“ไอ้หยา ฉันก็ทำดีเพื่อลูกนั่นแหละ…” แม่โจวไล่ตามพวกเขาไป
ตระกูลโจวก็จากไปและห้องก็เงียบไปครู่หนึ่ง
เมื่อแม่ซูเห็นว่าทุกคนตัวแข็งทื่อกันไปหมดเธอจึงดึงตัวหลีซินไปที่โต๊ะอย่างอบอุ่น “มาๆ ลูกเขยหลียังไม่ได้ทานข้าวใช่ไหมมาทานสักหน่อยสิ พวกเราเพิ่งเริ่มทานเอง”
“ตาเฒ่าเร็วเข้ารีบไปหยิบชามและตะเกียบคู่ใหม่มาเร็ว”
แม่ซูหยิบชามและตะเกียบที่ตระกูลโจวใช้ไปไว้ในครัวและพวกเขาทั้งสี่ก็นั่งรอบโต๊ะ ส่วนซูเสี่ยวเฉิงที่นั่งข้างหลีซิน ก็เอาแต่ก้มหน้า
“ตอนนี้พวกเขาก็ไปกันแล้ว” แม่ซูกอดอกพร้อมกับพิงเก้าอี้ไว้แล้วมองไปที่ซูเสี่ยวเฉิงกับหลีซินอย่างระมัดระวัง “ที่นี่ไม่มีคนนอกแล้ว พูดมาเถอะ ว่าไงตกลงเรื่องมันเป็นยังไง?”
ซูเสี่ยวเฉิงยกชามตัวเองขึ้นแล้วยัดข้าวเข้าปากตัวเองไปคำใหญ่ๆ โดยคิดที่จะปิดปากตัวเองไว้
“คุณลุงครับ” หลีซินอธิบาย “สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่นี้ล้วนเป็นความจริงนะครับ”
เขาเหลือบมองที่ซูเสี่ยวเฉิงที่อยู่ข้างๆ ด้วยสายตาที่คลั่งไคล้อย่างมาก “ผมกับเสี่ยวเฉิง รู้จักกันได้เพราะชางหลิงเพื่อนสนิทของเธอครับ เธอเป็นผู้หญิงที่เก่งมากรู้เรื่องการออกแบบเขียนนิยายได้นิสัยร่าเริง และมีครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียวปรองดองกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจผม”
“ไอ้หยา นังหนูคนนี้มันไม่ได้ดีอย่างที่ลูกพูดเลย” แม่ซูพูดด้วยรอยยิ้ม “ลูกสาวของฉันน่ะฉันย่อมรู้ดีอยู่แล้ว เธอน่ะ ทั้งบุ่มบ่ามทั้งมุทะลุ ไม่มีความคิดอ่านอะไรมาตั้งแต่เด็กล่ะถ้าไม่ใช่เพราะนังหนูชางหลิงคนนั้นช่วยคาดว่าตอนนี้ยังหางานที่เอาจริงเอาจังไม่ได้สักงานเลยแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยฉลาดสักเท่าไหร่แต่ใจเธอบริสุทธิ์มาก”
“คุณก็รู้ว่า เราน่ะมีลูกช้า จึงเลี้ยงลูกอย่างรักใคร่เอาใจขนาดนี้ซึ่งเราก็ไม่ยอมให้เธอลำบากตั้งแต่เด็กเลย”
“คุณลุงคุณป้าวางใจเถอะครับ ผมจะไม่ให้เธอได้รับความไม่เป็นธรรมเลย” หลีซินมองเธอจนความรู้สึกที่จริงใจเกือบจะทะลักออกมาจากดวงตาของเขาแล้ว
“แล้วพวกเธอเตรียมจะแต่งงานกันเมื่อไหร่?” พ่อซูถามอีกครั้ง
“พ่อ!” ซูเสี่ยวเฉิงวางชามลง “เร่งแต่งงานในตอนนี้ มันไม่รีบไปหน่อยเหรอคะ”
เธอยังไม่เข้าใจเลยว่าตกลงหลีซินมาไม้ไหนเลย
“ยังไม่รีบอีกเหรอ แกก็ดูลูกเขยหลีสิ อายุตั้ง 28 ปีแล้วเนี้ย” แม่ซูมองบนใส่เธอ “แกก็ดูชางหลิงสิ อะไรๆ ก็เรียนรู้จากเธอหมดทำไมไม่เรียนรู้สิ่งนี้จากเธอบ้างล่ะคุณชายรองโหมวคนนั้น อายุเท่ากันกับลูกเขยหลีเลยนะพวกเขาคงกลัวว่าปีนี้จะไม่ได้อุ้มลูก ถ้าแกยังไม่รีบคว้าเอาไว้ก็อย่าทำให้ฉันต้องขายหน้าเลย”
ซูเสี่ยวเฉิงรู้สึกอับอายอย่างไรเสียเธอก็ไม่สามารถเถียงแม่ของเธอได้หรอก
“แล้วแต่เสี่ยวเฉิงเลยครับ” หลีซินพูดอย่างสงบ “ถ้าเธออยากแต่งงานเมื่อไหร่ สามารถบอกผมได้ทุกเมื่อ เลยแค่ให้เวลาผมหน่อยแล้วผมจะจัดงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ให้กับเธอเอง”
ซูเสี่ยวเฉิงตะลึงพร้อมกับมองไปที่หลีซินอย่างเซ่อใบหน้าที่บอบบางพร้อมด้วยรอยยิ้มที่จริงใจนั้น ทำให้หัวใจเธอเต้นตึกตัก
หลังจากทานอาหารเสร็จ พ่อซูกับแม่ซูก็ส่งหลีซินออกจากลานบ้านตระกูลซูและแม่ซูก็กำชักให้เธอเดินไปรอบๆ เป็นเพื่อนหลีซิน และซูเสี่ยวเฉิงก็ไม่สามารถขัดคำสั่งได้ เธอจึงจำใจตอบรับไป
ณ ช่วงเวลาแห่งความสงบสุข
บ้านตระกูลซูเป็นบ้านสไตล์ตะวันตกเก่าแก่ของเมืองหนาน ซึ่งผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็อยู่มาหลาย 10 ปีแล้วเมื่อผู้คนมากมายที่ออกมาวิ่งหลังทานอาหารเย็นเห็นพวกเขาที่ถนน ซูเสี่ยวเฉิงก็ทักทายพวกเขาน่าเอ็นดู และเพราะมีชายรูปหล่อที่สะดุดตาอยู่ข้างตัวเธอ จึงทำให้ผู้คนพากันซุบซิบ
“เฮ้ย” เมื่อพวกเขาเดินไปถึงที่เปลี่ยว ซูเสี่ยวเฉิงก็เงยหน้าขึ้น “คุณต้องให้คำอธิบายกับฉันไม่ใช่เหรอ?”
หลีซินหยุดฝีเท้าลง และซูเสี่ยวเฉิงก็หยุดลงด้วยเช่นกัน ในขณะที่กำลังจะซักถามต่อไป หลีซินกลับยื่นมือออกมา โอบเอวของเธอไว้
เขายกคางเธอขึ้นแล้วก้มลงไปยังริมฝีปากสีแดงสดนั้น และทำทุกอย่างในรวดเดียว โดยไม่ลังเลใดๆ
ซูเสี่ยวเฉิงหน้าแดงขึ้นมาทันทีและเธอก็สัมผัสได้ถึงจูบที่ยังไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ของหลีซิน ตัวเธอก็สั่นเล็กน้อย
จบแล้ว…
ความชอบเขาของเธอมันดูเหมือนว่าจะยิ่งชอบมากขึ้นสะแล้ว
“ผมชอบคุณ” หลังจากเงียบอยู่นาน หลีซินก็ปล่อยเธอลง เขามองตาเธอแล้วพูดด้วยความจริงใจ
“คุณ…”ซูเสี่ยวเฉิงรู้ตัวทีหลัง “ไม่ใช่เสี่ยวหลิง…”
“คนที่ผมชอบคือคุณ” หลีซินทำท่าทีแข็งแกร่ง “ความชอบที่มีต่อเธอ คือความชอบแบบคนสนิทซึ่งมันก็เหมือนกับที่ผมชอบพี่ใหญ่ พี่รองต้วนและฉินซางผมอยากให้เธอสุขภาพแข็งแรง ปลอดภัย มีความสุข และอยู่กับพี่ใหญ่ไปเนิ่นนาน แต่คุณนั้นมันไม่เหมือนกัน…”
“ทำไมฉันถึงไม่เหมือนกันล่ะ?” ซูเสี่ยวเฉิงสับสน
“ผมก็อยากให้คุณสุขภาพแข็งแรง และแก่ไปด้วยกันกับผม ผมหวังว่าสิ่งที่ผมเรียนรู้มาตลอดชีวิตนั้น จะสามารถทำให้คุณปลอดภัย หวังว่าความสุขของคุณล้วนมาจากผม และผมก็หวังว่าคุณจะอยู่กับผมไปนานๆ เลย”
ความเขินอายบนใบหน้าซูเสี่ยวเฉิงยิ่งหนักลง เมื่อฟังคำเหล่านั้นที่หลีซินพูดออกมาจากปากแล้ว มือของเธอก็เคลื่อนลงไป ที่ขาของเธออย่างเงียบๆ จากนั้นก็หยิกไปทีหนึ่ง
ก็เจ็บนะ…เธอไม่ได้ฝันไปนิ!
หลีซินสารภาพรักกับเธอจริงๆ !
“คุณ…ทั้งหมดที่พูดมันจริงเหรอ?” ซูเสี่ยวเฉิงตื่นเต้น
“แล้วคุณอยากให้ผมพิสูจน์ยังไงล่ะ?” หลีซินก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดยังไงเธอถึงจะเชื่อ
ซูเสี่ยวเฉิงจ้องหลีซินอยู่นาน จากนั้นก็กระโดดขึ้นบนตัวเขาด้วยการกอดคอของเขาไว้ โดยไม่ทันได้ตั้งตัว
หลีซินกลัวว่าเธอจะล้มจึงรีบกอดเธอไว้แน่น แต่เขาก็รู้สึกประมาทเล็กน้อยเมื่อต้องเอามือรองบั้นท้ายเธอไว้ ซึ่งในขณะที่ยังลังเลอยู่นั้น จูบที่เร่าร้อนของซูเสี่ยวเฉิงก็ได้ลงมา
เขาถูกกระทำด้วยการบุกโจมตีของเธอเจ้าแกะน้อยที่เมื่อครู่ยังคงโอนอ่อนนั้นกลายเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ไปสะแล้วซึ่งเขายังไม่ได้เตรียมใจในจุดจุดนี้เลย
“ดังนั้น คุณจะแต่งงานกับฉันใช่ไหม?” ซูเสี่ยวเฉิงยิ้มแย้ม
หลีซินพยักหน้า “ผู้ใหญ่เขาก็เห็นด้วยแล้วนี่นา…”
“ถ้าคุณไม่รับปาก ผมจะไปฟ้องคุณลุงคุณป้านะ” หลีซินพูดด้วยรอยยิ้ม“ผมว่าพวกเขาก็พึงพอใจกับผมเหมือนกันนะดังนั้น พวกเขาจะต้องข้างเข้าผมแน่เลย ว่าไหม”
“ฉันรับปากสิ ฉันรับปากๆ…” ซูเสี่ยวเฉิงพยักหน้าจนเหมือนกับลูกไก่จิกข้าว
เหมือนยิ่งเดินถนนก็ยิ่งยาวขึ้น และถนนที่ปลูกไม้ไว้สองฟากฝั่งก็เต็มไปด้วยดอกไม้ เพราะฤดูใบไม้ผลิ
เลือดของหญิงพรหมจารีก็ไหลมาอย่างไร้ซึ่งเสียงใดๆ และมือทั้งสองก็จับกันไว้แน่น
ณ วิลล่าหนานวาน
ค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วง
โหมวยู่ปวดหัวอย่างรุนแรงเขาอดกลั้นกับความเจ็บปวดแล้วหาขวดยาออกจากลิ้นชัก เขาเทยาสองเม็ดไว้ในมือแต่หลังที่กลืนเข้าไปกลับไม่ได้รู้สึกว่ามันบรรเทาลงเลย จากนั้นก็เทยาออกมาอีกสองเม็ด แล้วกลืนเข้าไปด้วยน้ำ
อาการปวดหัวเริ่มออกอาการมากขึ้นเรื่อยๆและความเจ็บปวดก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นด้วยเช่นกัน ถ้าชางหลิงยังอยู่กับเขา แค่กลัวว่ามันอาจถูกจับได้ในไม่ช้า
เสียงปลดล็อกรหัสผ่านประตูก็ดังขึ้น โหมวยู่จึงรีบเก็บขวดยาเข้าไปในลิ้นชักป๋ายจื๋อเดินเข้ามาจากด้านนอก และเห็นโหมวยู่นั่งอยู่บนโซฟา
“ผมกลับมาเก็บของน่ะ” เดิมทีที่เขาย้ายมาที่นี่เพราะชางหลิงอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้ชางหลิงได้ย้ายออกไปแล้ว เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะอยู่ต่อ
โหมวยู่ไม่ได้ส่งเสียงใดๆ และไม่ได้ตอบเขา
ป๋ายจื๋อขึ้นไปชั้นบน ซึ่งยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขาก็ลงมาด้วยการถือกระเป๋าเดินทางไว้ใบหนึ่งพร้อมกับแบกกระเป๋าเป้ไว้
“เรื่องอุบัติเหตุทางรถยนต์ล่ะเป็นยังไงบ้างแล้ว?” เมื่อเห็นว่าป๋ายจื๋อกำลังจะผลักเปิดประตูออก โหมวยู่ก็เอ่ยปากพูด
“คนในครอบครัวบอกว่า ไม่เอาเงิน” ซึ่งป๋ายจื๋อก็อยู่ในโรงพยาบาลมาทั้งวันแล้ว “แต่จะไปศาลครับ”
โหมวยู่ลุกขึ้น แล้วยื่นเอกสารฉบับหนึ่งบนโต๊ะกาแฟให้เขา “ซื้อรถน่ะฉันซื้อเอง ฉันไปหารายงานจุดบกพร่องมาแล้ว แน่ใจแล้วว่า เครื่องบันทึกการขับขี่สามารถใช้งานได้ตามปกติเมื่อส่งกลับประเทศ”
“ก็หมายถึงว่า เมื่อจอดอยู่ที่วิลล่า ต้องถูกคนแอบทำอะไรบางอย่างโดยเจตนาแน่ครับ” ป๋ายจื๋อพูดประโยคยืนยัน
“ฉันจะตรวจสอบอย่างละเอียด” โหมวยู่หรี่ตาลง
“คำตอบชัดเจนดี” ป๋ายจื๋อไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ดวงตาของเขากลับมองขึ้นไปยังชั้นบน
“ที่นี่ไม่ได้อยู่แค่เธอคนเดียวหรอก” โหมวยู่ตอบ “บวกกับพยาบาลและคุณหมอแล้ว ก็มีประมาณกว่า 30 กว่าคนขึ้นไป ยิ่งไปกว่านั้น โหมวยู่ก็เคยที่นี่ด้วย”
“พอเขามา แค่วันที่สองพวกคุณก็เจอกับเรื่องแบบนี้แล้ว ควบคุมและคอยสังเกตก็ถูกทำลายลง ซึ่งการเดินเครื่องเหล่านี้ มันต้องมีเส้นสายและเงินแล้วผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ตกอยู่ในความลำบากอย่างเธอน่ะเหรอจะไปทำไม่ได้?”
“ทำไมคุณถึงยอมสงสัยพ่อตัวเอง แต่ไม่ยอมสงสัยเธอ?” ป๋ายจื๋อถามเขา
โหมวยู่ไม่ได้ตอบ
เพราะโหมวเจิ้งถิงมีประวัติอาชญากรรมและเรื่องแบบนี้มันก็เหมือนกับสิ่งที่เขาเคยมากเกินไป
เพราะในปีนั้นป้าของเขาก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แบบนี้เหมือนกัน โดยที่มันไม่มีกล้องติดรถยนต์ และไม่มีวิดีโอกล้องวงจรปิด ดังนั้นจนถึงตอนนี้ เขาจึงไม่มีทางพลิกคดีได้ ทั้งๆ ที่ถูกคนฆ่าตาย แต่กลับทำได้แค่ปล่อยให้มันจบโดยที่ไม่มีบทสรุปอย่างนี้