ไม่รู้ว่าเธอคิดมากไปหรือเปล่า ชางหลิงรู้สึกว่าจี้เหยากวงเหมือนจะปฏิบัติต่อโหมวยู่พิเศษกว่าคนอื่น
หล่อนเอาแต่เรียกพี่ยู่อยู่นั่นแหละ ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
“กินสิ” โหมวยู่ก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เขาไม่ได้สนใจจี้เหยากวง แต่แค่พูดอย่างเรียบเฉย
“เหยากวง ตอนนี้เธอน่าจะยี่สิบแล้วใช่ไหม ฉันจำได้ว่าครั้งก่อนพวกเราเจอกันเธอพึ่งจะสิบห้าเอง ตอนนั้นฉันยังล้อเล่นกับพี่ชายเธอว่าให้เธอแต่งงานกับฉันอยู่เลย” ฉินซางพูดให้บรรยากาศรื่นเริง
“นายก็พูดกับผู้หญิงแบบนี้ทุกคนไม่ใช่เหรอ?” หลีซินมองบน “ลูกสาวบ้านผู้พันหวางพึ่งหกขวบ นายก็บอกว่าจะขอแต่งงานด้วย คนอื่นพึ่งจะเขียนจดหมายรักถึงนายเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง”
ทุกคนต่างหัวเราะครืนกันใหญ่ พอเปิดประเด็นขึ้นมา ต่างคนก็ต่างพูดขึ้นมาไม่หยุดหย่อน
จี้เหยากวงกับพวกเราเมื่อก่อนเคยเจอกันแล้ว หล่อนยังเคยอยู่ที่ค่ายทั้งวันหยุดฤดูร้อน สองเดือนนั้น หล่อนกับพวกเราอยู่ด้วยกันตลอด และยังเคยมีเรื่องสนุกสนานมากมายเกิดขึ้นระหว่างนั้น
พวกเขาย้อนความหลังถึงค่ายทหารนั้น จี้เหยากวงได้ฟังและได้เห็นจากพี่ชายตัวเอง ก็เลยยังพอพูดตอบโต้ได้บ้าง แต่ชางหลิงกลับเงียบตลอดการสนทนานั้น
ช่วงเวลานั้น เธอไม่ได้เข้าร่วมด้วย และไม่เคยเข้าใจ จึงทำได้แค่เป็นผู้ชมและรับฟังแทน
โหมวยู่กับพูดคุยกับจี้เหยากวงอย่างสนุกสนาน เป็นธรรมชาติขนาดนั้น เหมือนกับพี่ชายที่เอ็นดูน้องสาวจริงๆ
เขาไม่รู้สึกเลยว่าที่นั่งแบบนี้ไม่ผิดปกติอะไร ระหว่างตัวเองกับภรรยามีคนแปลกหน้ามากั้นเอาไว้ เขากลับไม่สนใจอะไรเลย
“พี่สะใภ้” หลีซินเรียกเธอ นับว่าหยุดการสนทนาบนโต๊ะอาหารไว้อย่างบังคับ เขาคีบน่องไก่ให้กับเธอ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ชอบกินไก่สับของเชฟเซี่ยที่สุดนี่ ลองชิมดูสิ ผมรู้ว่าพี่ชอบกัน เลยตั้งใจเก็บเอาไว้เป็นอาหารส่งท้ายปีเก่าด้วยนะ”
ชางหลิงเงยหน้าขึ้น เธอรู้ว่าหลีซินไม่อยากให้ตัวเองถูกเมินเฉย จึงตั้งใจทำแบบนี้
“อืม” เธอคีบน่องไก่ขึ้นมากินหนึ่งคำ
ตะเกียบในมือโหมวยู่หยุดชะงัก เขามองดูระยะห่างระหว่างถ้วยเขากับชางหลิง ขณะนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปทันที
“พี่ยู่” เสียงของจี้เหยากวงเล็กลง “ฉันไม่ควรนั่งตรงนี้หรือเปล่าคะ……”
คิ้วชางหลิงกระตุกเล็กน้อย เธอกวาดสายตาจ้องมองไปที่จี้เหยากวง เงียบอยู่สักพัก
ลู่ซินเหอที่อยู่ข้างๆก็แอบจิ้มตัวเธอ คนทั้งโต๊ะต่างรับรู้ได้ถึงสายตาที่ไม่เป็นมิตรของเธอ จี้เหยากวงก็แค่นั่งผิดตำแหน่ง แต่ยังไงหล่อนก็เป็นแค่ผู้ป่วย ถ้าถูกกระตุ้นอะไรอีก ไม่อยากจะคิดถึงผลที่จะตามมาเลย
“จะเป็นงั้นได้ยังไงล่ะ” สุดท้ายชางหลิงก็ไม่ได้อาละวาด “ก็แค่ที่นั่งเดียวเอง เธอคิดแบบนั้นได้ยังไง”
เธอยิ้มอย่างใจกว้าง ตัวเองก็คีบเนื้อไปไว้ในถ้วยของหลีซิน “นายก็กินสิ เดี๋ยวกินเสร็จแล้ว ก็มาไหว้อวยพรปีใหม่นะ ฉันเตรียมอั่งเปาให้ทุกคนด้วย”
พอเธอพูดจบทั้งโต๊ะก็เงียบลงทันที จี้เหยากวงไม่พูดอะไรอีก หล่อนกินข้าวตัวเองเงียบๆ
“เหยากวง ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ” ลู่ซินเหอพูดขึ้น
ชางหลิงมองไป เป็นไปตามที่ว่าไว้ จี้เหยากวงกินข้าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา
“ไม่เป็นไรค่ะ……” จี้เหยากวงเช็ดน้ำตาออก “ก็แค่รู้สึกซึ้งใจ ฉันไม่กินอาหารเต็มโต๊ะแบบนี้……มานานมากแล้วค่ะ และนานมากแล้ว ที่ไม่ได้เงินอั่งเปา”
หล่อนทำสีหน้าน่าสงสารทำเอาคนที่เห็นแล้วก็อดไม่ได้สงสาร ขนาดชางหลิงยังรู้สึกว่าเมื่อกี้เธอพูดหนักไปหรือเปล่า
แค่ที่นั่งเดียวเอง หล่อนอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆ เป็นเธอเองที่ใจแคบเข้าใจหล่อนผิดไปเอง คนที่ผ่านเรื่องราวลำบากยากเข็ญมามากมาย จะมีความคิดชั่วร้ายได้ยังไงกัน?
โหมวยู่วางตะเกียบลง เขามองมาทางชางหลิง ด้วยสายตาที่มีความตำหนิเล็กน้อย เหมือนรู้สึกว่าเธอทำตัวเด็กๆ
“ฉันกินอิ่มแล้ว” พูดแล้ว เขาก็ลุกขึ้น
ชางหลิงไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงโมโห ทั้งที่เธอไม่ได้ทำอะไรเลย สายตานั้นของเขาแปลว่าอะไรกัน?
อาหารส่งท้ายปีเก่าได้จบลง
คนกลุ่มหนึ่งนั่งคุยกันอยู่ห้องโถงชั้นบน ตอนนั้นโต้รุ่งเพื่อต้อนรับปีใหม่ เสียงนาฬิกาเที่ยงคืนดังขึ้น ด้านนอกก็จุดพลุขึ้นมา
ชางหลิงเปิดประตูระเบียงห้อง เดินออกมา ยืนอยู่บนตึกสูง มองเห็นบรรยากาศยามค่ำคืนในเมืองหนานได้เต็มตา พลุจุดอยู่ตรงที่ไม่ไกลจากเธอมาก เหมือนว่ายื่นมือออกไปก็แตะได้แล้ว
นี่สิคือพลุจากทุกบ้าน
ถ้าไม่มีเรื่องเมื่อกี้นะ ปีนี้น่าจะเป็นปีที่สมบูรณ์เลยล่ะ
ชางหลิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ซูเสี่ยวเฉิงตั้งแต่ทะเลาะกับเธอครั้งนั้นเสร็จก็ไม่ได้ติดต่อมาเลย เธอกดช่องสนทนาขึ้นมา คิดอยู่นานมาก สุดท้ายก็ส่งข้อความหาหล่อน
——สุขสันต์ปีใหม่นะ ปีใหม่นี้ ขอให้เสี่ยวเฉิงจื่อคิดสิ่งใดก็ขอให้สมปรารถนา สวยวันสวยคืน มีเงินมีทองใช้ไม่ขาดสาย
พอส่งข้อความไปแล้ว นานมากก็ยังไม่มีการตอบกลับ
ปีก่อนในเวลานี้ ซูเสี่ยวเฉิงจะส่งคำอวยพรมาให้เธอเป็นคนแรก แต่ปีนี้ แค่ตอบกลับมาง่ายๆก็ไม่มีให้เธออีกแล้ว
“ติ๊ง” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ชางหลิงดีใจ เธอกดเปิดหน้าจอ แต่คนที่ส่งข้อความมาแต่กลับไม่ใช่ซูเสี่ยวเฉิง
——สุขสันต์ปีใหม่
เป็นโหมวฉี่
ตอนนี้พวกเขาน่าจะยังอยู่ที่มิลาน ได้ยินว่าซื้อตั๋ววันที่สามของปีใหม่ สุดท้ายฉีจินหมิ่นก็ได้รางวัลอันดับสามกลับมา ก็ถือว่าสร้างชื่อเสียงให้เซิ่งซื่อเหมือนกัน
——สุขสันต์ปีใหม่ เธอกลับไป
แต่ทว่า พอส่งข้อความไป ก็มีข้อความแจ้งเตือนว่ามีเงินเข้าบัญชี
ชางหลิงเปิดดูข้อความด้านบนที่มีเลขศูนย์เรียงอยู่มาก เธอสูดหายใจเข้า
——ทำไม?
เธอรีบตอบกลับไป
——อั่งเปา
โหมวฉี่ตอบกลับมา
ชางหลิงได้เงินอั่งเปาเยอะขนาดนี้เป็นครั้งแรก หัวใจเต้นเร็วจนแทบจะกระเด็นออกมาอยู่แล้ว
เป็นดังว่า คนมีเงินก็คือคนมีเงิน ให้อั่งเปาเป็นแสนแบบพริบตาเดียวโดยไม่คิดมาก
ชางหลิงลังเลว่าจะรับดีไหม แต่กลับรู้สึกได้ถึงเงามืดที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอ เธอหันหน้ากลับไป ก็เห็นใบหน้าบึ้งตึงของโหมวยู่
เขาตัวสูงโปร่ง จึงทำให้เห็นข้อความของเธอจากด้านหลังได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
“ฉัน……นายอย่าเข้าใจผิดนะ” ชางหลิงรีบอธิบาย “ฉันไม่ได้จะรับไว้นะ”
“ทำไมไม่รับล่ะ?” โหมวยู่เลิกคิ้วขึ้น “เธอเป็นภรรยาฉัน เขาเป็นพี่ชายเธอ พี่ชายให้อั่งเปา เธอก็รับได้อยู่แล้ว”
“อ้อ” จะว่าไปแล้วก็มีเหตุผลนะ ยังไงก็เป็นคนบ้านเดียวกัน
เธอตอบแล้วจากนั้นก็เปิดข้อความโอนเงินนั้น เสียงแจ้งเตือนดังขึ้น เธอมีเงินเข้าบัญชีเยอะมาก
กำลังดูอยู่นั้น ก็มีกล่องของขวัญยื่นมาตรงหน้าเธอ เธอหันไปมอง แน่ใจว่านี่เป็นของที่โหมวยู่ส่งมา
“นี่คืออะไร?” เธอสงสัย
“อั่งเปาที่สามีเธอให้” โหมวยู่พูดอย่างภูมิใจ
ชางหลิงรับไว้ เปิดกล่องดูอย่างสงสัย สร้อยคอเพชรเส้นนี้ส่องประกายแพรวพราวมากพอจนทำให้เธอตาบอดได้ส่องกระทบเข้ามานัยน์ตาของเธอ
“ว้าว เป็นสร้อยลิมิเต็ดของTFนี่!” ก่อนหน้านี้เธอเคยเห็นสร้อยเส้นนี้ในงานแถลงข่าว ตอนนั้นเธอยังรู้สึกว่า เอาสร้อยเส้นนี้มาแมทช์กับชุดแต่งงานตัวเองต้องสวยมากแน่ๆ แต่ราคาของสร้อยคอเส้นนี้ ถึงแม้เธอจะทำงานตลอดชีวิตก็คงจ่ายไม่ไหว ไม่คิดว่า โหมวยู่จะซื้อให้เธอ
“นายรู้ได้ยังไง……” เขารู้ได้ยังไงว่าเธอชอบสิ่งนี้?
“ก่อนหน้านี้ฉันเห็นเธอเขียนในลิสต์รายการ” ตอนนั้นเธอดื่มเหล้าไปเยอะมาก จำไม่ได้แน่นอน แต่เขากลับท่องจำลิสต์รายการของเธอได้อย่างดี สร้อยเส้นนี้หยุดผลิตแล้ว เขาใช้เวลานานมากกว่าจะขอให้ทางนั้นผลิตสร้อยหนึ่งเดียวที่ไม่มีใครเหมือนได้
“แต่ว่า ทำไมเธอถึงชอบของหรูหราแบบนี้ล่ะ?”
ชางหลิงไม่กล้าพูด ถ้าเธอบอกเขาไปว่าเธออยากเอามาเป็นของประกอบชุดแต่งงานที่หยูเฉินออกแบบให้เธอ โหมวยู่คงได้โยนเธอลงไปจากชั้นห้าสิบแน่
“เมื่อกี้นายโกรธใช่ไหม?” ชางหลิงเปลี่ยนประเด็น ดึงแขนเสื้อเขาไว้ “เพราะฉันจ้องจี้เหยากวงเหรอ?”
สีหน้าโหมวยู่ดูบึ้งตึงเล็กน้อย เขามองเธออย่างเย็นชา และสะบัดแขนเสื้อที่เธอจับอยู่ออกไป
“ฉันโกรธไหมสำคัญมากเหรอ? ยังไงน่องไก่ก็อร่อยมากกว่านี่”