ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก – บทที่ 273 เราห่างกันสักพักเถอะ

บทที่ 273 เราห่างกันสักพักเถอะ

“อะไรคือหนีออกจากบ้านกันล่ะ” ทันทีที่ช่างหลิงนึกถึงเรื่องนี้เธอก็โมโหขึ้นมาทันที “นี่เป็นบ้านของฉันงั้นเหรอ? มันก็เป็นแค่คนใจดีคนหนึ่งที่เก็บฉันมาเลี้ยงสักพักเท่านั้น ซึ่งมันไม่ใช่บ้านของฉัน และฉันก็ไม่ใช่ครอบครัวของใครด้วย แล้วจะไปถือว่าเป็นบ้านอะไรกันล่ะ?”

หลังจากที่ชางหลิงพูดสิ่งเหล่านี้อย่างโกรธเคืองจบโหมวยู่และหลีซินก็ออกมาจากห้องของจี้เหยากวงพอดี

“ถ้าอย่างนั้นคุณชายรองโหมวครับพวกเราคงต้องจะขอลาไปก่อนนะครับ” เหล่าคุณหมอบอกลากับโหมวยู่

หลีซินส่งเหล่าคุณหมอออกไป และเมื่อปิดประตู พวกเขาไม่กี่คนก็นั่งลงบนโซฟา

ชางหลิงกวาดตามองไปยังทิศทางของโหมวยู่ด้วยความเอ้อระเหยเขาเทน้ำแก้วหนึ่งจากโต๊ะกาแฟ พร้อมกับขมวดคิ้ว

“พี่ใหญ่ครับ” หลีซินชี้ขึ้นไปยังทิศทางชั้นบน “ร่างกายเหยากวงเป็นยังไงบ้างแล้วครับ?”

“ก็ดีอยู่” โหมวยู่ตอบ “แค่ยามักจะออกฤทธิ์อยู่บ่อยครั้ง คุณหมอบอกว่าอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีถึงจะหายขาดได้”

“เวลาครึ่งปีก็ไม่ถือว่านานเท่าไหร่” หลีซินเหลือบมองชางหลิงแวบหนึ่ง “อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าให้เธออยู่ที่นี่นานๆ มันคงจะไม่สะดวกเท่าไหร่นะครับ หรือว่า จะให้มาทางผมดีครับ คนที่นั่นเยอะ สามารถมีคนคอยดูแลเธอได้ทุกเมื่อมากกว่านะครับ”

“ไม่จำเป็น” โหมวยู่ปฏิเสธเขา

ชางหลิงกำหมัดแน่น “คุณไม่จำเป็นต้องคุยกับเขาให้เสียปากหรอกค่ะ กว่าจะมีผู้หญิงที่เรียบง่ายและรู้เรื่องมาแบบนี้มันไม่ง่ายเลยนะ แล้วเขาจะทำใจยอมปล่อยไปง่ายๆ ได้ยังไงกันล่ะ?”

โหมวยู่ไม่ปริปากพูดสักคำเขาโน้มตัวไปข้างหลัง แล้วหลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย

“ไม่ใช่หรอก ระหว่างพวกคุณสองคนน่ะ มีความเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า?” ซูเสี่ยวเฉิงพูดต่อคำพูดของเขา “เป็นสามีภรรยากันแล้ว และตอนนี้ทุกคนภายนอกก็รู้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกคุณทั้งสองแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ตาม มีเรื่องอะไรก็ควรมาพูดอย่างชัดเจนต่อหน้ากันเลยมันคงจะดีกว่า”

ในขณะที่เดินลงมาจากชั้นบนโหมวยู่ก็เห็นกระเป๋าเดินทางของชางหลิงแล้วที่จริงเขารู้ตั้งแต่ที่ชางหลิงเก็บของแล้ว แต่เขาแค่ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเธอยังไง

ถ้าเขาเอ่ยปากรั้งเธอไว้ พวกเขาทั้งสองที่ต้องอยู่ด้วยกันทั้งเช้าทั้งเย็นนั้น เขาคงจะยิ่งทำใจไม่ได้เท่านั้น

“ไม่มีความเข้าใจผิดอะไรหรอก” โหมวยู่ตอบกลับอย่างไม่สนใจไยดี “นี่เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างพวกเรา พวกคุณจัดการเรื่องตัวเองให้ดีก็พอแล้ว”

ชางหลิงสูดหายใจเข้ายาวๆ ซึ่งเธอก็เก็บกดมาสองสามวันนี้แล้ว และในที่สุดมันก็ถึงเวลาที่ต้องระเบิด “โหมวยู่”

“คุณช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

“นับตั้งแต่จี้เหยากวงย้ายเข้ามา ท่าทีของคุณที่มีต่อฉันมันก็เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวแบบนี้ได้ เรื่องคืนก่อนนี้เป็นเพราะฉันผิดเอง ฉันไม่ควรพูดเรื่องพ่อของคุณกับคุณ และเรื่องเมื่อวานก็เป็นเพราะฉันผิดเอง ฉันไม่ควรจะหนีออกไปและก่อเรื่องขึ้นและฉันยังสามารถรับประกันได้ว่า เรื่องไม่ดีเหล่านี้ของฉันจะไม่เกี่ยวข้องกับคุณ และฉันจะแก้ไขมันด้วยตนเอง”

“แต่คุณช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าฉันจะต้องทำยังไงคุณถึงจะพอใจ? แม้ว่าฉันจะผิด ฉันก็ได้ขอโทษไปแล้วนะและขอรับประกันอย่างจริงใจว่าคราวหน้าฉันจะไม่ทำผิดอีก…”

“มันไม่ใช่ปัญหาของคุณ” โหมวยู่ขัดจังหวะเธอ

“แล้วนั่นมันปัญหาของใครล่ะ?” ชางหลิงถามเขา “จี้เหยากวงงั้นเหรอ?”

“ก่อนหน้านี้คุณเคยรับประกันกับฉันว่าการที่เธอย้ายเข้ามามันจะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเราแต่วันแรกที่เธอเข้ามาก็กล่าวหาว่าฉันจะฆ่าเธอ ใช่ เธอไร้เดียงสา เธอเรียบง่าย และเธอรู้เหตุรู้ผล แต่ฉันที่เป็นภรรยาของคุณ ฉันต้องทนดูสามีตัวเองอ่อนโยนเอาใจใส่กับผู้หญิงอีกคน หรือว่าฉันจะโมโหหน่อยไม่ได้เลยเหรอ?”

หลีซินฟังสิ่งที่ชางหลิงพูด ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

ภายในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วันนี้มันเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้เลยเหรอ?

เพียงแค่ มันไม่สมควรเลยนะจี้เหยากวงที่ดูเหมือนจะเป็นคนง่ายๆไม่คิดว่าจะไปทำเรื่องอย่างนี้ได้ด้วย?

“คุณช่วยเลิกจับเธอไม่ปล่อยอย่างนี้สักทีได้ไหม?” โหมวยู่เบิกตา ด้วยความหงุดหงิด “นับตั้งแต่ที่เธอย้ายเข้ามาจนถึงตอนนี้เป็นเพราะคุณก้าวร้าวอย่างมาก ทั้งๆ ที่เธอเป็นแค่คนป่วยคนหนึ่ง ที่แม้แต่ความเป็นอยู่เธอยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้เลยแต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่เคยพูดคำว่าร้ายกับคุณเลย แล้วคุณกลายเป็นคนขี้อิจฉาไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

“คุณพูดเรื่องอะไรกัน?” ชางหลิงยิ้ม “ฉันขี้อิจฉางั้นเหรอ?”

เธอยืนขึ้น แล้วมองโหมวยู่ ก็รู้สึกน่าขำเป็นพิเศษ “ใช่แล้วฉันน่ะขี้อิจฉา คุณรู้จักฉันตั้งแต่วันแรกเลยงั้นเหรอ? ถ้าฉันไม่ขี้อิจฉา แล้วฉันจะต้องถึงกับฆ่าคู่หมั้นที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ลับหลังคุณงั้นเหรอ?”

โหมวยู่ถอนหายใจด้วยท่าทีที่ไม่ยอมสื่อสารกับเธอต่อไป

“แล้วแต่คุณจะคิด ผมเหนื่อยแล้ว” เขาพูด พร้อมกับยืนขึ้นแล้วกำลังจะขึ้นไปยังชั้นบน

“คุณพูดมาสิ” ชางหลิงเดินไปอย่างรวดเร็วแล้วคว้าแขนของเขาไว้

“ได้ คุณบอกว่าฉันมันขี้อิจฉา ฉันยอมรับฉันมันใจแคบจริงๆ เพราะแบบนี้ ฉันก็รับปากว่า ฉันจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ต่อไปนี้ฉันจะพยายามใจกว้างมากขึ้น แบบนี้เอาไหมล่ะ?”

ชางหลิงยังคงประนีประนอม

ชีวิตที่สงบสุขมันไม่ง่ายเลยซึ่งเธอก็ไม่อยากให้ปัญหามันถาโถมเข้ามาอีก

“คุณเปลี่ยนได้แล้วงั้นเหรอ?” โหมวยู่มองเธอ “นิสัยคุณเป็นแบบไหนคุณย่อมรู้ดีที่สุดนะ”

“แล้วคุณอยากให้ฉันทำยังไงล่ะ?” ชางหลิงลืมตาขึ้นมอง “คุณช่วยบอกฉันหน่อยสิว่าคุณอยากให้ฉันทำยังไงกันแน่? ฉันเป็นภรรยาคุณนะ ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ของเราก็ควรแก้ไข ไม่ใช่ว่าจะเอาแต่ตาต่อตา ฟันต่อฟันกันทุกวันอย่างตอนนี้ กว่าที่เราจะอยู่ด้วยกันได้มันยากมากไม่ใช่เหรอ?”

เพื่อเขาแล้ว เธอเกือบเสียชีวิตไปตั้งหลายครั้ง นี่เป็นความสุขที่เธอต้องแลกมาด้วยชีวิตเลยนะแล้วอยู่ๆ จะพูดว่าเลิกก็เลิกง่ายๆ อย่างนี้ได้ยังไงกัน?

“ผมไม่รู้” น้ำเสียงของโหมวยู่เบาอย่างมาก

เขาไม่รู้ว่าเขาต้องการชางหลิงไปทำไมกันแน่

เขาแค่อยากให้เธอใช้ชีวิตดีๆต่อไป แม้ว่าเขาจะตายแล้วก็ตามและเขาก็อยากให้เธอไปจากเขาสะ เพราะถ้าเป็นแบบนี้เธอก็สามารถใช้ชีวิตอย่างราบรื่นได้

ดังนั้น หากทำให้เธอรังเกียจเขา และเกลียดเขาก็จะทำให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้นหน่อย ซึ่งเขาเองก็เต็มใจที่จะทำแบบนี้

“เราห่างกันสักพักเถอะ” โหมวยู่ปล่อยมือชางหลิง

ชางหลิงมองดูมือที่ถูกสะบัดออกไปของเธอ เธอก็ถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งด้วยขาที่อ่อนแรง

“คุณรู้บ้างไหมว่าการห่างกันสักพักในตอนนี้มันหมายความว่าอะไร? ” เธอตาแดง

โหมวยู่ไม่ตอบ

“โหมวยู่เป็นเพราะคุณบุกเข้ามาในชีวิตของฉันก่อนเป็นเพราะคุณเองที่โกหกให้ฉันแต่งงานที่คุณเคยบอกว่าคุณจะอยู่กับฉันตลอดไปนั้น ฉันคิดไปแล้วสะอีกว่าสิ่งที่คุณพูดมันเป็นเรื่องจริง ฉันอุตส่าห์เตรียมใจที่จะอยู่กับคุณไปตลอดทั้งชีวิตที่เหลือของฉัน แต่ตอนนี้ คุณกลับบอกกับฉันว่า เราต้องห่างกันสักพัก?”

น้ำตาของชางหลิงไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย

“ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นแบบนี้ทำไมคุณถึงไม่ห่างกันสักพักในวันที่คุณจดทะเบียนสมรสกับฉันเล่า? ทำไมคุณถึงไม่ห่างกันสักพักเมื่อ 6 ปีที่แล้ว? คุณสามารถปล่อยปละละเลยให้ฉันลากผู้ชายอีกคนออกไปในคืนนั้นได้คุณสามารถปล่อยให้ฉันถูกน้ำทะเลซัดจมลงไปให้ตายต่อหน้าต่อตาคุณได้นิ!”

“พอแล้ว!” โหมวยู่กำหมัดแน่น

เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูดเหล่านี้หัวใจของเขาก็เศร้าเสียใจสุดขีด

“ได้” แววตาชางหลิงคลายลง เธอกลัวว่าถ้าเธอยังพูดต่อไป โหมวยู่จะทำตามคำพูดของเธอและผลักสถานการณ์ไปสู่จุดที่แย่กว่า เธอปาดน้ำตา และปลอบใจตัวเอง “ฉันจะไม่พูดแล้ว”

“คุณอยากห่างกันสักพัก ได้เลย ฉันจะให้เวลาคุณห่างกันสักพัก และในระยะนี้ ไม่ว่าคุณอยากจะทำอะไรก็จงไปทำซะ”

นี่เป็นครั้งแรกที่ชางหลิงต่ำต้อยขนาดนี้ “ฉันจะรอคุณนะ”

เธอหันหลัง แล้วผลักกระเป๋าเดินทางออกไปข้างนอก

“พี่สะใภ้ครับ…” หลีซินขมวดคิ้วและเดินขึ้นมา

เมื่อเดินไปถึงที่ประตู ชางหลิงก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ไปทีหนึ่งเธอยังคงดึงรอยยิ้มออกมาเธอหันหน้า แล้วมองที่โหมวยู่ “งั้น ฉันไปก่อนนะ เมื่อคุณรู้สึกดีขึ้น ค่อยมารับฉันกลับบ้านแล้วกันนะ”

“ดีไหม?” เธอน้ำตาที่ซ่อนไว้ แล้วถามเขาด้วยรอยยิ้ม

โหมวยู่ขยับคอแล้วก้าวเท้า จากนั้นก็เดินตรงขึ้นไปยังชั้นบน

ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก

ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก

Status: Ongoing

เธอสุขใจมากล้นเตรียมที่จะแต่งงานกับแฟนหนุ่มที่คบกันมาหลายปี แต่คืนก่อนวันแต่งงานกลับรู้ว่าแฟนหนุ่มนอนกับน้องสาวต่างสายเลือดด้วยความโกรธครอบงำชางหลิงใช้เงินซื้อผู้เชาย หลังเมาก็ร้องจะนอนกับเจ้าของคลับ ยังถูกคนหลอกแต่งงานเมื่อตื่นขึ้นมา ไม่คาดว่าถูกคนกลับเรียกเธอว่าพี่สะใภ้ เฮียคือใครกันนะ“ยมบาลแสนเย็นชา”ซึ่งอยู่ทั้งสายขาวสายดำแห่งเมืองหนานที่ทุกคนต่างเกรงกลัว แถมยังเป็นผู้นำที่มีอำนาจทั้งตระกูลโหมวและในบริษัทเซิ่งซื่อกรุ๊ปแต่ข่าวลือว่ากันว่าเขาไม่เข้าใกล้ผู้หญิงไม่ใช่หรอ เขาชอบผู้ชายด้วยกันไม่ใช่หรอแต่ทำไมถึงเป็นเพราะผู้หญิงอ่อนแออย่างเธอถึงกับทุกวันไม่อยากลงจากเตียง จริงอย่างคาดคิด ข่าวลือล้วนแต่หลอกลวงโดยสิ้นเชิง

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท