มีคนในชุดดำที่เธอไม่รู้จักเลยสักนิดยืนอยู่หน้าประตู เธอคิดจะเอ่ยปากถามว่าเขาเป็นใคร แต่อีกฝ่ายกลับเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้น ก็มีคนในชุดดำเดินเข้ามาทีละคน
พวกเขาทั้งหมดถือกล่องของขวัญในมือ แล้วยืนอย่างเป็นระเบียบไปทั่วทั้งห้องรับแขก
“ไอ๊หยา นี่มันเป็นอะไร” แม่ซูตกใจ และทุกคนที่อยู่บนโต๊ะอาหารก็พากันยืนขึ้น
“นังเด็กไร้เดียงสาเอ๊ย แกไปเรียกใครข้างนอกมา?” แม่ซูวิ่งไปอย่างรวดเร็ว แล้วตีตัวซูเสี่ยวเฉิงเบาๆ
“หนู…หนูก็ไม่รู้…” ซูเสี่ยวเฉิงสังเกตสไตล์การแต่งตัวของพวกเขาจากหัวจรดเท้า
ทำไมดูแล้วมันเหมือนกับ…ลูกน้องของหลีซินเลย
เมื่อนึกถึงคนคนนี้ก็มีเงาร่างที่ยืนตระหง่านเดินเข้ามาที่ประตูแล้ว ซึ่งนั่นคือหลีซินที่สวมชุดสูทสีดำอย่างเป็นทางการ และผมที่ผ่านการจัดเป็นอย่างดี โดยเขาหวีผมเป็นทรงโมฮอก และด้วยดวงตาดอกท้อที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ที่มองมาทางซูเสี่ยวเฉิงโดยปราศจากการปกปิดใดๆ
คุณ…” ซูเสี่ยวเฉิงงุนงง
“คุณป้าครับ” หลีซินไม่ได้เรียกเธอ แต่กลับหันไปมองแม่ของซูเสี่ยวเฉิง “คุณเป็นแม่ของเสี่ยวเฉิงใช่ไหมครับ?”
แม่ซูตะลึงงัน พร้อมกับพยักหน้า
“ใช่จ้ะคงจะมีแค่คนที่สวยแบบนี้เท่านั้นที่จะสามารถให้กำเนิดสาวสวยอย่างเสี่ยวเฉิงได้” หลีซินยิ้มอย่างอ่อนโยน
เมื่อแม่ซูได้ยินคำพูดนี้บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยความสุข เธอรีบถอยไปก้าวหนึ่ง “ลูกเป็นเพื่อนของเสี่ยวเฉิงใช่ไหม มาๆ เข้ามานั่งสิ อย่ายืนเลย”
ซูเสี่ยวเฉิงไม่รู้ว่ามันเรื่องอะไรกันแน่เธอชี้เงาร่างของหลีซิน โดยไม่รู้ถึงเจตนาของเขาเลย
“คุณมาทำอะไรเนี้ย?” ซูเสี่ยวเฉิงจ้องเขา “ฉันกำลังนัดดูตัวอยู่นะ”
หลีซินเหลือบมองครอบครัวสามคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นแวบหนึ่งแล้วส่งสายตาสั่งให้ชายชุดดำวางกล่องของขวัญไว้ในห้องรับแขกแล้วถอยออกไปอย่างเป็นระเบียบ
“คุณลุงคุณป้าครับ ผมมาเยี่ยมพวกคุณดึกขนาดนี้ชางเป็นคนรุ่นหลังที่บุ่มบ่ามไปหน่อย ผมเลยเตรียมของขวัญให้พวกคุณสักเล็กน้อย ช่วยรับไว้ด้วยนะครับ”
เมื่อพ่อซูแม่ซูมองดูของขวัญในห้อง ก็มองหน้ากันโดยไม่รู้ว่าควรจะพูดต่อยังไงดี
“คุณผู้ชายท่านนี้ ไม่ทราบว่าคุณคือ…” พ่อซูสงสัย
หลีซินยื่นมือออกมา โอบซูเสี่ยวเฉิงที่ยังคงตะลึงงันอยู่ข้างๆ มา “ผมเป็นแฟนของเสี่ยวเฉิง ผมชื่อหลีซินครับ”
พ่อซูกับแม่ซูเบิกตากว้าง และตระกูลโจวสามแม่ลูกก็ประหลาดใจไม่หยุดเช่นกัน
ตัวซูเสี่ยวเฉิงนิ่งไม่ขยับราวกับถูกไฟช็อตอย่างไงอย่างงั้นเลยเธอกะพริบตา และคำพูดของหลีซินก็ดังก้องกลับไปกลับมาอยู่ในใจเธอ
แฟนของเธองั้นเหรอ? เขาเป็นแฟนของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
“ซูเสี่ยวเฉิง!” พ่อซูกระหืดกระหอบ “อธิบายให้พ่อหน่อยสิ!”
“คุณลุงครับ” หลีซินปลอบใจเขา “อย่าโทษเธอเลยนะครับ ก่อนหน้านี้ ระหว่างผมกับเสี่ยวเฉิงมีความขัดแย้งกันเล็กน้อย เธอกลัวคุณลุงจะเป็นห่วง เลยไม่ได้บอกคุณลุง”
“ที่ผมมาในวันนี้ ผมตั้งใจจะมาขอโทษคุณลุง และอยากมาเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานของผมกับเธอครับ”
“เรื่องการแต่งงาน!” ซูเสี่ยวเฉิงอ้าปากค้าง นี่มันมาไม้ไหนกันเนี้ย? เขาต้องการทำอะไรกันแน่?ทำไมถึงไม่บอกเธอล่วงหน้าสักคำเลย?
“พวกคุณทำได้ยังไงกัน?” แม่โจวได้ยินสิ่งที่หลีซินพูด ก็เดินมาอย่างรวดเร็ว “ลูกสาวพวกคุณมีแฟนอยู่แล้วทำไมยังต้องนัดดูตัวอะไรอีก ทำไมต้องมาล้อเล่นกับพวกเรา?”
สีหน้าของโจวหมิงรุ่ยก็ดูแย่เช่นกัน แม้ว่าซูเสี่ยวเฉิงไม่ได้ดีอะไรมากแต่ท้ายที่สุดแล้ว รูปร่างหน้าตากลับเป็นประเภทที่เธอชอบซึ่งตอนนี้เรื่องมันเกิดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเลย และในที่สุดบนใบหน้าของชายผู้นี้ก็ข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่
“พวกคุณอย่าเข้าใจผิดนะ” แม่ซูยังอยากจะอธิบาย แต่พ่อซูกลับนั่งลงบนโซฟา และใช้สายตาสั่งให้หลีซินนั่งลง
“คุณหลี ในเมื่อคุณมาที่นี่เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงาน งั้นก็พูดมาเถอะ” พ่อซูไม่ชอบความเหนือกว่าในตัวเองของครอบครัวโจวหมิงรุ่ยที่ทำกับว่าลูกสาวสุดที่รักของเขาไม่สามารถหาคนที่ดีกว่านี้ได้
หลีซินนั่งฝั่งตรงพ่อซูด้วยท่าทีที่ความเคารพ
“ผมก็ไม่ได้รู้จักคุณเลย คุณช่วยแนะนำตัวหน่อยสิ” พ่อซูจงใจทำท่าทีเย่อหยิ่งต่อหน้าแม่โจว
หลีซินยิ้ม และพูดอย่างเชื่อฟังว่า “ปีนี้ผมอายุ 28 ปี ผมเป็นผู้จัดการของโรงแรมลูกโซ่แห่งหนึ่ง ผมเรียนจบจากโรงเรียนทหาร ซึ่งผมเคยเป็นทหารมา 8 ปี” หลีซินพูดพร้อมกับหยิบเอกสารฉบับหนึ่งออกมาจากกระเป๋าถือของเขา เขายื่นมันไปที่มือของพ่อซูด้วยมือทั้งสองข้าง
เมื่อแม่ซูเห็นดังนั้น ก็เอนตัวเข้ามาข้างๆ พ่อซูและอ่านร่วมกันกับเขา
“ส่วนสูง 182 น้ำหนัก 140ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า มีความประพฤติที่ดี สุขภาพแข็งแรง จะไปตรวจร่างกายทุกปีและสามารถรับประกันสิ่งที่กล่าวมาได้ทั้งหมด”
“อะแฮ่ม” ซูเสี่ยวเฉิงแสร้งไอเพื่อขัดจังหวะเขา
มีคนแนะนำตัวเองแบบนี้ที่ไหนกัน นี่ไม่ใช่ไปสัมภาษณ์งานนะพูดละเอียดขนาดนี้เพื่อ?
พ่อซูมองดูข้อมูลบนเอกสารของเขาก็ยกน้ำเสียงอย่างจงใจ “ถ้าคุณแต่งงานกับเสี่ยวเฉิงของบ้านเรามีการวางแผนอะไรหลังจากนั้นไหม?”
หลีซินเหลือบมองซูเสี่ยวเฉิงอย่างลึกซึ้ง ด้วยสายตาที่อ่อนโยน “เสี่ยวเฉิงเป็นผู้หญิงที่ร่าเริงแจ่มใส และความสุขของเธอก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้น หลังแต่งงาน ให้ทุกอย่างตามความปรารถนาของเธอเอง
แม้เธอจะไม่ไปทำงาน ผมก็สามารถเลี้ยงดูเธอได้ถ้าเธออยากไปทำงาน ผมก็สนับสนุนด้วยเช่นกัน”
สีหน้าแม่โจวดูน่าอายมาทันที
“แล้วพวกเธอวางแผนจะมีลูกกันเมื่อไหร่ล่ะ?” แม่ซูซักถาม
“แม่!” ซูเสี่ยวเฉิงกระทืบเท้า “มันเกี่ยวอะไรกันด้วยเนี้ย”
หลีซินก็ยิ้มด้วยเช่นกัน “สิ่งนี้ก็เป็นไปตามความปรารถนาของเธอเช่นกัน แค่เธอต้องการมีลูก ก็ได้ทุกเมื่อ ครับ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสุขและสุขภาพดีของเธอถ้าเธอต้องการเป็นแม่จริงๆ ผมจะเตรียมทุกอย่าง เพื่อรับประกันว่าความสุขและสุขภาพร่างดีของเธอ”
แม่ซูพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“แล้วหลังจากที่พวกเธอแต่งงานกันจะให้พ่อแม่อยู่ด้วยกันไหม?” พ่อซูเริ่มมีความสนใจต่อหลีซินอย่างจริงจัง
หลีซินเม้มปาก เขาลุกขึ้น และโค้งคำนับพ่อซูแม่ซูอย่างเอาจริงเอาจัง “คุณลุงคุณป้าครับ ผมเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่ผมเสียชีวิตตั้งแต่ที่ผมยังเด็ก ดังนั้น โปรดวางใจเถอะครับ ผมไม่ได้มาเพื่อแย่งลูกสาวของพวกคุณแต่มาเข้าเป็นสมาชิกกับครอบครัวนี้”
“พ่อแม่ของเธอ ก็คือพ่อแม่ของผมหากพวกคุณเต็มใจที่จะอยู่กับพวกเรา ผมจะเตรียมบ้านที่เหมาะกับสามชั่วอายุคนถ้าพวกคุณไม่ยินยอม ผมกับเสี่ยวเฉิงจะอยู่ใกล้ๆ พวกคุณ ถ้าคุณต้องการอะไร ผมสามารถไปได้ทุกเมื่อครับ”
หัวใจของพ่อซูเต้นแรงราวกับถูกบางอย่างกระตุ้น
ซูเสี่ยวเฉิงที่ยืนอยู่ข้างๆก็มองดูท่าทีที่จริงใจของหลีซินจนเธอพูดไม่ออกอยู่นาน
ทุกสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงงั้นเหรอ? ทำไมมันถึงเหมือนเป็นภาพลวงตาขนาดนี้เธอไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ
“โอ้ ไม่มีพ่อแม่เหรอ?” แม่โจวกอดอกแล้วเดินมา “งั้นก็ยินดีกับพวกคุณด้วยนะ ที่ได้ลูกชายอีกคนมาฟรีๆ”
“อย่างไรก็ตาม ได้ยินมาว่าพวกลูกเขยแต่งเข้าแบบนี้ ล้วนเป็นพวกที่ไม่มีความสามารถอะไรเลยดังนั้นระวังอย่าให้ลูกสาวที่เลี้ยงดูมาตลอดชีวิตต้องถูกคนแบ่งทรัพย์สมบัติของครอบครัวไปแล้วกันล่ะ”
แม่โจวดูถูกเหยียดหยามอย่างสุดโต่งเธอดึงตัวโจวหมิงรุ่ยแล้วกำลังจะออกไปข้างนอก “ไปเถอะลูก ในเมื่อครอบครัวรักใคร่ปรองดองกันขนาดนี้ พวกเราก็อย่าอยู่ขวางหูขวางตาที่นี่เลย”
โจวหมิงรุ่ยเดินไปข้างๆ ซูเสี่ยวเฉิง แล้วหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง ราวกับว่ามีเรื่องอยากจะพูด แต่เมื่อเหลือบมองสายตาที่แหลมคมของแม่โจวด้านข้างแล้ว ก็เลือกที่จะปิดปากตัวเองไว้
“เอ๊ะ!” แม่ซูเหลือบมองข้อมูลในเอกสารของหลีซินแล้ว ก็ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ
“เอ๊ะ! ลูกเขยหลี นี่ลูก นี่มันเขียนไว้ว่าลูกเป็น… ผู้จัดการของโรงแรม Nova งั้นเหรอ?”
ซูเสี่ยวเฉิงทำอะไรไม่ถูกด้วยความเก้อเขิน
เมื่อได้ยินชื่อที่คุ้นเคยนี้ ตระกูลโจวทั้งสามคนก็หยุดฝีเท้าลง
“ใช่ครับ” หลีซินรู้สึกสบายใจกับชื่อเรียกนี้ของแม่ซู
“ลูกเป็นผู้จัดการเลยนะ!” แม่ซูลุกขึ้น “นั่นมันไม่ใช่ ผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดเหรอ?”
“แม่คะ!” ซูเสี่ยวเฉิงรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “ประธานกรรมการต่างหากเล่าถึงเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุด ซึ่งประธานกรรมการของ Nova ก็คือโหมวยู่ค่ะ”
“ใช่แล้วครับ” หลีซินพูดคล้อยตาม “คุณชายรองโหมวถึงจะเป็นผู้ตัดสินใจสูงสุดครับ ผมกับเขาเราเป็นเพื่อนร่วมรบกัน ดังนั้นผมจึงครอบครองหุ้นบางส่วนของ Nova ครับ”
แม่โจวสีหน้าซีดเผือด
เป็นผู้จัดการของ Nova เป็นผู้ถือหุ้นและเป็นเพื่อนร่วมรบของคุณชายรองโหมวอีก ซึ่งหากความสัมพันธ์แบบนี้เป็นความจริง ต่อให้พวกเขาจะต้องดิ้นรนเป็นสิบชั่วอายุคนพวกเขาก็เทียบไม่ได้หรอก
“ลูก” แม่โจวสะกิดแขนโจวหมิงรุ่ย “ลูกสมัครเป็นผู้จัดการฝ่ายขายของ Nova ไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่ ไปทักทายคุณหลีล่ะ?”
โจวหมิงรุ่ยไม่ยินยอม พ่อโจวจึงจ้องไปที่เธออย่างดุร้ายแวบหนึ่ง
“ยังไม่อายพอหรือไง?” หลังจากพูดจบพวกเขาก็สะบัดชายแขนเสื้อแล้วเดินจากไป