“อะไรคือหนีออกจากบ้านกันล่ะ” ทันทีที่ช่างหลิงนึกถึงเรื่องนี้เธอก็โมโหขึ้นมาทันที “นี่เป็นบ้านของฉันงั้นเหรอ? มันก็เป็นแค่คนใจดีคนหนึ่งที่เก็บฉันมาเลี้ยงสักพักเท่านั้น ซึ่งมันไม่ใช่บ้านของฉัน และฉันก็ไม่ใช่ครอบครัวของใครด้วย แล้วจะไปถือว่าเป็นบ้านอะไรกันล่ะ?”
หลังจากที่ชางหลิงพูดสิ่งเหล่านี้อย่างโกรธเคืองจบโหมวยู่และหลีซินก็ออกมาจากห้องของจี้เหยากวงพอดี
“ถ้าอย่างนั้นคุณชายรองโหมวครับพวกเราคงต้องจะขอลาไปก่อนนะครับ” เหล่าคุณหมอบอกลากับโหมวยู่
หลีซินส่งเหล่าคุณหมอออกไป และเมื่อปิดประตู พวกเขาไม่กี่คนก็นั่งลงบนโซฟา
ชางหลิงกวาดตามองไปยังทิศทางของโหมวยู่ด้วยความเอ้อระเหยเขาเทน้ำแก้วหนึ่งจากโต๊ะกาแฟ พร้อมกับขมวดคิ้ว
“พี่ใหญ่ครับ” หลีซินชี้ขึ้นไปยังทิศทางชั้นบน “ร่างกายเหยากวงเป็นยังไงบ้างแล้วครับ?”
“ก็ดีอยู่” โหมวยู่ตอบ “แค่ยามักจะออกฤทธิ์อยู่บ่อยครั้ง คุณหมอบอกว่าอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีถึงจะหายขาดได้”
“เวลาครึ่งปีก็ไม่ถือว่านานเท่าไหร่” หลีซินเหลือบมองชางหลิงแวบหนึ่ง “อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าให้เธออยู่ที่นี่นานๆ มันคงจะไม่สะดวกเท่าไหร่นะครับ หรือว่า จะให้มาทางผมดีครับ คนที่นั่นเยอะ สามารถมีคนคอยดูแลเธอได้ทุกเมื่อมากกว่านะครับ”
“ไม่จำเป็น” โหมวยู่ปฏิเสธเขา
ชางหลิงกำหมัดแน่น “คุณไม่จำเป็นต้องคุยกับเขาให้เสียปากหรอกค่ะ กว่าจะมีผู้หญิงที่เรียบง่ายและรู้เรื่องมาแบบนี้มันไม่ง่ายเลยนะ แล้วเขาจะทำใจยอมปล่อยไปง่ายๆ ได้ยังไงกันล่ะ?”
โหมวยู่ไม่ปริปากพูดสักคำเขาโน้มตัวไปข้างหลัง แล้วหลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย
“ไม่ใช่หรอก ระหว่างพวกคุณสองคนน่ะ มีความเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า?” ซูเสี่ยวเฉิงพูดต่อคำพูดของเขา “เป็นสามีภรรยากันแล้ว และตอนนี้ทุกคนภายนอกก็รู้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกคุณทั้งสองแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ตาม มีเรื่องอะไรก็ควรมาพูดอย่างชัดเจนต่อหน้ากันเลยมันคงจะดีกว่า”
ในขณะที่เดินลงมาจากชั้นบนโหมวยู่ก็เห็นกระเป๋าเดินทางของชางหลิงแล้วที่จริงเขารู้ตั้งแต่ที่ชางหลิงเก็บของแล้ว แต่เขาแค่ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเธอยังไง
ถ้าเขาเอ่ยปากรั้งเธอไว้ พวกเขาทั้งสองที่ต้องอยู่ด้วยกันทั้งเช้าทั้งเย็นนั้น เขาคงจะยิ่งทำใจไม่ได้เท่านั้น
“ไม่มีความเข้าใจผิดอะไรหรอก” โหมวยู่ตอบกลับอย่างไม่สนใจไยดี “นี่เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างพวกเรา พวกคุณจัดการเรื่องตัวเองให้ดีก็พอแล้ว”
ชางหลิงสูดหายใจเข้ายาวๆ ซึ่งเธอก็เก็บกดมาสองสามวันนี้แล้ว และในที่สุดมันก็ถึงเวลาที่ต้องระเบิด “โหมวยู่”
“คุณช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“นับตั้งแต่จี้เหยากวงย้ายเข้ามา ท่าทีของคุณที่มีต่อฉันมันก็เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวแบบนี้ได้ เรื่องคืนก่อนนี้เป็นเพราะฉันผิดเอง ฉันไม่ควรพูดเรื่องพ่อของคุณกับคุณ และเรื่องเมื่อวานก็เป็นเพราะฉันผิดเอง ฉันไม่ควรจะหนีออกไปและก่อเรื่องขึ้นและฉันยังสามารถรับประกันได้ว่า เรื่องไม่ดีเหล่านี้ของฉันจะไม่เกี่ยวข้องกับคุณ และฉันจะแก้ไขมันด้วยตนเอง”
“แต่คุณช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าฉันจะต้องทำยังไงคุณถึงจะพอใจ? แม้ว่าฉันจะผิด ฉันก็ได้ขอโทษไปแล้วนะและขอรับประกันอย่างจริงใจว่าคราวหน้าฉันจะไม่ทำผิดอีก…”
“มันไม่ใช่ปัญหาของคุณ” โหมวยู่ขัดจังหวะเธอ
“แล้วนั่นมันปัญหาของใครล่ะ?” ชางหลิงถามเขา “จี้เหยากวงงั้นเหรอ?”
“ก่อนหน้านี้คุณเคยรับประกันกับฉันว่าการที่เธอย้ายเข้ามามันจะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเราแต่วันแรกที่เธอเข้ามาก็กล่าวหาว่าฉันจะฆ่าเธอ ใช่ เธอไร้เดียงสา เธอเรียบง่าย และเธอรู้เหตุรู้ผล แต่ฉันที่เป็นภรรยาของคุณ ฉันต้องทนดูสามีตัวเองอ่อนโยนเอาใจใส่กับผู้หญิงอีกคน หรือว่าฉันจะโมโหหน่อยไม่ได้เลยเหรอ?”
หลีซินฟังสิ่งที่ชางหลิงพูด ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ภายในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วันนี้มันเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้เลยเหรอ?
เพียงแค่ มันไม่สมควรเลยนะจี้เหยากวงที่ดูเหมือนจะเป็นคนง่ายๆไม่คิดว่าจะไปทำเรื่องอย่างนี้ได้ด้วย?
“คุณช่วยเลิกจับเธอไม่ปล่อยอย่างนี้สักทีได้ไหม?” โหมวยู่เบิกตา ด้วยความหงุดหงิด “นับตั้งแต่ที่เธอย้ายเข้ามาจนถึงตอนนี้เป็นเพราะคุณก้าวร้าวอย่างมาก ทั้งๆ ที่เธอเป็นแค่คนป่วยคนหนึ่ง ที่แม้แต่ความเป็นอยู่เธอยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้เลยแต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่เคยพูดคำว่าร้ายกับคุณเลย แล้วคุณกลายเป็นคนขี้อิจฉาไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“คุณพูดเรื่องอะไรกัน?” ชางหลิงยิ้ม “ฉันขี้อิจฉางั้นเหรอ?”
เธอยืนขึ้น แล้วมองโหมวยู่ ก็รู้สึกน่าขำเป็นพิเศษ “ใช่แล้วฉันน่ะขี้อิจฉา คุณรู้จักฉันตั้งแต่วันแรกเลยงั้นเหรอ? ถ้าฉันไม่ขี้อิจฉา แล้วฉันจะต้องถึงกับฆ่าคู่หมั้นที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ลับหลังคุณงั้นเหรอ?”
โหมวยู่ถอนหายใจด้วยท่าทีที่ไม่ยอมสื่อสารกับเธอต่อไป
“แล้วแต่คุณจะคิด ผมเหนื่อยแล้ว” เขาพูด พร้อมกับยืนขึ้นแล้วกำลังจะขึ้นไปยังชั้นบน
“คุณพูดมาสิ” ชางหลิงเดินไปอย่างรวดเร็วแล้วคว้าแขนของเขาไว้
“ได้ คุณบอกว่าฉันมันขี้อิจฉา ฉันยอมรับฉันมันใจแคบจริงๆ เพราะแบบนี้ ฉันก็รับปากว่า ฉันจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ต่อไปนี้ฉันจะพยายามใจกว้างมากขึ้น แบบนี้เอาไหมล่ะ?”
ชางหลิงยังคงประนีประนอม
ชีวิตที่สงบสุขมันไม่ง่ายเลยซึ่งเธอก็ไม่อยากให้ปัญหามันถาโถมเข้ามาอีก
“คุณเปลี่ยนได้แล้วงั้นเหรอ?” โหมวยู่มองเธอ “นิสัยคุณเป็นแบบไหนคุณย่อมรู้ดีที่สุดนะ”
“แล้วคุณอยากให้ฉันทำยังไงล่ะ?” ชางหลิงลืมตาขึ้นมอง “คุณช่วยบอกฉันหน่อยสิว่าคุณอยากให้ฉันทำยังไงกันแน่? ฉันเป็นภรรยาคุณนะ ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ของเราก็ควรแก้ไข ไม่ใช่ว่าจะเอาแต่ตาต่อตา ฟันต่อฟันกันทุกวันอย่างตอนนี้ กว่าที่เราจะอยู่ด้วยกันได้มันยากมากไม่ใช่เหรอ?”
เพื่อเขาแล้ว เธอเกือบเสียชีวิตไปตั้งหลายครั้ง นี่เป็นความสุขที่เธอต้องแลกมาด้วยชีวิตเลยนะแล้วอยู่ๆ จะพูดว่าเลิกก็เลิกง่ายๆ อย่างนี้ได้ยังไงกัน?
“ผมไม่รู้” น้ำเสียงของโหมวยู่เบาอย่างมาก
เขาไม่รู้ว่าเขาต้องการชางหลิงไปทำไมกันแน่
เขาแค่อยากให้เธอใช้ชีวิตดีๆต่อไป แม้ว่าเขาจะตายแล้วก็ตามและเขาก็อยากให้เธอไปจากเขาสะ เพราะถ้าเป็นแบบนี้เธอก็สามารถใช้ชีวิตอย่างราบรื่นได้
ดังนั้น หากทำให้เธอรังเกียจเขา และเกลียดเขาก็จะทำให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้นหน่อย ซึ่งเขาเองก็เต็มใจที่จะทำแบบนี้
“เราห่างกันสักพักเถอะ” โหมวยู่ปล่อยมือชางหลิง
ชางหลิงมองดูมือที่ถูกสะบัดออกไปของเธอ เธอก็ถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งด้วยขาที่อ่อนแรง
“คุณรู้บ้างไหมว่าการห่างกันสักพักในตอนนี้มันหมายความว่าอะไร? ” เธอตาแดง
โหมวยู่ไม่ตอบ
“โหมวยู่เป็นเพราะคุณบุกเข้ามาในชีวิตของฉันก่อนเป็นเพราะคุณเองที่โกหกให้ฉันแต่งงานที่คุณเคยบอกว่าคุณจะอยู่กับฉันตลอดไปนั้น ฉันคิดไปแล้วสะอีกว่าสิ่งที่คุณพูดมันเป็นเรื่องจริง ฉันอุตส่าห์เตรียมใจที่จะอยู่กับคุณไปตลอดทั้งชีวิตที่เหลือของฉัน แต่ตอนนี้ คุณกลับบอกกับฉันว่า เราต้องห่างกันสักพัก?”
น้ำตาของชางหลิงไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย
“ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นแบบนี้ทำไมคุณถึงไม่ห่างกันสักพักในวันที่คุณจดทะเบียนสมรสกับฉันเล่า? ทำไมคุณถึงไม่ห่างกันสักพักเมื่อ 6 ปีที่แล้ว? คุณสามารถปล่อยปละละเลยให้ฉันลากผู้ชายอีกคนออกไปในคืนนั้นได้คุณสามารถปล่อยให้ฉันถูกน้ำทะเลซัดจมลงไปให้ตายต่อหน้าต่อตาคุณได้นิ!”
“พอแล้ว!” โหมวยู่กำหมัดแน่น
เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูดเหล่านี้หัวใจของเขาก็เศร้าเสียใจสุดขีด
“ได้” แววตาชางหลิงคลายลง เธอกลัวว่าถ้าเธอยังพูดต่อไป โหมวยู่จะทำตามคำพูดของเธอและผลักสถานการณ์ไปสู่จุดที่แย่กว่า เธอปาดน้ำตา และปลอบใจตัวเอง “ฉันจะไม่พูดแล้ว”
“คุณอยากห่างกันสักพัก ได้เลย ฉันจะให้เวลาคุณห่างกันสักพัก และในระยะนี้ ไม่ว่าคุณอยากจะทำอะไรก็จงไปทำซะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ชางหลิงต่ำต้อยขนาดนี้ “ฉันจะรอคุณนะ”
เธอหันหลัง แล้วผลักกระเป๋าเดินทางออกไปข้างนอก
“พี่สะใภ้ครับ…” หลีซินขมวดคิ้วและเดินขึ้นมา
เมื่อเดินไปถึงที่ประตู ชางหลิงก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ไปทีหนึ่งเธอยังคงดึงรอยยิ้มออกมาเธอหันหน้า แล้วมองที่โหมวยู่ “งั้น ฉันไปก่อนนะ เมื่อคุณรู้สึกดีขึ้น ค่อยมารับฉันกลับบ้านแล้วกันนะ”
“ดีไหม?” เธอน้ำตาที่ซ่อนไว้ แล้วถามเขาด้วยรอยยิ้ม
โหมวยู่ขยับคอแล้วก้าวเท้า จากนั้นก็เดินตรงขึ้นไปยังชั้นบน