“คุณชายฉี่คะ” ชางหลิงยังคงรู้สึกยากที่จะยอมรับได้ “นี่มันไม่เหมาะสมเลยนะคะ”
“ไม่มีคุณงามความดีก็ไม่รับบำเหน็จรางวัล ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วจะไปรับบำเหน็จที่มากขนาดนี้ได้ยังไงกันล่ะคะ” นอกจากนี้ หากตามท่าทีของโหมวยู่แล้วเขามักจะไม่พอใจกับโหมวฉี่เสมอ ถ้าเธอรับเงินเหล่านี้ไป แค่กลัวว่าจากนี้ไปความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโหมวยู่มันคงยากที่จะคลี่คลายลง
“คุณไม่จำเป็นต้องคิดเช่นนี้หรอกครับ” โหมวฉี่ยิ้ม “สำหรับผมแล้ว เงินทองเป็นเพียงสิ่งของนอกกายเท่านั้น”
ชางหลิงจ้องไปที่รายงานการโอนหุ้นฉบับนั้นซึ่งในนั้นมีการลงนามที่แข็งแกร่งและทรงพลังของโหมวฉี่อยู่ด้วย ราวกับว่าเธอสามารถจินตนาการได้ถึงสีหน้าเมื่อตอนที่เขากำลังลงนามอยู่นั้นเลย
“คุณช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมคะว่าคุณหวังจะให้ฉันช่วยคุณทำอะไร?” ชางหลิงถามเขา
โหมวฉี่ยกถ้วยชาขึ้นมา แล้ววางลงที่ปากเพื่อเป่าให้มันเย็นลงจากนั้นก็จิบไปเบาๆ
และความโค้งของมุมปากเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อย เขาลืมตาขึ้น พร้อมกับมองไปทางชางหลิงแล้วยิ้ม
“คุณไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น” โหมวฉี่เอ่ยปากพูด “แค่รับบำเหน็จทั้งหมดที่ผมมอบให้คุณแล้วยืนอยู่ข้างหลังผมและไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น”
“ไม่ว่าจะต่อสู้กันอย่างรุนแรงหรือดุเดือดก็ตาม แค่มอบทุกอย่างให้ผมก็พอแล้ว”
ถ้วยน้ำชาก็ถูกวางไปไว้บนโต๊ะเบาๆ และทำให้น้ำชาในถ้วยเกิดระลอกคลื่นเล็กน้อย ชางหลิงจ้องถ้วยน้ำชาถ้วยนั้นเธอขมวดคิ้ว แล้วนึกคำตอบมากมายขึ้นมาในใจ ซึ่งในที่สุดเธอก็เข้าใจในบางอย่าง
“ก่อนหน้านี้ที่คุณเคยบอกกับฉันว่าคุณอยากแก้แค้นนั้น” น้ำเสียงของชางหลิงไม่ดังมาก “ดังนั้น คุณจึงต้องการลงมือกับบริษัท เซิ่งซื่องั้นเหรอคะ?”
“การที่คุณโอนหุ้นให้ฉันเพราะคุณต้องการเป็นอิสระจากเซิ่งซื่ออย่างช้าๆส่วนสำหรับเหตุผลที่คุณต้องการดึงฉันเข้าไปในค่ายของคุณนั้นเพราะศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดของคุณไม่ใช่โหมวเจิ้งถิง แต่เป็นโหมวยู่”
ในที่สุดดวงตาของโหมวฉี่ก็เต็มไปด้วยความกระวนกระวายเขามองไปที่หญิงสาวซึ่งอยู่ตรงหน้าและทอดถอนใจกับความฉลาดของเธอ
“คุณรู้ไหมว่า แม้ว่าโหมวยู่จะเกลียดนายท่านใหญ่แค่ไหน แต่พวกเขาก็เป็นพ่อลูกกันแท้ๆ นะหากพวกเขารู้ว่าคุณต้องการลงมือกับเซิ่งซื่อ พวกเขาก็คงจะร่วมกันตีโต้กลับแล้ว และถ้าตอนนั้น ฉันก็อยู่เคียงข้างคุณด้วยการต่อสู้คุณก็เท่ากับการต่อสู้ฉันไปแล้วด้วยดังนั้นโหมวยู่จะต้องมีความหวาดกลัวบางอย่างแน่นอน”
โหมวฉี่เลิกคิ้ว พร้อมกับยักไหล่
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ชางหลิงจะมีพรสวรรค์อย่างมากในการคาดเดาใจคนด้วย ดังนั้นเป้าหมายของเขา จึงถูกเธอคาดเดาได้อย่างไม่มีผิดเลย
“คุณพูดถูก” โหมวฉี่ไม่ปฏิเสธ
“แต่ทำไมกันล่ะ?” ชางหลิงงุนงง “ถ้าคุณต้องการแก้แค้น ต้องการทวงคืนความยุติธรรมของคุณ มันสามารถทำได้หลายวิธีเลยนะ ทำไมต้องลงมือกับเซิ่งซื่อด้วยล่ะ?”
“คุณไม่เข้าใจเหรอ?” โหมวฉี่ถามเธอกลับ
“นายท่านใหญ่มีฐานะเดิมเป็นทหารซึ่งไม่มีหัวสมองด้านธุรกิจเลยการที่เขาแย่งเซิ่งซื่อจากมือตระกูลเซิ่งมานั้น มันคงจะใช้ได้แค่ในการทหารเท่านั้นแหละ ถ้าไม่ใช่เพราะเยียนหัวไม่ใช่เพราะผมหากมันต้องตกไปในมือของโหมวยู่ คุณคิดว่ามันจะยังเหลืออะไรอีกไหมล่ะ?”
“แต่แม้ว่าผมจะทำเพื่อตระกูลโหมวมามากขนาดนี้หรือต่อให้เยียนหัวจะทำเพื่อบริษัทเซิ่งซื่อมากขนาดนั้น สิ่งที่พวกเราสองคนได้ล่ะคืออะไร? จุดจบคืออะไร? คนหนึ่งตายไปเปล่าๆ ส่วนอีกคนก็พิการ”
โหมวฉี่ส่งเสียงหัวเราะเยาะ “ทั้งๆ ที่ผมเชื่อฟังมากกว่าอะยู่และไม่ว่าอะไรๆ ผมก็ตามใจเขาทุกอย่าง แต่เพราะผมไม่ใช่ลูกแท้ๆ ดังนั้นผมจึงสามารถนั่งได้แค่ในตำแหน่งรองประธานซึ่งทายาทของตระกูลโหมวนั้น มันไม่มีวันถึงทีผมหรอกและผู้กุมอำนาจของเซิ่งซื่อ จะเป็นแค่โหมวยู่คนเดียวตลอดไปเท่านั้น แต่นี่คือกำลังกายและกำลังสมองที่เยียนหัวและผมใช้ทั้งแรงกายทุ่มเทเพื่อฟื้นฟูสภาพธุรกิจและเมื่อธุรกิจของนายท่านใหญ่เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ หรือเมื่อความฝันของโหมวยู่เป็นจริงในขณะที่ยังอยู่ในค่ายทหารนั้น ก็เป็นเพราะผมยอมเสียสละบางอย่างไป และผมก็ออกนั่งบัญชาการรักษาการณ์ของเซิ่งซื่อด้วยตันเองถึงทำให้มันกลายเป็นธุรกิจอันดับ 1 ของเมืองหนานได้”
“ที่ผมพูดอย่างนี้ คุณรู้สึกบ้างไหมว่ามันมีบางอย่างที่ไม่ยุติธรรมเอาสะเลย?”
ชางหลิงนิ่งเงียบ
เธอคิดหาคำตอบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างส่วนได้ส่วนเสียในนั้นอย่างรอบคอบแต่ก็รู้สึกว่าทุกอย่างมันพัลวัลพัลเกไปหมด
จริงอย่างที่คิดด้วย เพราะการต่อสู้ของตระกูลที่มีทั้งเงินและอิทธิพลแบบนี้ไม่มีใครสักคนเป็นผู้บริสุทธิ์และจะไม่มีใครสักคนที่จะสามารถทำได้โดยไม่ปนเปื้อนความชั่วร้ายหรอก
“ที่จริงแล้วคุณไม่จำเป็นต้องคิดแบบนี้หรอกค่ะ” ชางหลิงพูดโน้มน้าวใจเขา “โหมวยู่เป็นคนใจเย็น แม้ว่าจะมีความเข้าใจผิดระหว่างพวกคุณแต่มันผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว เขาก็ไม่เคยทำอะไรที่จะทำลายผลประโยชน์ของคุณเลยนะ”
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าโหมวฉี่มีความเกี่ยวข้องกับการตายของแม่เขาแล้วก็ตามแม้ว่าป้าของเขาจะเสียชีวิตเพราะโหมวฉี่ แต่มันก็เป็นแค่พูดคำที่กดดันกันที่พูดจากปากเท่านั้น ซึ่งเขาก็มักจะให้ที่ทางหนีทีไล่อยู่บ้าง เพื่อไม่ให้ไปแตะต้องเขตอำนาจของโหมวฉี่
“ถ้าเขาไม่ทำตอนนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ทำในวันหน้า” โหมวฉี่หันหน้ากลับไป แล้วมองออกไปยังตำแหน่งนอกหน้าต่าง “นายท่านใหญ่อายุมากแล้ว เมื่อเขาต้องยอมสละอำนาจอำนาจของเซิ่งซื่อก็จะถูกสับเปลี่ยนใหม่ แล้วโหมวยู่ยังจะสุภาพผมขนาดนี้ไหมล่ะ?”
“แค่กลัวว่าถ้าถึงตอนนั้น แม้แต่จะพักค้างในเมืองหนานก็ยังไม่สามารถทำได้”
“ไม่หรอกค่ะ”ชางหลิงแก้ตัวให้โหมวยู่ “ก่อนหน้านี้เขายังบอกกับฉันเลยว่า… ”
ยังบอกเธอด้วยว่าเขาอยากจะถอนตัวจากธุรกิจของเซิ่งซื่อแล้วนำส่วนแบ่งของตัวเองไปพร้อมกับมอบอำนาจทั้งหมดของเซิ่งซื่อให้กับโหมวฉี่และโหมวเจิ้งถิง
ชางหลิงอยากจะพูดเรื่องนี้ออกมา แต่ในขณะที่เกือบจะพูดออกไปนั้นสุดท้ายเธอก็ยังเลือกกล้ำกลืนมันลงไป
ตอนนั้นพวกเขาทั้งสองคงจะรักกันอย่างซาบซึ้งใจแล้วล่ะ สิ่งที่ชายคนนั้นพูดในเวลาแบบนั้นก็ไม่แน่ว่าจะสามารถรักษาคำพูดได้หรอกเพราะตอนนี้ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปแล้วแค่กลัวว่าจิตใจมันจะไม่เป็นเหมือนอย่างก่อนหน้านี้
“เขาพูดอะไร?” โหมวฉี่สงสัย
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” ชางหลิงถอนหายใจ “สรุปคือ โหมวยู่จะไม่ลงมือกับคุณหรอกค่ะ คุณวางใจเถอะค่ะ”
“แล้วสิ่งที่คุณหมายถึงล่ะ?” โหมวฉี่มองไปที่หนังสือสัญญาการโอนหุ้นเล่มนั้น
“ก่อนหน้านี้ที่ฉันได้รับปากคุณไว้ว่า ฉันจะร่วมมือกับคุณนั้น” ชางหลิงพูด “แต่สิ่งที่ฉันอยากพูดคือ ไม่ว่ายังไงก็ตาม ขอคุณอย่าลงมือกับเซิ่งซื่อเลยนะคะ”
“ที่จริงคุณก็รู้ด้วยเหมือนกันว่า ด้วยความสามารถของคุณการพัฒนาทรัพย์สินส่วนตัวมันง่ายกว่าการตัดแขนตัดขาของเซิ่งซื่อเสียอีก เพราะอย่างน้อยคุณจะไม่เป็นศัตรูกับโหมวยู่และโหมวเจิ้งถิงไปมากกว่านี้ ซึ่งฉันก็จะใช้ทุกความสามารถของฉันช่วยให้คุณชนะทุกสิ่งที่คุณควรมี” ชางหลิงมองเขาอย่างจริงใจ “คุณชายฉี่คะ เซิ่งซื่อไม่ได้เป็นแค่ธุรกิจของวงศ์ตระกูลอีกต่อไปเพราะยังมีคนหลายคนที่ต้องพึ่งพาการทำงานจากเซิ่งซื่อเพื่อความอยู่รอด หากต้องไม่มีมันอีกต่อไป ชีวิตของผู้คนมากมายก็จะยุ่งเหยิงซึ่งแม้แต่เมืองนี้ก็จะพลอยวุ่นวายไปด้วย”
โหมวฉี่ไม่ได้ส่งเสียงใดๆและสายตาของเขาก็มืดครึ้ม
“ฉันเข้าใจในความลำบากใจของคุณนะคะ และรู้ถึงความไม่พอใจของคุณด้วย ซึ่งฉันก็ยังจะส่งเสริมไม่ให้คุณใช้ชีวิตอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมแบบนี้อีกแล้ว แต่ความยุติธรรมที่คุณต้องการนั้น มันไม่ควรให้ผู้คนมากมายขนาดนี้รับการชดใช้ที่ใหญ่หลวงขนาดนี้ด้วยนะคะ”
แม้ว่าชางหลิงจะมีความเห็นอกเห็นใจโหมวเจิ้งถิงอยู่บ้าง แต่สำหรับเรื่องการฆ่าเซิ่งเยียนหัวนั้น เธอก็ยังคงเข้าข้างความยุติธรรม “ถ้าหาก คุณแน่ใจว่านายท่านใหญ่ฆ่าคุณเยียนหัว แน่ใจว่าในมือของเขามีการฟ้องร้องคดีฆาตกรรมและคู่กรณีที่คุณต้องการลงโทษนั้น มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นและเรื่องนี้ โหมวยู่ก็เป็นเหยื่อด้วยซึ่งในฐานะลูกชายของเขา ก็ยังถูกบังคับให้ต้องหลั่งเลือดของตัวเขา และถูกบังคับให้ยอมรับทุกสิ่ง ซึ่งเขาก็เจ็บปวดมากเช่นกัน เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความผิดของเขา”
เมื่อโหมวฉี่ต้องการแสดงออกที่จริงจังของชางหลิงในที่สุด เขาก็ยิ้ม
“นี่คุณกำลังขอความเมตตาเพื่อโหมวยู่งั้นเหรอ?”
“ฉันไม่ได้ขอความเมตตาเพื่อเขาหรอกนะคะ” ชางหลิงลู่ตาลง “เขาไม่ต้องการให้ฉันขอความเมตตาเพื่อเขาอยู่แล้ว ฉันแค่ไม่อยากเห็นพวกคุณสองพี่น้องห้ำหั่นกันเอง และฉันก็ไม่อยากเห็นเซิ่งซื่อที่พวกคุณเฝ้ารักษาไว้นานขนาดนี้ ที่ในที่สุดต้องถูกทำลายลงด้วยความแค้นส่วนตัว เพราะแบบนี้ มันคงจะน่าเสียดายแย่นะคะ”
“ดูเหมือนคุณมีบางอย่างจะเปลี่ยนไปนะ” โหมวฉี่สังเกตมองเธอด้วยสายตาที่ถามเจาะลึก “ทั้งๆ ที่เป็นเวลาแค่เดือนเดียวเอง ก็ดูเหมือนว่าจุดเด่นของคุณจะถูกลบล้างไปด้วยบางสิ่งสะแล้ว”
จริงเหรอคะ? ชางหลิงขมวดคิ้ว
ป๋ายจื๋อพูดแบบนี้ และโหมวฉี่ก็พูดแบบนี้เหมือนกัน
อาจจะมั้ง เธออาจแค่กลัวเกินไปกลัวว่าคนรอบข้างจะถูกทำร้ายเพราะเธอ และกลัวว่าเธอจะจากคนที่เธอรักมากไปตั้งแต่ยังสาวๆ
“ข้อเสนอของคุณน่ะ เดี๋ยวผมจะพิจารณาอย่างจริงจังแล้วกันนะ” เมื่อโหมวฉี่เห็นการแสดงออกที่สับสนของเธอก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ “วางใจเถอะ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม ผมจะไม่ทำให้คุณต้องลำบากหรอก”