ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก – บทที่ 279 ที่แท้ก็แค่อันธพาลคนหนึ่ง

บทที่ 279 ที่แท้ก็แค่อันธพาลคนหนึ่ง

ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิมีฝนตกปรอยๆ ซึ่งถนนในเขตชานเมืองก็ที่ไม่ได้ปูด้วยปูนซีเมนต์ด้วย จึงมีโคลนตลอดทาง

ชางหลิงกับป๋ายจื๋อพวกเขาทั้งสองแต่งตัวธรรมดาๆ พวกเขาถือร่มไว้ พร้อมกับเดินเข้าไปในหมู่บ้าน

บอกว่าเป็นหมู่บ้าน แต่ในหลายปีมานี้ในเมืองได้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว คนหนุ่มคนสาวที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็ได้ย้ายไปอยู่ในใจกลางเมืองหมดกันแล้วจึงเหลือเพียงแต่ผู้สูงอายุบางส่วนที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปไหนได้และปฏิเสธที่จะย้ายออกจากบ้านเกิดไป

ชางหลิงเดินเข้าไปในหมู่บ้านย่างเร่งรีบโดยไม่คำนึงถึงเลยว่าจะเดินสะดุดหรือไม่ หลังจากหยิบที่อยู่ขึ้นมาเทียบแล้ว พวกเขาก็มาถึงตรงหน้าบ้านไม้ยกพื้นชั้นเดียวขนาดเล็กหลังหนึ่ง

ป๋ายจื๋อกำลังจะเคาะประตูเพื่อเข้าไป แต่ชางหลิงก็หยุดเขาไว้สะก่อน

“คุณกำลังจะทำอะไรน่ะ?”

“ก็ไปถามไง” ป๋ายจื๋อตอบกลับ

“บ้าไปแล้วเหรอ” ชางหลิงตบไหล่เขาไปทีหนึ่ง “ดูก็รู้แล้วว่าพวกเราเป็นคนนอกพื้นที่ ถ้าพวกเรารีบเข้าไป จะต้องถูกสงสัยอย่างแน่นอนและเมื่อถึงตอนนั้นเธอจะยังสามารถเค้นอะไรจากพวกเขาได้อีกไหมล่ะ?”

ป๋ายจื๋อขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงใดๆ

ชางหลิงเหลือบมองไปรอบๆ แวบหนึ่ง และเมื่อเห็นลานบ้านฟาร์มขนาดเล็กที่อยู่ข้างๆ ที่ซึ่งกำลังมีควันไฟลอยขึ้นมานั้น พวกเขาก็เดินตามทิศทางนั้นไป

เมื่อยืนอยู่ที่หน้าประตู ประตูในลานบ้านนั้นก็ปิดไว้ไม่สนิท พอมองลอดผ่านประตูเข้าไปข้างใน ก็เห็นว่าการจัดเรียงภายในบ้านค่อนข้างสะอาดเรียบร้อย ซึ่งมันสามารถเห็นได้ถึงความขยันหมั่นเพียรของเจ้าของบ้านเลย และเห็นได้ชัดว่า ห้องครัวข้างในมีหญิงชราคนหนึ่งกำลังก่อไฟอยู่ จากนั้นชางหลิงก็กระแอมเสียง แล้วเคาะประตู

“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามีคนอยู่ไหมคะ?” ชางหลิงถามไปประโยคหนึ่ง

เมื่อหญิงชราได้ยินเสียงนั้น ก็วางของที่อยู่ในมือลง แล้วเดินออกมาอย่างช้าๆ

“พวกคุณคือ…”

“สวัสดีค่ะคุณยาย” ชางหลิงยิ้ม “คือแบบนี้ค่ะ คือว่าหนูกับน้องชายขับรถ ผ่านมาทางนี้ แล้วเกิดเหตุยางรถแตกซึ่งต้องรอสักพักก่อนทีมกู้ภัยถึงจะมา พวกเราเลยอยากมาขอยืมห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัวสักหน่อยค่ะ”

เมื่อหญิงชราสังเกตมองชางหลิงและป๋ายจื๋ออยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ไม่ได้ปฏิเสธ และเปิดประตูให้พวกเขาเข้ามา

“ข้างนอกมันหนาว ไปผิงไฟกันเถอะ” เมื่อออกมาจากห้องน้ำ หญิงชราเห็นว่าชางหลิงเปียกฝนไปทั้งตัว เธอจึงพูดอย่างใจดีไปอย่างนั้น

“คุณยายคะ ขอบคุณมากคุณยายมากเลยนะคะ” ชางหลิงนั่งลงที่เตาในครัว และยิ้มออกมาอย่างน่าเอ็นดู “คุณยายเป็นคนดีจริงๆ เลยค่ะ ตลอดทางที่หนูถามมาและบ้านข้างๆ ที่เมื่อกี้พึ่งเดินผ่านมานี้ คนคนนั้นดุมากเลยค่ะ”

เมื่อหญิงชราได้ยินดังนั้น เธอจึงมองออกไปข้างบ้าน แล้วลดเสียงลง “นั่นนะสิ โชคดีที่หนูไม่เข้าไป ไม่อย่างนั้น หนูจะต้องโดนขู่กรรโชกแน่”

ชางหลิงและป๋ายจื๋อมองหน้ากันแล้วเธอก็ยิ้ม “น่ากลัวขนาดนี้เลยเหรอคะ? แค่ไปเข้าห้องน้ำ คงไม่ขนาดนั้นหรอกมั้งคะ”

“หนูไม่รู้หรอก” ผู้หญิงมักจะชอบพูดนินทา นี่มันเป็นเอกลักษณะเฉพาะตัวอยู่แล้ว ยิ่งอายุมากขึ้นก็จะยิ่งเห็นได้ชัดเลย “บ้านนั้นน่ะ ขึ้นชื่อว่าเป็นอันธพาลในหมู่บ้านนี้เลยนะ”

“ไม่กี่ปีมานี้ ไม่รู้ว่ามีคนโดนขู่กรรโชกมาแล้วกี่คนแล้วแล้วเมื่อพวกเราเจอเขาก็ต้องเดินอ้อมไปอีกที่เลยนะ”

ชางหลิงเข้าใจได้ในทันที “เป็นไปไม่ได้หรอกมั้งคะ หนูมองลักษณะของเขาแล้ว ก็ยังหนุ่มยังแน่นอยู่เลย อายุคงยังไม่ถึง 40 ด้วยซ้ำ คิดไม่ถึงเลยว่าที่แท้ก็เป็นอันธพาลคนหนึ่ง?”

“ไม่ใช่อย่างนั้น เขาน่ะ พ่อแม่เสียชีวิตไปนานแล้วเขาสู่ขอเมียจากนอกพื้นที่มา และพาแม่ยายมาฉลองปีใหม่ แต่เขาก็เอาแต่ เบาก็ด่า หนักก็ตี อยู่ทุกวันยายฟังอยู่ข้างๆ บ้าน ยังรู้สึกกลัวมากเลย”

“เขาตีคนเหรอคะ?” ชางหลิงประหลาดใจ “หรือตีแม่ยายตัวเอง?”

งั้นนี่ก็เท่ากับว่าเป็นการค้นพบครั้งใหม่ของเราแล้วสิ

หมายความว่าบางที บาดแผลบนร่างกายของหลี่กุ้ยเฟินเกิดจากการถูกทารุณกรรมของเฉียนจื้อหย่วน?

“เมื่อกี้เหมือนหนูไม่ได้เห็นว่ามีใครอยู่ในบ้านเลยนะคะ” ชางหลิงต่อหัวข้อสนทนาต่อไป

“จะมีคนอยู่ได้ยังไงล่ะ ได้ยินมาว่ายายแก่คนนั้นประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เพราะถูกรถชน” หญิงชราคนนั้นถอนหายใจ “ชีวิตก็ช่างขมขื่นจริงๆ เลย อยู่กับลูกสาวแต่กลับไม่มีความสุขเลยสักนิด ทั้งยังสูญเสียชีวิตไปอีก และเมื่อถึงเวลาที่คนอื่นต้องชดใช้ค่าเสียหาย ก็คงจะโดนไอ้คนไม่มีมโนสำนึกสองคนนั้นเอาไปทันที”

“อุบัติเหตุทางรถยนต์เหรอ?” ชางหลิงขมวดคิ้ว

เป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์จริงเหรอคะ?

“พวกคุณพูดว่าเป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์ยังไงกันคะ? ไม่ใช่พูดว่าเขามักจะตีเธอบ่อยๆ เหรอคะ? ถ้าหากว่าเขาเป็นคนตี แล้วจงใจบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์ล่ะ”

“เอ๊ะ?” หญิงชรากะพริบตา “แต่ก็ไม่กล้าพูดไปมั่วหรอก ถ้าเขาตีมาเราก็แค่ตีเท่านั้น และมันคงไม่ตีจนสาหัสขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าตีจริงๆ ทำไมยายที่อยู่ข้างบ้าน ถึงไม่ได้ยินอะไรสักแอะเลยล่ะ”

ชางหลิงไม่ได้พูดอะไรต่อ และเปลวเพลิงก็อบเสื้อผ้าของเธอไว้พร้อมกับไอน้ำร้อนที่ระเหยขึ้น และเสื้อผ้าก็เริ่มแห้งอย่างช้าๆ

ประตูลานบ้านก็ถูกเปิดออก และชายชราคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับจอบที่แบกอยู่บนหลังของเขา

“อ้าว ทำไมถึงพึ่งกลับมาล่ะ ข้าวก็อุ่นเสร็จแล้ว” หญิงชราคนนั้นเดินออกไป แล้วรับเอาจอบลงมา

ชางหลิงลุกขึ้น และหยิบสองร้อยหยวนออกจากกระเป๋าเงินของเธอ

“คุณยายคะ ” ชางหลิงยัดเงินไว้ในมือหญิงชรา “ขอบคุณมากนะคะ ได้ผิงไฟสักพัก แล้วรู้สึกสบายตัวขึ้นมากเลยค่ะ ไม่อย่างนั้น คงได้เป็นหวัดไปนานแล้ว”

“โอ้!” หญิงชรามองดูเงินในมือ แล้วรีบปัดออก “แบบนี้ยายรับไว้ไม่ได้หรอก ยายยังไม่ได้ช่วยอะไรพวกหนูเลย”

“คุณยายรับไปเถอะค่ะ นี่ยังไม่ไใช่วันขึ้น 15 ค้ำ เดือน 1 เลย หนูก็เข้ามารบกวนบ้านของคุณยายแล้ว จะให้มามือเปล่าได้ยังไงกันคะ อย่าเกรงใจหนูเลยนะคะ “เธอพูด พร้อมกับกำลังจะพาป๋ายจื๋อออกไปด้วยกัน

“แบบนี้จะไม่ละอายใจได้ยังไงกันล่ะ” หญิงชราส่งพวกเขาไปถึงนอกประตู

“ใครน่ะ?” ชายชราถามภรรยาของตัวเอง

“คนที่มาขอใช้ห้องน้ำน่ะ……เป็นเด็กสาวที่มีมารยาทคนหนึ่งเลยล่ะ……”

ยิ่งอยู่เสียงนั้นก็ยิ่งไกลออกไป และชางหลิงก็เดินออกมา

“บันทึกเสียงไว้หมดแล้วใช่ไหม?”

“อืม” ป๋ายจื๋อหยิบปากกาอัดเสียงในกระเป๋าออกมา แล้วกดปุ่มหยุดชั่วคราวไว้

พวกเขาทั้งสองคนเดินกลับในขณะที่พวกเขากำลังเดินไปจะถึงหน้าบ้านของตระกูลเฉียน ก็บังเอิญพบกับรถสามล้อที่ขับออกมาจากลานบ้านของตระกูลเฉียน ชางหลิงและป๋ายจื๋อก็มองตากัน แล้วเดินตามไปอย่างรวดเร็ว

รถสามล้อขับแล่นไปตามถนนในชนบท และไม่นานก็หายลับไปจากสายตาของพวกเขา แล้วทั้งสองก็ได้ขึ้นไปบนรถคันที่ขับผ่านมา และขับรถตามไปบนถนนชนบทอย่างโคลงเคลง

ไม่นาน รถของพวกเขาก็ขับตามรถสามล้อของเฉียนจื้อหย่วนได้ทัน และเห็นเขาจอดรถอยู่ที่ทางแยกบนถนนจากระยะไกล

เขาลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปยังทางด้านข้างจากนั้นก็หยิบจอบและตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นมา

ขับรถมาไกลขนาดนี้ อีกทั้งฝ่าฝนที่ตกหนัก เพียงเพื่อหยิบของที่ไม่สำคัญสองอย่างนี้เองเหรอ?

และยังทำเป็นลับๆล่อๆ กลัวว่าคนอื่นจะเห็นเข้า

เมื่อเห็นว่าเขามีแนวโน้มจะย้อนกลับ ป๋ายจื๋อจึงรีบกลับรถ ไปยังอีกทางแยกอีกทางหนึ่ง จากนั้นก็ขับตรงไปข้างหน้าไม่กี่เมตรและป่าไม้ที่เขียวชอุ่มก็บังรถเอาไว้

รถสามล้อขับเฉียดผ่านข้างๆ พวกเขาไปแล้วกลับไปที่หมู่บ้านพวกเขาทั้งสองขับรถไปยังที่ซึ่งเฉียนจื้อหย่วน จอดรถอยู่เมื่อสักครู่่นั้น จากนั้นก็ลงจากรถ

ป๋ายจื๋อกางร่ม แล้วมองดูร่องรอยบนพื้น เพราะว่าฝนตก ถนนที่นี่จึงถูกล้อรถบดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และมองไม่เห็นอะไรเลย เพียงแต่ จุดที่เมื่อครู่เฉียนจื้อหย่วนหยิบจอบและตะกร้านั้น มีแปลงข้าวสาลีที่มีร่องรอยของการถูกไถเสร็จแล้วแปลงหนึ่ง

“คุณว่า ว่าทำไมเฉียนจื้อหย่วนถึงมาหยิบจอบที่นี่?” ชางหลิงงุนงงจริงๆ

“เมื่อคืนนี้ผม แฮ็กเข้าไปในบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และค้นเจอบางอย่าง” ป๋ายจื๋อหยิบมือถือออกมา แล้วถ่ายรูปที่เกิดเหตุไปรูปหนึ่ง

“เฉียนจื้อหย่วนคนนี้ เคยรวมตัวกันเล่นการพนันแล้วถูกจับเข้าไปที่สถานีตำรวจหลายครั้งซึ่งคนแบบนี้คงไม่ใช่คนที่ทำงานหากินบนดินหรอก ดังนั้น เขาคงจะไม่ได้มาหยิบของเพราะความขยันอย่างแน่นอน”

ชางหลิงครุ่นคิดอย่างรอบคอบอยู่นาน “เป็นไปได้ไหมว่า ของเหล่านี้ จะเป็นของหลี่กุ้ยเฟิน?”

“อาการบาดเจ็บบนตัวของหลี่กุ้ยเฟินรุนแรงขนาดนั้นหากถูกชกตีด้วยมือเปล่า ย่อมมีร่องรอยอื่นๆ อย่างแน่นอน แต่คุณหมอบอกว่า เธอมีเลือดคั่ง และบาดแผลภายนอกก็เห็นได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่ซึ่งมันเห็นได้ชัดว่า เป็นการโดนของหนักกระแทกเข้า……”

ชางหลิงพูดอยู่อย่างนั้น อยู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างได้

รถสามล้อ!

ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก

ท่านบอสยิ่งเลวฉันยิ่งรัก

Status: Ongoing

เธอสุขใจมากล้นเตรียมที่จะแต่งงานกับแฟนหนุ่มที่คบกันมาหลายปี แต่คืนก่อนวันแต่งงานกลับรู้ว่าแฟนหนุ่มนอนกับน้องสาวต่างสายเลือดด้วยความโกรธครอบงำชางหลิงใช้เงินซื้อผู้เชาย หลังเมาก็ร้องจะนอนกับเจ้าของคลับ ยังถูกคนหลอกแต่งงานเมื่อตื่นขึ้นมา ไม่คาดว่าถูกคนกลับเรียกเธอว่าพี่สะใภ้ เฮียคือใครกันนะ“ยมบาลแสนเย็นชา”ซึ่งอยู่ทั้งสายขาวสายดำแห่งเมืองหนานที่ทุกคนต่างเกรงกลัว แถมยังเป็นผู้นำที่มีอำนาจทั้งตระกูลโหมวและในบริษัทเซิ่งซื่อกรุ๊ปแต่ข่าวลือว่ากันว่าเขาไม่เข้าใกล้ผู้หญิงไม่ใช่หรอ เขาชอบผู้ชายด้วยกันไม่ใช่หรอแต่ทำไมถึงเป็นเพราะผู้หญิงอ่อนแออย่างเธอถึงกับทุกวันไม่อยากลงจากเตียง จริงอย่างคาดคิด ข่าวลือล้วนแต่หลอกลวงโดยสิ้นเชิง

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท