ชางหลิงจอดรถอยู่นอกคฤหาสน์ตระกูลชาง
เดิมคิดว่าชาตินี้จะไม่กลับมาอีกแล้ว แต่ว่า หลังจากเผชิญกับความตายมาแล้ว ก็มีความรู้สึกคิดถึงที่นี่เป็นบางครั้ง
ถึงแม้ว่าชางฉิงกับจ้าวหลันจือจะแย่งชิงกับเธอทั้งในที่แจ้งที่ลับ แต่ที่นี่เป็นสถานที่เธอใช้ชีวิตมายี่สิบกว่า เธอลืมมันไปง่ายๆไม่ได้
ชางหลิงไม่ตอบข้อความ คนตระกูลชางไม่รู้ว่าเธอจะกลับมา เข้าไปในสวนหน้าบ้าน ตอนอยู่หน้าประตูก็ได้ยินเสียงพูดจากด้านใน
“ดูบ้านหลังนี้ตอนนี้กลายเป็นสภาพไหนแล้ว? ทุกปีคนที่มาเยี่ยมเยือนวันตรุษจีนปีไม่เห็นแม้แต่เงา” ชางหวยซูถอนหายใจ
“ก็ใช่ไง หลันจือก็ไม่ยอมกลับมา ฉิงฉิงก็ถูกนางจิ้งจอกนั่นทำให้ต้องเข้าคุก ยังแย่งที่นั่งประธานบริษัทของแกไปอีก ตอนนี้ที่บ้านแต่ละเดือนก็ต้องใช้จ่ายอย่างลำบาก มีคนใช้แค่ไม่กี่คน งานก็ทำกันไม่ทัน” โจวรุ่ยฟางก็พูดตาม
“พอแล้วพอแล้ว เลิกบ่นได้แล้ว” ชางหวยซูรู้สึกรำคาญ “เมื่อก่อนพวกท่านก็ไม่ใช่ไม่เคยอยู่บ้านนอก แม้แต่งานไร่งานสวนยังทำได้ ตอนนี้แม้แต่เก็บกวาดบ้านตัวเองก็ทำไม่ได้?”
“นี่พูดอะไรของแกเนี่ย? เมื่อก่อนทำไมถึงยอมให้แกแต่งงานกับนางตัวซวยเสิ่นวั่นชิง นั่นก็เป็นเพราะว่าบ้านมันมีเงิน? ดูตอนนี้ซิ เงินก็ไม่ได้มา ยังทำให้คนของตระกูลเรากลายเป็นตัวตลก เวรธรรมจริงๆ” โจวรุ่ยฟางถูกชางหวยซูว่าไปกี่คำ ยิ่งทำให้โมโห
ชางหลิงฟังเสียงทะเลาะกันในบ้านจากข้างนอก ขาที่กำลังจะก้าวขึ้นไปบนบันไดก็ค่อยๆดึงกลับ
เธอคิดว่า ผ่านไปนานขนาดนี้ พวกขาคงจะคิดดีกับเธอบ้างแล้ว แม่ทุ่มเทมานานขนาดนี้ ต้องได้รับผลตอบแทนที่ดีบ้าง
แต่ว่า สุดท้ายเธอเองที่วาดภาพสวยงามเกินไป
เธอหันกลับไป รับของขวัญจากมือของป๋ายจื๋อมา วางตำแหน่งหน้าประตูเบาๆ ไม่พูดสักคำ มองดูสวนหน้าบ้านด้วยความคิดถึงรอบหนึ่ง ตัดสินใจเดินออกไป
“ไม่เข้าไปเหรอ?” ป๋ายจื๋อตามขึ้นรถแล้วถามเธอ “พวกเขาเหยียดหยามแม่เธอแบบนี้ เธอจะทำเป็นไม่เห็นได้เหรอ?”
“ไม่มีความหมายอะไร” กับคนที่ไม่เคยรู้สึกสำนึก ไม่มีอะไรต้องยุ่งเกี่ยว?
“ถึงเข้าไปแล้ว พวกเขาก็จะใช้ความเป็นผู้ใหญ่ตะโกนใส่ฉันไปมาเท่านั้น อยากได้อะไรจากฉันไปเท่าไหร่ก็เท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็เสแสร้งยิ้มแย้มกับฉัน อยากทำดีกับฉันเพื่อหวังผลประโยชน์” ชางหลิงถอนหายใจ “ฉันควรคิดได้ตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงยังคาดหวังอีก ยังต้องมาให้ได้”
ป๋ายจื๋อรัดเข็มขัด สตาร์ทรถ
“คุณเปลี่ยนไปแล้ว” เขาพูด
ชางหลิงหันกลับไป ด้วยความสงสัย “เปลี่ยนไป?”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อน คุณต้องเข้าไปแน่นอน” ป๋ายจื๋อมองไปข้างหน้า กลับรถ ขับออกจากคฤหาสน์
ชางหลิงกะพริบตา คิดอะไรบางอย่าง
เปลี่ยนไป……ใช่ซิ ดูเหมือน มีอะไรบางอย่างไม่เหมือนเดิม
“ความจริง คุณเคยคิดไหม…….” ป๋ายจื๋อพูดขึ้นกะทันหัน “บนโลกนี้ อาจจะยังมีญาติคนอื่นๆ ที่ห่วงใยคุณ?”
“ญาติคนอื่น?” ชางหลิงไม่เข้าใจ คิดอย่างละเอียด “คุณหมายถึง ตายายฉันเหรอ?”
“หลายปีมานี้ พวกเขาไม่ถามไถ่อะไรแม่ฉันเลย ไม่เคยมาดูฉันเลย บางที ตัวฉันเอง ก็ไม่เคยได้รับการอวยพรจากพวกเขาเลย พวกเขาจะห่วงใยฉันได้ยังไง?”
ผ่านไปนานมาก ชางหลิงไม่ได้คาดหวังอะไรแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะอยากรู้ว่าแม่ของเธอตายยังไง แม้แต่เรื่องพ่อของเธอเป็นใครก็ไม่อยากไปหา
หาเจอแล้วจะทำอะไรได้?
ถ้าหากพวกเขาห่วงใยเธอจริง 22ปีนี้ ทำไมไม่เคยแม้แต่มาเยี่ยมเธอสักครั้ง?
ป๋ายจื๋อขมวดคิ้ว อยากพูดอะไร แต่เห็นท่าทางของชางหลิงแล้ว คำพูดบางอย่าง สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
“บางที พวกเขาก็มีความลำบากใจ……”
“คุณพูดอะไร?” ป๋ายจื๋อเสียงเบามาก ชางหลิงฟังไม่ชัด
“ไม่มีอะไร” ป๋ายจื๋อกลับมาสีหน้านิ่งเฉยเหมือนเดิม
“อย่าว่าแต่ฉันเลย คุณล่ะ? คุณบอกว่าคุณเป็นเด็กกำพร้า ทำไมถึงไม่เคยหาพ่อแม่ของตัวเอง?” ชางหลิงเปลี่ยนเรื่องไปเป็นเรื่องของป๋ายจื๋อ
เธอรู้สึกสงสัยในตัวป๋ายจื๋อมาตลอด แต่พอทุกครั้งที่เธอถามอะไรออกมาได้บ้าง เรื่องก็จบไปแบบไม่ได้อะไรเลย
“พวกเขาตายแล้ว” ป๋ายจื๋อตอบ
“หา?” ชางหลิงตกใจ
“เพราะว่าตายแล้ว เพราะฉะนั้นถึงถูกส่งไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า” ป๋ายจื๋ออธิบาย
“ขอโทษ” คิดว่าตัวเองคงเอ่ยถึงเรื่องที่ทำให้เขาเสียใจ ชางหลิงจึงรีบขอโทษ
“ผมไม่เสียใจเพราะเรื่องแบบนี้หรอก” ป๋ายจื๋อพูดเสียงเรียบ “มีคนรีบเลี้ยงผมตอนที่ผมเจ็บปวดเสียใจที่สุด ให้ความสามารถทุกอย่างที่ผมมีอยู่ตอนนี้ ทำให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อ ผมก็พอใจแล้ว”
ชางหลิงสงสัย “คุณหมายถึง พ่อแม่บุญธรรมคุณเหรอ?”
ก่อนหน้านี้เธอเคยเห็นข้อมูลของป๋ายจื๋อ ข้างในเขียนว่าเขาถูกรับเลี้ยง แต่ว่าหลังจากนั้น พ่อแม่บุญธรรมเสียชีวิต เหลือแค่เขาคนเดียว
“ถือว่าใช่” ป๋ายจื๋อสายตานิ่งเฉยเล็กน้อย
ช่วงเวลานั้น เป็นช่วงเวลาที่ไม่อาจลืมในชีวิตของเขา
ช่วงเวลาที่กินไม่อิ่มไม่มีเสื้อผ้าให้อุ่นกาย ผู้ชายคนนั้นดึงเขาขึ้นมาจากนรก ถามเขาว่า ยินดีไปกับเขาไหม
เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อ เขาตัดสินใจตกลงอย่างไม่ลังเล เขาให้ฐานะชีวิตใหม่กับเขา ชื่อใหม่ สอนเทคนิคอันล้ำค่าแก่เขา
เขาบอกกับเขาว่า เขาอยู่เพื่อเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ความสามารถทุกอย่างของเขา ฝึกเพื่อปกป้องเธอ…….
“คุณคิดอะไรอยู่?” ชางหลิงเห็นป๋ายจื๋อเหม่อลอย ถามเขาอย่างสงสัย
ป๋ายจื๋อตากะพริบ “ไม่มีอะไร”
“ถ้าหากคุณคิดว่าจี้เหยากวงคนนั้นขวางทางคุณ ทำให้คุณไม่มีความสุข ผมช่วยคุณจัดการเธอได้” ป๋ายจื๋อพูด
“จัดการยังไง จะฆ่าเธอทิ้งเหรอ?” ชางหลิงรู้สึกตลก “สมองของคุณวันๆคิดแต่เรื่องอะไร ผู้ชายที่ดูดีขนาดนี้ ทำไมคิดแต่เรื่องฆ่าฟันกัน”
“มีเพียงคนตาย ถึงจะเชื่อฟัง” กลิ่นอายของป๋ายจื๋อเต็มไปด้วยความเย็นชา
“เลิกคิดได้เลย” ชางหลิงเอือมระอา “คุณดูไม่ออกเหรอ? เธอไม่เหมือนกับโม่โม่”
“ที่โหมวยู่สามารถทนดูฉันกับโม่โม่ชิงดีชิงเด่นกัน เพราะว่าโม่โม่ก็เป็นศัตรูของเขาเหมือนกัน ระหว่างพวกเขา ไม่ได้มีความสัมพันธ์กัน”
“แต่ว่าจี้เหยากวง……พี่ชายเธอเคยช่วยชีวิตโหมวยู่ พอเธอปรากฏตัว ก็ทำให้โหมวยู่รู้สึกผิดและโทษตัวเอง อีกอย่าง……ถึงแม้ฉันจะไม่ชอบเธอ แต่เธอก็ไม่ได้ทำเรื่องอันตรายถึงชีวิตคนอื่น โทษไม่ถึงตาย”
“คุณไม่ควรเห็นใจเธอ” ป๋ายจื๋อพูดอย่างจริงจัง
“คนที่โหมวยู่อยากตอบแทน คือพี่ชายของเธอ ถึงแม้เขาจะเปลี่ยนความขอบคุณไปที่ตัวเธอ คุณก็ไม่จำเป็นที่จะไปเห็นใจเธอ”
“คุณเริ่มยุ่งเรื่องคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” ชางหลงอยากเปลี่ยนบรรยากาศความจริงจังของป๋ายจื๋อ
“ผมต้องรับประกันความปลอดภัยของร่างกายคุณ ใจ ก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย” ป๋ายจื๋อตอบเธอ