยู่มานาน ทำไมจะไม่รู้ว่าโหมวยู่เป็นคนแบบไหน ใครที่กล้าละโมบผู้หญิงของเขา เดาว่าหัวจะต้องถูกบิดจนเกลียวหวานแน่ๆ

หลีซินยิ่งไม่เข้าใจว่าฉินซางพูดอะไรอยู่ เขาหันกลับไปมองอีกฝ่าย คิ้วขมวดจนเป็นปม “นายผิดปกติตรงไหนหรือเปล่า”

คำพูดของซูเสี่ยวเฉิงทำให้เขารู้สึกไม่ดี ตอนนี้ฉินซางยังมาพูดอะไรไม่รู้เรื่องอีก จึงทำให้เขาบังเกิดไฟโทสะที่ไม่รู้จักขึ้นมา

“ฉันหวังดี….” ฉินซางกำลังอธิบาย แต่หลีซินกลับผลักมือเขาออกอย่างอารมณ์ร้อน แล้วตัวเองก็หันหลังเดินออกไป

“นี่นาย ไอ้คนขี้โมโหเอ๊ย!” ฉินซางถูกผลักจนตัวเขาไปชนประตู ก่อนจะหันหน้ากลับไปตะโกนไล่หลังหลีซิน

“ฉินซาง?” เสียงของเขาดึงดูดสายตาของชางหลิง “คุณพูดกับใคร”

“ไอ้เด็กเหม็นหลีซินน่ะสิ” ฉินซางขยับคอเสื้อ เมื่อเห็นชางหลิงจึงเปลี่ยนสีหน้าอีกครั้ง แล้วเดินเข้าหาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะนั่งลงข้างเธออย่างเป็นกันเอง “ผมบอกเขาว่าอย่าทำท่าทำทางว่าชอบคุณให้ชัดเจนนัก จะได้ไม่ต้องโดนพี่ใหญ่ต่อย ปรากฏว่าเขายังจะมาโกรธ คุณว่านี่มันทำคุณบูชาโทษหรือเปล่าล่ะ”

อ่า….

ชางหลิงพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

ชางหลิงหันหน้าไปมองทางประตู ในที่สุดก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย

ใช่แล้ว การชอบใครสักคนไม่สามารถปกปิดได้ ความชอบที่เขามีต่อชางหลิงมันชัดเจนจนคนอื่นรับรู้ได้

“คุณอย่ามาล้อเล่นแบบนี้” ชางหลิงรีบหยุดคำพูดไร้สาระของฉินซาง ถ้าถูกโหมวยู่รู้เข้า แล้วส่งผลให้พวกเขาพี่น้องต้องแตกแยกกันมันก็แย่น่ะสิ

ฉินซางโบกมือ แล้วบริกรก็นำแก้วไวน์มาเสิร์ฟให้ เขารับมาอย่างสบายๆ และจิบมันเบาๆ

“แค่คุณสองคนเหรอ” ฉินซางมองไปรอบห้องอาหาร ไม่พบคนที่อยู่ในใจตัวเอง ก่อนจะเอ่ยถามออกมา

“โหมวยู่กลับไปบ้านตระกูลโหมว” ชางหลิงตอบ

“ใครบอกคุณว่าหมายถึงเขา เขาไปไหนเกี่ยวอะไรกับผมด้วย” ฉินซางพูดอย่างไม่ไยดี

ชางหลิงไม่เข้าใจ เธอจึงมองไปรอบห้องอาหารด้วย และทันใดนั้น ในใจก็เข้าใจอะไรขึ้นมาได้

“เธอไม่ได้อยู่กับคุณหรอกเหรอ ทำไมตอนนี้คุณถึงมาถามฉันแทนล่ะ” ชางหลิงพูดติดตลก

ซูเสี่ยวเฉิงฟังพวกเขาเล่นปริศนาใบ้คำ แล้วจู่ๆ ก็อยากรู้อยากเห็นขึ้นมา “พวกคุณพูดถึงใคร”

“สามารถำให้คุณชายฉินของเราละเมอเพ้อพกได้ นอกจากคนงามเมิ่งของเราแล้ว จะใครซะอีกล่ะ” ชางหลิงยิ้ม

ทันทีที่ฉินซางเห็นชางหลิงบอกคำตอบออกมาก็พลันรู้สึกเบื่อหน่าย “ผู้หญิงนี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดจริงๆ คุณว่าผมแย่มากไหม แต่ผมมีห้องสวีทสุดหรูที่ตกแต่งตามมาตรฐานของNovaที่ไม่ได้อยู่มากมาย ถ้าไปเช่าพวกห้องพัก มันก็ทำให้ผมเหมือนเลี้ยงผู้หญิงคนเดียวไม่ได้น่ะสิ”

แน่นอนว่าชางหลิงรู้นิสัยของเมิ่งเคอ ภายนอกเธอเป็นคนเย็นชา เข้ากับคนอื่นได้ยาก โดยธรรมชาติแล้วจึงไม่ชอบสถานที่ที่มีคนเยอะๆ บริษัทของฉินซางมีโมเดลชายหญิงนับไม่ถ้วน อีกทั้งเธอเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างแรงกล้า ในเมื่อคิดจะไปบริษัทของฉินซาง โดยธรรมชาติแล้วจึงไม่ต้องการมีความสัมพันธ์แบบอื่นกับเขา

อีกอย่าง ฉินซางมีนิสัยเพลย์บอย เกรงว่าจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เมิ่งเคอแลตามอง

“เธอบอกคุณเรื่องที่คิดมาบริษัทของคุณหรือเปล่า” ชางหลิงถามอย่างสงสัย

“บอก” ฉินซางมีท่าทีไม่เห็นด้วย “เพราะงั้นผมถึงรู้สึกว่ามันแปลก ในเมื่อบอกว่าจะมา แล้วจะย้ายออกไปทำไม เธอเป็นคนที่มีคุณการันตีอยู่ โดยธรรมชาติแล้วเธอสามารถเลือกได้ทุกตำแหน่งในบริษัทของผม ความสัมพันธ์ของพวกเรา ยังต้องให้พูดอะไรอีก”

เมื่อได้ยินอย่างนี้ ชางหลิงก็นับว่าเข้าใจแล้วกับเหตุผลที่เมิ่งเคอย้ายออก

เมิ่งเคอเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรีและเด็ดเดี่ยว ที่ฉินซางทำ มันชัดเจนว่าที่รับหล่อนเพราะเห็นแก่หน้าเธอ แล้วเช่นนี้จะทนได้อย่างไร

ชางหลิงกำลังจะอ้าปากพูด แต่เมิ่งเคอกลับเดินมุ่งหน้ามาจากทางห้องน้ำพอดี

วันนี้เธอสวมเสื้อคลุมยาวสีขาว กับผมสีดำยาวตรงของเธอ การปะทะกันของสองสีนั้นเข้ากันกับริมฝีปากสีแดงธรรมชาติไร้การเติมแต่ง เมื่อมองจากในระยะไกล ทำให้น่ามองมาก

เมื่อเห็นเมิ่งเคอ ฉินซางที่ตอนแรกนั่งปล่อยตัวตามสบายก็ยืดตัวตรงทันที เขาหันสายตาหนีไม่มองเธอ แต่ลมหายใจกลับเปลี่ยนจังหวะ

แต่ปฏิกิริยาเหล่านี้ถูกชางหลิงเห็นทั้งหมด เธอมองฉินซางด้วยสีหน้ารู้ทัน แล้วยิ้มขึ้นมา

“เมื่อครู่ฉันไปรับโทรศัพท์มา” เมิ่งเคอย่อตัวนั่งลงข้างซูเสี่ยวเฉิงอย่างสง่างาม อยู่ฝั่งตรงข้ามกับชางหลิงและฉินซาง

บนใบหน้าเธอมีรอยยิ้มจางๆ แต่สายตากลับไม่ไปตกที่ตัวของฉินซางเลยแม้สักวินาที

“ไม่เป็นไร ยังไงตอนนี้อาหารก็เพิ่งมา พี่รองต้วนกับภรรยาเขายังไม่ถึงเลย” ชางหลิงตอบ

“รับสายของใคร” ความสนใจของฉินซางเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องนี้ กลับกันกลับถามเมิ่งเคออย่างค่อนข้างไม่พอใจ

เมื่อเขาส่งเสียงออกมา ในที่สุดเมิ่งเคอก็เหลือบมองเขา แต่บนใบหน้ากลับกลายเป็นรอยยิ้มเหินห่าง “คุณชายฉิน ไม่ต้องพูดถึงที่ว่าตอนนี้ฉันยังไม่ใช่พนักงานในบริษัทของคุณ หรือต่อให้เป็นแล้ว ฉันต้องรายงานคุณแม้แต่การโทรศัพท์ด้วยเหรอ”

“ผม….” ฉินซางสำลักกับคำพูดของเธอ เขาวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะด้วยความไม่พอใจอย่างมาก “ไม่บอกก็ช่างสิ เหมือนกับว่ามีใครอยากฟังอย่างนั้นแหละ”

เมิ่งเคอขยับสายตาบางเบา ไม่มีความสนใจอารมณ์เล็กน้อยของฉินซาง

“เมิ่งเคอ” ชางหลิงเห็นบรรยากาศของพวกเขาทั้งคู่ผิดปกติ จึงรีบขัดจังหวะ “อาการบาดเจ็บของคุณเป็นยังไงบ้าง”

“ดีขึ้นมากแล้ว” เมิ่งเคอยิ้มอย่างสุภาพ “มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรมาก ไม่กระทบต่อการโชว์บนเวทีในอนาคต”

“เพียงแต่เสียดาย ที่ฉันไม่ได้ไปกับคุณจนถึงที่สุด”

เมื่อชางหลิงได้ยินเธอพูดอย่างนั้น ในใจยังค่อนข้างเกิดความรู้สึกผิด “เป็นฉันต่างหากที่ทำให้คุณผิดหวัง สุดท้ายแล้วฉันยังจะ….”

“ฉันรู้หมดแล้ว” เมิ่งเคอปลอบเธอ “คุณทำถูกแล้ว”

เมื่อเทียบกับชางหลิง เมิ่งเคอเห็นได้ชัดว่าสงบนิ่งกว่า “หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย ที่จริงฉันคิดจนเข้าใจนานแล้วว่ายิ่งคิดไล่ตามอะไร ยิ่งอยากได้อะไร ที่เรียกว่าเกียรติยศ ที่จริงมันก็แค่คำเรียกปลอมๆ คุณยังเด็ก มีทั้งความสามารถและปัจจัยภายนอกที่ยอดเยี่ยม ไม่จำเป็นต้องอายตัวเอง ตราบใดที่มีความสุขก็เพียงพอแล้ว”

ชางหลิงค่อนข้างซาบซึ้งสะเทือนใจ

ตลอดชีวิตของเธอ นับว่าเป็นครึ่งชีวิตที่ไร้แก่นสาร และไม่มีญาติสนิทที่สามารถไว้วางใจได้ มีเพียงเพื่อนกลุ่มนี้ แต่ละคนล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าของเธอ

ฉินซางมองไปที่เมิ่งเคอตลอดเวลา ตอนที่เธอพูดถ้อยคำเหล่านี้นั้นสีหน้าเรียบเฉย อารมณ์เย็นชาของเธอเข้ากันดีกับรอยยิ้มอันงามสง่าของเธอ ไม่รู้ว่าทำไม มันส่งผลให้หัวใจของเขาจั๊กจี้เล็กน้อย

“จริงสิ คุณกับโหมวยู่กำลังเตรียมงานแต่งกันนี่นา” เมิ่งเคอเห็นชางหลิงค่อนข้างเศร้า จึงถามเธอยิ้มๆ

“ฮะ?” ชางหลิงชะงักไปเล็กน้อย เมื่อคิดถึงโหมวยู่ขึ้นมา หัวใจของตัวเองก็วาบหวามอีกครั้ง “ก็ต้องดูที่เขา เมื่อถึงเวลาที่กำหนด พวกคุณทั้งคู่ต้องมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้ฉันนะ”

ซูเสี่ยวเฉิงยิ้ม “เธอกล้าเชิญหล่อนมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวเหรอ กลัวว่าเมื่อถึงตอนนั้นหล่อนจะแย่งซีนโดดเด่นของเจ้าสาวอย่างเธอไปซะหมดน่ะสิ”

หญิงสาวทั้งสามคนหัวเราะให้กัน

“แล้วคุณล่ะ คุณมีแผนอะไรไหม” จะดีร้ายฉินซางก็เป็นพี่น้องของโหมวยู่ ชางหลิงจึงยื่นมือช่วยเหลือ “คุณพร้อมแต่งงานเมื่อไร”

“ฉันเหรอ” เห็นหัวข้อมาถึงตัวเอง เมิ่งเคอก็ลังเลไปครู่หนึ่ง

เธอสามารถรู้สึกได้ถึงสายตาที่พุ่งมาจากทางฝั่งฉินซาง สองมือเธอซ้อนทับกัน ยิ้มและพูดว่า “ฉันไม่พร้อมแต่งงาน”

“ชีวิตคนเราไม่มีเรื่องอะไรจำเป็นต้องทำ คุณก็รู้ ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนบนโลกที่จะทำตัวสะอาดหมดจดไร้หญิงอื่นอย่างโหมวยู่ ฉันเกลียดผู้ชายที่หมกมุ่นอยู่กับผู้หญิงทุกประเภท แทนที่จะเสียเวลาไปกับพวกเขา ไม่สู้ใช้ชีวิตอย่างอิสระดีกว่า”

ใบหน้าของฉินซางดำคล้ำทันที

ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก

ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก

Status: Ongoing

เธอสุขใจมากล้นเตรียมที่จะแต่งงานกับแฟนหนุ่มที่คบกันมาหลายปี แต่คืนก่อนวันแต่งงานกลับรู้ว่าแฟนหนุ่มนอนกับน้องสาวต่างสายเลือดด้วยความโกรธครอบงำชางหลิงใช้เงินซื้อผู้เชาย หลังเมาก็ร้องจะนอนกับเจ้าของคลับ ยังถูกคนหลอกแต่งงานเมื่อตื่นขึ้นมา ไม่คาดว่าถูกคนกลับเรียกเธอว่าพี่สะใภ้ เฮียคือใครกันนะ“ยมบาลแสนเย็นชา”ซึ่งอยู่ทั้งสายขาวสายดำแห่งเมืองหนานที่ทุกคนต่างเกรงกลัว แถมยังเป็นผู้นำที่มีอำนาจทั้งตระกูลโหมวและในบริษัทเซิ่งซื่อกรุ๊ปแต่ข่าวลือว่ากันว่าเขาไม่เข้าใกล้ผู้หญิงไม่ใช่หรอ เขาชอบผู้ชายด้วยกันไม่ใช่หรอแต่ทำไมถึงเป็นเพราะผู้หญิงอ่อนแออย่างเธอถึงกับทุกวันไม่อยากลงจากเตียง จริงอย่างคาดคิด ข่าวลือล้วนแต่หลอกลวงโดยสิ้นเชิง

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท