“ทำไมแกเพิ่งกลับมา” ทันทีที่แม่ซูเห็นซูเสี่ยวเฉิง ก็เขกหัวเธอไปทีหนึ่ง “แขกใกล้จะมาถึงแล้ว รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ดูดีหน่อยเร็ว”
“แม่คะ” ซูเสี่ยวเฉิงคว้าชายเสื้อของแม่ไว้ “หนูไม่นัดดูตัวได้ไหมคะ”
เธอมองแม่อย่างอ้อนวอน “หนูเพิ่งจะอายุ 22 ปีเองยังเด็กอยู่เลยนะคะ ทำไมแม่ถึงใจแข็งพอที่จะรีบให้หนูแต่งงานขนาดนี้ด้วยล่ะ”
“ฉันแข็งใจแล้ว”แม่ซูไม่หลงกลมุกนี้หรอก “เราอายุตั้ง 50 ปีกว่าแล้วนะ อีกไม่กี่ปีก็จะลงหลุมล่ะ ถ้าแกมีลูกในตอนนี้พวกเรายังสามารถช่วยเลี้ยงลูกให้ได้ถ้าต่อไปเราไม่อยู่แล้ว แกคงจะเหนื่อยเอานะ”
“เฮ้ย ไม่ว่าพ่อกับแม่จะมีชีวิตอยู่ถึง 120 ปีก็ไม่ใช่โบราณวัตถุอะไร แล้วจะลงหลุมทำไมเล่า” ซูเสี่ยวเฉิงบ่นพึมพำ
“ฉันรู้นะว่าแกคิดอะไรอยู่” แม่ซูเหลือบมองลูกสาวตัวเองแวบหนึ่ง “แกน่ะ อย่าทำแต่เขียนนวนิยายรักทั้งวันจนไม่ทำงานทำการที่ถูกต้องเป็นเรื่องเป็นราวมากไปหรอกนะพวกเรื่องความรักนั้นน่ะ ล้วนเป็นสิ่งที่หลอกลวงพวกวัยรุ่นที่ไม่มีความรู้พวกนั้นเองแหละ”
“ความรู้สึกน่ะมันสามารถปลูกฝังกันได้แกดูฉันกับพ่อแกสิ ตอนนั้นก็รู้จักกันผ่านการนัดดูตัว ถึงมีแกไง แกก็ดูชางหลิงสิ เธอแสวงหาความรักขนาดนั้น ในปีนั้นฉันแค่มองก็ดูออกแล้วว่าหยูเฉินไอ้หนุ่มนั่นมันไม่น่าเชื่อถือดูสิสุดท้ายก็หักหลัง”
“โอ๊ยพอแล้วค่ะ” ซูเสี่ยวเฉิงมองบน “แม่หยุดเอะอะทีไรก็ยกแต่เรื่องของเสี่ยวหลิงหลิงมาพูดเลยนะคะ เธอเป็นเพื่อนของหนู แม่ไม่ได้รับอนุญาตให้พูดมั่วๆ นะคะ ตอนนี้ชีวิตเธอมีความสุขไปแล้ว”
“นั่นเป็นเพราะเธอน่ะมีความคิดมากกว่าแกไงล่ะ!” แม่ซูไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาไหนของซูเสี่ยวเฉิง “ถ้าแกฉลาดได้ครึ่งหนึ่งของเธอ คงไม่ต้องให้เราช่วยหาคู่ให้หรอก? แกดูตัวแกสิ อายุตั้ง 22 ปีล่ะ แม้แต่มือผู้ชายแกยังไม่ได้จับเลยสักคน ถ้ายังไม่รีบแต่งงาน เดี๋ยวก็เป็นสาวแก่ไปสะหรอก?”
อีกแล้วนะ! ซูเสี่ยวเฉิงทนรับไม่ได้กับคนที่พูดเป็นน้ำไหลไฟดับอย่างนี้เธอปิดหูตัวเองไว้ แล้วเดินขึ้นไปชั้นบนโดยตรง “หนูจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ”
เมื่อซูเสี่ยวเฉิงกลับไปที่ห้องของตัวเอง ก็เดินทางไปที่เตียง และทรุดตัวลงบนเตียงโดยตรง
นัดดูตัว…นัดดูตัวเหรอ!
เธอเป็นนักเขียนนวนิยายที่มีชื่อเสียงแล้วนี่นา? ในเมื่อสามารถเขียนเรื่องราวความรักที่ประทับใจคนได้ขนาดนี้แล้ว ทำไมเมื่อโอกาสมาถึงตัว ถึงทำได้แค่นัดดูตัวเท่านั้นล่ะ?
ซูเสี่ยวเฉิงจนปัญญาเธอเปิดตู้เสื้อผ้าเมื่อมองไปที่แถวของเสื้อผ้าสีสดใสนั้น เธอก็ค้นไปค้นมาในนั้นอยู่นาน จนหาเสื้อตัวที่สีเรียบๆ สะอาดตาที่สุดได้
จะดีมากถ้าไม่เลือกตัวที่ถูกใจเพราะถ้าทำแบบนี้ เธอก็จะสามารถถ่วงเวลาได้
มีเสียงดังขึ้นมาจากในห้องรับแขกชั้นล่างและซูเสี่ยวเฉิงเองก็แอบฟังจากทางประตูอยู่ครู่หนึ่งเธอหายใจเข้าลึกๆจากนั้นก็เปิดประตู แล้วเดินลงไป
“เสี่ยวเฉิงมาแล้วค่ะ” แม่ซูกำลังพูดคุยกับพ่อแม่ของฝ่ายชาย และเมื่อเห็นซูเสี่ยวเฉิง ก็รีบทักทายให้เธอมาทันที
“มาๆรีบมาทักทายคุณลุงโจวและคุณป้าโจวของลูกเร็วเข้า”
ซูเสี่ยวเฉิงทักทายพวกเขาอย่างเชื่อฟัง และผู้ชายคนนั้นก็ลุกขึ้น พร้อมกับยื่นมือไปทางเธอ “สวัสดีครับ ผมชื่อโจวหมิงรุ่ย”
ซูเสี่ยวเฉิงเงยหน้าขึ้น แล้วมองผู้ชายที่ใส่แว่นขอบทองคนนั้นอย่างสุภาพเรียบร้อยเขาเป็นคนมีปัญญาชนชั้นสูง รูปร่างหน้าตาก็ถือว่าหล่อใช้ได้เช่นกัน หากดูมองท่ามกลางฝูงชนก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากแต่ก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดขนาดนั้นด้วย
บางทีเธออาจอยู่กับชางหลิงมานาน ซึ่งคนรอบข้างเธอนั้นต่างก็สวยๆ หล่อๆ กันทั้งนั้นซึ่งพวกเขาคุ้นเคยกับการอุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหาร และอยู่ๆ ต้องมากลายเป็นน้ำซุปรสจืดแบบนี้ ก็คงต้องไม่ชินบ้างแหละ
ซูเสี่ยวเฉิงจับมือกับเขาเบาๆ และพวกเขาไม่กี่คนก็นั่งลงบนโซฟา หลังจากนั้นไม่นาน พ่อซูก็ออกมาจากห้องครัว และสั่งให้พวกเขาเริ่มรับประทานอาหารกัน
พวกเขาก็ล้อมโต๊ะอาหารไว้และซูเสี่ยวเฉิงก็เอาแต่ก้มหน้าตักข้าวใส่ปาก เมื่อแม่ซูเห็นเธอทิ้งไว้ โจวหมิงรุ่ยไว้ข้างๆก็รีบใช้ข้อศอกผลักเธอ
“เอ่อ หมิงรุ่ย ได้ยินมาว่าลูกเพิ่งกลับมาจากประเทศอังกฤษเมื่อเร็วๆ นี้ แล้วหลังจากนี้ลูกได้วางแผนอะไรไว้หรือเปล่าล่ะ”
“ผมเพิ่งส่งประวัติย่อไปครับแต่ยังรอการประกาศผลอยู่” โจวหมิงรุ่ยมั่นใจอย่างมาก “โรงแรม Nova เป็นธุรกิจอุตสาหกรรมลูกโซ่ทั่วโลกเลยนะครับ ผมคิดว่า ด้วยความสามารถของผมมันเหลือเฟือที่จะไปเป็นผู้จัดการฝ่ายขายประจำเขต”
Nova!
“แคร่กๆ…” ซูเสี่ยวเฉิงสำลักอาหารไปคำหนึ่ง
“ไอ้เด็กนี้นี่!” แม่ซูเก้อเขิน แม่ซูจึงรีบยื่นแก้วน้ำให้เธอไปแก้วหนึ่งเมื่อได้ยินชื่อนี้ก็รู้สึกคุ้นหู จึงเข้าไปใกล้ซูเสี่ยวเฉิง “เอ๊ะ โรงแรมนี้น่ะเป็นโรงแรมที่…ชางหลิง…
เป็นของสามีคนนั้นของชางหลิงเหรอ?
ซูเสี่ยวเฉิงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว แม่ซูเลิกคิ้ว โดยไม่ขุดคุ้ยอะไรมาก “งั้นที่ลูกหมายถึง ก็คือลูกคิดที่จะอาศัยอยู่ในประเทศเป็นเวลานานเหรอจ๊ะ?”
“ใช่ครับ” โจวหมิงรุ่ยตอบ “พ่อแม่ของผมซื้อบ้านที่เมืองหนานแล้วครับ ดังนั้น หน้าที่ต่อไปของผมก็คือสร้างครอบครัว และสร้างธุรกิจ”
“เดี๋ยวก่อน…” ซูเสี่ยวเฉิงเช็ดปาก “คุณโจวคะ คุณเพิ่งพูดว่า บ้านที่เมืองหนาน เป็นคุณลุงโจวและป้าโจวซื้อไว้ไม่ใช่เหรอคะ?”
“ใช่ครับ” โจวหมิงรุ่ยไม่ได้ปฏิเสธ
คุณพ่อโจวและคุณแม่โจวสบตากันแล้วมองซูเสี่ยวเฉิงพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หมิงรุ่ยของบ้านเรา เขาเพิ่งได้รับวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทเมื่อปีที่แล้ว และก่อนหน้านี้เขาก็เอาแต่เรียน ซึ่งพวกเราน่ะก็มีลูกชายคนเดียว การเป็นพ่อแม่น่ะ ทำงานหนักมาตั้งหลายปี ก็เพื่อมาเลี้ยงดูลูกๆ ของตัวเองแหละจ๊ะ”
ซูเสี่ยวเฉิงเม้มปากด้วยท่าทีที่เข้าใจ
“เสี่ยวเฉิงตอนนี้ลูกทำงานที่ไหนจ๊ะ” แม่โจวถามเธอ
“บริษัทเซิ่งซื่อค่ะ” ซูเสี่ยวเฉิงยิ้ม “แต่ที่จริงแล้วก็เป็นแค่เด็กฝึกงานเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้นค่ะ”
“บริษัทเซิ่งซื่อนี่เป็นบริษัทใหญ่บริษัทหนึ่งเลยนะ” พ่อโจวพูดต่อคำพูดของเธอ “สามารถเข้าไปได้มันไม่ง่ายเลยนะ”
“บริษัทใหญ่แล้วจะยังไงล่ะ เด็กฝึกงานของบริษัทใหญ่ก็เป็นแค่เด็กฝึกงานนี่นา” แม่โจวหัวเราะเยาะเย้ย ความรู้สึกที่เหนือกว่าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ “อย่างไรก็ตาม เสี่ยวเฉิงหนูก็อย่าได้ท้อแท้ไปเลยนะ หลังจากที่หนูแต่งงานกับหมิงรุ่ยของบ้านเราแล้ว หนูก็ไม่ต้องไปทำงานแล้ว แค่อยู่บ้านเลี้ยงลูกและทำงานบ้านก็พอแล้ว ส่วนเรื่องหาเงินน่ะก็ให้เป็นหน้าที่ของผู้ชาย”
“อีป้านั่น…” ซูเสี่ยวเฉิงปรับท่านั่งของเธอ “หนูยังเด็กมาก และยังไม่มีแผนจะมีลูกเลยค่ะ”
“หนูน่ะอายุตั้ง 22 แล้วนะ เด็กผู้หญิงเค้าน่ะ รีบมีลูกเร็วก็จะยิ่งฟื้นตัวเร็วนะ หมิงรุ่ยของบ้านเราน่ะอายุ 28 ปีแล้ว ถ้าพวกหนูยังไม่มีลูก เมื่อถึงเวลาถ้าลูกอายุ 20 ปีเขาก็จะอายุ 50 แล้ว อย่างนั้นการทำงานหาเงินให้ลูกด้วยวัยที่อายุเยอะแล้ว มันจะเป็นการเสียเปรียบมากนะ”
“ฉันก็คิดว่ามีลูกเร็วน่ะมันดีเหมือนกัน” เมื่อเห็นว่าซูเสี่ยวเฉิงกำลังจะทำให้การเจรจาล้มเหลว แม่ซูก็รีบพูดต่อขึ้นมาว่า “รอให้มีลูกก่อนแล้วค่อยไปทำงาน ก็จะไม่ต้องเป็นห่วงเป็นกังวลอะไรอีกแล้วใช่ไหมล่ะ”
“ใช่แล้ว” แม่โจววางมือลงบนไหล่ โจวหมิงรุ่ยแล้วมองไปที่ลูกชายของบ้านตัวเองอย่างสนิทสนม“หมิงรุ่ยของบ้านเรายอดเยี่ยมขนาดนี้เขาอุตส่าห์ไปเรียนถึงเมืองนอกมา คงไม่ต้องพูดมากแล้วล่ะ เพราะการเลี้ยงลูกแค่คนเดียวมันก็เหลือเฟือแล้ว และเมื่อถึงตอนนั้น ผู้ชายทำงานนอกบ้าน ผู้หญิงอยู่ในบ้านทุกอย่างจะราบรื่นเอง”
“แต่…” ซูเสี่ยวเฉิงขมวดคิ้ว “หนูก็เป็นลูกสาวคนเดียวถ้าหนูไม่ไปทำงาน แล้วพ่อแม่หนูจะทำยังไงล่ะ? พวกท่านอายุก็มากแล้ว หนูในฐานะลูกสาว ถ้าต้องใช้เวลาที่ควรขยันทำงานเพื่อไปคลอดลูกและเป็นแม่บ้าน พวกเขาจะอยู่ยังไง?”
“เออนี่…” แม่โจวยิ้ม “นี่ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่ป้าพูดเลย พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้คะ พวกคุณก็อายุมากแล้ว คงต้องมีเงินฝากมาบ้างแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น ใครจะมารบกวนให้ลูกสาวตัวเองช่วยเลี้ยงดูในยามแก่เฒ่ากันล่ะ?”
เมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกพูดออกไปแค่ครู่เดียวรอยยิ้มบนใบหน้าของพ่อซูก็หายไปทันที
“ถ้าอย่างนั้นหนูคงต้องถามอย่างบุ่มบ่ามสักคำหนึ่งนะคะ” ซูเสี่ยวเฉิงวางตะเกียบลง “คุณลุงและคุณป้าคะ พวกคุณมีเงินฝากเท่าไหร่กันคะ?มันพอสำหรับเลี้ยงชีวิตตัวเองให้อยู่ต่อไปใช่ไหมคะ คงไม่ต้องการให้คุณโจวมาเลี้ยงดูแล้วสินะ?”
“สิ่งที่หนูพูดนี่มันหมายถึง” แม่โจวมองบน “เงินของพวกเราน่ะ เอาไปซื้อบ้านให้หมิงรุ่ยหมดแล้วเป็นคอนโดเดี่ยว 2 ชั้นเลยนะยิ่งไปกว่านั้น ป้าก็มีลูกชายเพียงคนเดียว เราคงไม่พึ่งเขามากหรอกจ๊ะ?”
เธอพูด พร้อมกับตบหลังมือโจวหมิงรุ่ยเบาๆ โจวหมิงรุ่ยยิ้มให้เธอ ด้วยภาพฉากที่พ่อแม่รักและเมตตาต่อลูก และลูกก็กตัญญูต่อพ่อแม่
“งั้นก็แสดงว่า ครอบครัวพวกคุณเลี้ยงลูกชายมาเพื่อเลี้ยงดูในยามแก่สินะ พวกคุณซื้อบ้านสักหลังให้แล้วก็ไม่สนใจอะไร อีก ส่วนฉันลูกสาวที่ผมเลี้ยงดูมาตลอดทั้งชีวิตต้องแต่งงานกับบ้านคุณและต้องเป็นแม่บ้านให้ครอบครัวคุณ แล้วมันจะตอบแทนพ่อแม่ไม่ได้เลยเหรอ?” ในที่สุดพ่อซูก็ทนไม่ไหว
“ตาเฒ่า!” แม่ซูรีบหยุดเขาทันที เพราะกลัวว่าจะทำให้การร่วมทานอาหารครั้งนี้วุ่นวาย
แค่ครู่เดียวบรรยากาศก็ตึงเครียดขึ้นมาในทันทีและในขณะนั้นเอง เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น
“เดี๋ยวหนูไปเปิดเองค่ะ หนูจะไปเปิดเอง” ซูเสี่ยวเฉิงเสนอตัวเพราะอยู่กับคนแบบนี้ก็จะทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ออกสะเปล่า
แต่ทว่า หลังจากที่เห็นคนที่ยืนอยู่ข้างนอก ในขณะที่เปิดประตู เธอก็ตะลึง